บทที่ 706 ยุคสมัยอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าบุพกาล
เมื่อกลับมาอยู่ในอารามเต๋า หานเจวี๋ยก็พลันรู้สึกโล่งอกแล้ว
ตอนนี้ไม่มีใครช่วยเหลือผานซินได้แล้ว!
ภายใต้การจ้องมองของผานซิน หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “จะโทษก็จงโทษคำพูดของเจ้าเมื่อครู่ ทางเลือกของเจ้าทำให้ข้าไม่ปลอดภัย”
ผานซินกัดฟันถาม “เจ้าเป็นใครกันแน่!”
วินาทีนี้ ภาพลักษณ์ของหานเจวี๋ยในใจเขาพลันกลายเป็นสิ่งลึกลับยากจะคาดเดา
เมื่อสองแสนกว่าปีก่อน ครั้งแรกที่ได้พบหานเจวี๋ย เด็กคนนี้เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น
ตอนนี้เขาอยู่ในระดับอริยะเสรีแล้ว ทว่าหานเจวี๋ยกลับสะกดเขาได้อย่างง่ายดาย นี่หมายความว่าอย่างไรเล่า
หมายความว่าอย่างน้อยหานเจวี๋ยก็ต้องเป็นอริยะมหามรรคแล้ว!
ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองแสนกว่าปี ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาจะฝึกบำเพ็ญถึงระดับอริยะมหามรรคได้!
มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือเดิมทีหานเจวี๋ยก็เป็นผู้ทรงพลังอยู่แล้ว!
ผานซินทราบว่าอริยะมหามรรคหลายคนชอบแบ่งร่างแยกหรือร่างจำลองกลับชาติมาเกิดใหม่ ปูทางวางแผนไว้ตามมุมต่างๆ ในฟ้าบุพกาล
หานเจวี๋ยต้องเป็นหนึ่งในบรรดานั้นอย่างแน่นอน
สำหรับคำถามของผานซิน หานเจวี๋ยเพียงยิ้มนิดๆ จากนั้นก็ผนึกปากเขาเอาไว้ด้วย
หลังจากนั้น หานเจวี๋ยก็หลับตาลง เริ่มปิดด่านฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง
….
ณ เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ในส่วนลึกของฟ้าบุพกาล
หลังจากผ่านการพัฒนามาหลายหมื่นปี เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่กลายเป็นกลุ่มอิทธิพลแล้ว ในรัศมีหลายร้อยล้านลี้รอบข้างมีเกาะและสิ่งปลูกสร้างลอยฟ้าสารพัดห้อมล้อมอยู่ ดูราวกับดวงดาวก็มิปาน
ภายในห้องโถงชั้นหนึ่งของเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่
โจวฝานและจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายรวมตัวกันอยู่ในห้องโถง โดยไม่มีบุคคลอื่น
โจวฝานถาม “หานทั่วล่ะ”
สำหรับศิษย์น้องเล็กคนนี้ เขายังคงห่วงใยยิ่งนัก
หานทั่วเป็นบุตรชายของหานเจวี๋ย อย่างไรก็ต้องนับเป็นศิษย์น้องของเขา
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายตอบว่า “อยู่ระหว่างฝ่าทะลวงพิสูจน์มรรค”
โจวฝานเอ่ยด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ “พิสูจน์มรรคหรือ ไม่เลวเลยนี่ หากอาจารย์ของข้าทราบเรื่อง น่าจะดีใจยิ่ง”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก็ยิ้มตาม
โจวฝานพินิจดูจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย เอ่ยอย่างลุ่มลึกมีนัย “ฝ่าบาท จู่ๆ ข้าก็มองท่านไม่ออกแล้ว ตัวท่านในตอนนี้ติดตามผู้ใดอยู่กันแน่”
ชื่อเสียงของวังสวรรค์โด่งดังในแดนต้องห้ามอันธการขึ้นเรื่อยๆ ช่วงก่อนหน้านี้ ยามที่กองทัพสวรรค์กำลังต่อสู้อยู่ได้พาสิ่งอัปมงคลมาด้วย เรื่องนี้สร้างความตกตะลึงไปทั่วฟ้าบุพกาล แสดงให้เห็นว่าวังสวรรค์เป็นกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่แล้ว แม้กระทั่งอริยะมหามรรคเหล่านั้นของแดนเทพหวนปัจฉิมก็ไม่กล้าสบประมาทจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเช่นกัน
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายยกสองมือไพล่หลัง เสื้อคลุมไหวกระพือ เขาหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวว่า “มิได้ติดตามผู้ใด เพียงต่อสู้เพื่อชะตากรรมเท่านั้น”
“สู้เพื่อชะตากรรม…”
โจวฝานใช้ความคิด
พวกเขาก้าวข้ามมรรคาสวรรค์ ท่องไปทั่วฟ้าบุพกาลอย่างเสรี ข้ามผ่านอดีตและอนาคต ก้มหน้ามองสรรพสิ่งทั่วหล้าจากมุมสูง
ระดับเช่นนี้ พวกเขาไม่เคยคาดคิดถึงมาก่อนเลย แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ยังมีชะตาลิขิตอยู่
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยยิ้มๆ “เอาล่ะ อย่าคุยเรื่องไร้ประโยชน์พวกนี้เลย ที่มาหาเจ้าวันนี้เพราะอยากขอความร่วมมือ ซากสังขารของเทพมารฟ้าบุพกาลตนหนึ่งผันแปรกลายเป็นอาณาเขตลับ ด้านในซุกซ่อนโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่ไว้ หากวังสวรรค์ของข้าบุกเดี่ยวต้องประสบกับความเสียหายอย่างหนักแน่ หากว่าแบ่งสันปันส่วนกับเจ้า เจ้าน่าจะเห็นถึงความจริงใจของเราแล้ว จากการร่วมมือกันก่อนหน้านี้ จะร่วมด้วยหรือไม่”
โจวฝานถาม “ผู้ทรงพลังลึกลับท่านนั้นจะลงมือด้วยหรือไม่”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายพยักหน้ารับ ตอบว่า “หากไม่มีเขา เราก็ไม่กล้าเช่นกัน”
“ตกลง เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่จะเข้าร่วมด้วย!”
โจวฝานตอบรับอย่างรวดเร็ว มิใช่เพราะเขาไว้ใจจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย แต่เป็นเพราะผู้ทรงพลังลึกลับท่านนั้น
เขาถามด้วยความอยากรู้ยิ่ง “ผู้ทรงพลังท่านนั้นเป็นใครกันแน่ เกี่ยวข้องกับสิ่งอัปมงคลหรือไม่”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม “เรื่องบางอย่าง อย่าอยากรู้ไปเลย เจ้ายังเป็นเพียงเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าเท่านั้น”
วาจาเช่นนี้หากผู้อื่นเป็นคนพูด โจวฝานจะรู้สึกว่าโดนดูถูกแน่นอน แต่เมื่อออกมาจากปากจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย โจวฝานฟังแล้วก็รู้สึกกังวลขึ้นมา หากถามต่อไปอีก เป็นไปได้ว่าอาจจะละเมิดตัวตนต้องห้ามเข้า
เขามิใช่โจวฝานคนโง่แห่งแดนเซียนอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เข้าใจฟ้าบุพกาลเป็นอย่างดี
ในฟ้าบุพกาลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มีตัวตนต้องห้ามที่ไม่ควรสอบถามถึงให้มากความ หรือถึงขั้นที่ไม่อาจกล่าวถึงเลยด้วยซ้ำ!
ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับอริยะมหามรรค ก็ไม่ควรแตะต้องตัวตนต้องห้ามเหล่านั้น
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายพลันสลายเป็นควันสีทองกลุ่มหนึ่ง ทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งว่า “อีกสามพันปีให้หลัง พาคนไปที่อาณาเขตเสี้ยวจันทร์ดารา ข้าจะพาทัพสวรรค์นับล้านไปรอเจ้าที่นั่น”
โจวฝานหรี่ตาลง ลอบตกใจกับความเร็วในการพัฒนาของวังสวรรค์
นี่คือขบวนรบที่ส่งไปหาความตาย ยังมิใช่กำลังทั้งหมดของวังสวรรค์!
….
ห้าพันปีผ่านไปในชั่วพริบตา
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ยังสยบทาสผานซินไม่สำเร็จ แต่ผานซินในตอนนี้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว นั่งสงบนิ่งอยู่ในคุกสวรรค์อนธการ
ไม่เสียทีที่เป็นตัวตนระดับเบิกฟ้าเสรีระยะสมบูรณ์!
วันหน้าหากจะสยบทาสจอมเทพฟ้าบุพกาล จะต้องใช้เวลาหลายล้านปีหรือนานกว่านั้นหรือไม่
เมื่อหานเจวี๋ยมีความคิดเช่นนี้บังเกิดขึ้น ก็เริ่มรู้สึกเป็นกังวลแล้ว
เขาเชื่อว่า ขอเพียงเขาดำเนินการไปอย่างมั่นคง ระมัดระวังรอบคอบ จะต้องเทียบชั้นจอมเทวาฟ้าบุพกาลหรือถึงขั้นที่เหนือกว่าจอมเทพฟ้าบุพกาลได้ในไม่ช้าก็เร็ว
ตัวเขาในตอนนี้ ต่อให้ไม่มีระบบ พึ่งพาแค่ทุกสิ่งที่ตนมีก็ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดนิ่งได้เช่นกัน
แน่นอน เขายังคงรู้สึกซาบซึ้งในตัวระบบยิ่งนัก
หากไม่มีระบบ เขาคงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏจักร ไหนเลยจะได้เดินบนเส้นทางอมตะ
หานเจวี๋ยมองออกไปนอกอารามเต๋า
เต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้รออยู่หน้าประตู
หลังจากลี่เหยาออกไปด้านนอก เต้าจื้อจุนกลับมาพากเพียรบำเพ็ญอีกครั้ง จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้ก็ไล่ตามเข้ามาใกล้ยิ่ง ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรแห่งสวรรค์กันทั้งสิ้น
เสียงหานเจวี๋ยแว่วออกไป “มีเรื่องใด”
ทั้งสามคุกเข่ารอมานานหลายปี เจียงอี้ที่รอไม่ไหวอีกต่อไปแล้วเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “อาจารย์ พวกเราสามคนอยากออกไปหาประสบการณ์ในฟ้าบุพกาลขอรับ”
จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้ล้วนเป็นเซียนทองต้าหลัวระยะสมบูรณ์แล้ว พร้อมจะพิสูจน์ครึ่งอริยะได้ทุกเมื่อ
แต่พวกเขาควบคุมระดับเอาไว้ตลอด
คาดว่าคงจะเกี่ยวกับเต้าจื้อจุน
จากนั้นจึงได้ยินเต้าจื้อจุนกล่าวว่า “ระยะนี้ มีข่าวบางอย่างของฟ้าบุพกาลที่แพร่มาจากเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล ปลายทางของเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลมีโลกอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ใหญ่โตกว่าแดนเซียนมากนัก รอบข้างมีจักรวาลและแดนลับซ่อนเร้นอยู่นับไม่ถ้วน มีโอกาสวาสนามากมาย พวกเราสามพี่น้องอยากไปเยือนสักคราขอรับ”
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ฟ้าบุพกาลอันตรายยิ่ง หากเกิดเรื่องขึ้น อาจารย์ไม่อาจไปช่วยพวกเจ้าได้ พวกเจ้าคิดให้ดี”
จ้าวเซวียนหยวนหัวเราะแหะๆ พลางกล่าวว่า “อาจารย์วางใจเถิดขอรับ เรื่องราวเช่นในมหาเคราะห์คราก่อนไม่มีทางเกิดขึ้นอีก พวกเราสามคนแบ่งเสี้ยววิญญาณทิ้งไว้ในอารามเต๋าของแต่ละคนแล้ว หากเกิดเรื่องขึ้น จึงฟื้นคืนชีพได้ไม่ยากนัก”
เซียนทองต้าหลัวมีวิธีการเช่นนี้อยู่แล้ว ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอันใด
หานเจวี๋ยจึงส่งตัวพวกเขาออกไปตรงๆ เลย
ในเมื่อเตรียมทางหนีทีไล่ไว้แล้ว ออกไปหาประสบการณ์บ้างก็ดี หานเจวี๋ยยังเข้าใจในฟ้าบุพกาลน้อยยิ่ง ส่งศิษย์ออกไปสำรวจก็นับเป็นเรื่องดี
ภายภาคหน้ามรรคาสวรรค์จะมิใช่พื้นที่ปิดกั้นอีก ยุคสมัยอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าบุพกาลเริ่มเปิดฉากขึ้นแล้ว
หลังจากส่งทั้งสามคนออกไปแล้ว หานเจวี๋ยตรวจดูจดหมาย จากนั้นก็ฝึกบำเพ็ญต่อ
ผ่านไปอีกสามพันปี
[คุกสวรรค์อนธการสยบทาสสำเร็จ]
[ผานซินเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้เต็มขั้นดาวแล้ว]
ใช้เวลาแปดพันปีเต็มถึงสยบทาสได้สำเร็จ!
หานเจวี๋ยเรียกหน้าต่างค่าสถานะของผานซินออกมาตรวจสอบทันที
[ผานซิน: ระดับเสรีเบิกฟ้าระยะสมบูรณ์ ชนรุ่นหลังของผานกู่ เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกในยุคเบิกฟ้า ประสบมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตมาอย่างโชกโชน ชอบท่องโลกมนุษย์ เนื่องจากเกรงว่าจะถูกเจ้าแห่งมหาเคราะห์โบราณพบตัว จึงลักลอบแฝงตัวในแม่น้ำมรรคกระบี่ เกิดความสนใจในตัวท่าน เนื่องจากนิสัยเฉพาะตัวของท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้เต็มขั้นดาวแล้ว]
เสรีเบิกฟ้าระยะสมบูรณ์!
หากหานเจวี๋ยให้ความช่วยเหลือเขา ไม่แน่ว่าอาจสร้างอริยะมหามรรคอีกคนได้
อย่างไรก็ตามประตูแห่งมหามรรคจำเป็นต้องพยายามด้วยตนเอง คนอื่นไม่อาจช่วยเหลือได้ อย่างน้อยตอนนี้หานเจวี๋ยก็ช่วยไม่ได้ อย่างมากก็ได้เพียงถ่ายทอดประสบการณ์ตอนพิสูจน์มหามรรคให้เท่านั้น
ในเวลานี้เอง
[ผานกู่เกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 1 ดาว]
………………………………………………………………