บทที่ 709 เจตจำนงผานกู่
อี๋เทียนหันไปมองหานทั่ว เอ่ยถามว่า “เจ้าว่า ครั้งนี้พวกเราจะรอดชีวิตกลับไปได้หรือไม่”
สถานการณ์แตกต่างไปจากในอดีต พวกเขาไม่ได้ถูกสะกดไว้ แต่ต้องต่อสู้อยู่ตลอด
สงครามดำเนินมาหลายพันปีแล้ว แม้แต่ยอดฝีมือระดับครึ่งอริยะอย่างอี๋เทียนก็ใกล้จะต้านไม่อยู่แล้ว
เขาไม่เคยพานพบสงครามที่ยาวนานขนาดนี้ แถมยังต้องสู้สุดตัวทุกวัน มิเช่นนี้คงต้องสิ้นชีพลงที่นี่
ตูม!
ห้วงมิติข้างหอสูงพังทลายลง ปากกว้างสีแดงฉานโฉบตามเข้ามา ดูใหญ่โตอย่างยิ่ง ราวกับสามารถกลืนกินดาวเคราะห์ทั้งดวงได้ในคำเดียว เมื่ออยู่ต่อหน้ามัน อี๋เทียนและหานทั่วดั่งฝุ่นธุลี ต่างก็รีบหลีกหนีด้วยความตกใจ
หานทั่วเรียกหอกเทพออกมาถือ จ้องมองมันด้วยความโกรธเกรี้ยว นี่คือสัตว์ร้ายฟ้าบุพกาลตัวหนึ่ง ศีรษะเหมือนวาฬ ลำตัวเหมือนกิ้งก่า ไม่มีดวงตา ในปากกว้างแดงฉานมีเขี้ยวแหลมคมงอกเรียงรายหลายสิบแถวราวกับยอดเขาสูง ไอโลหิตที่สูดพ่นเข้าออกเข้มข้นจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มีเงาร่างในชุดเกราะหนาสีดำร่างหนึ่งยืนอยู่เหนือศีรษะของสัตว์ร้ายฟ้าบุพกาลตัวนี้ เขาสวมหมวกเกราะไว้ มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง
ในมือเขาถือกระบี่ยาวที่มีเปลวเพลิงสีดำลุกโชน ตวัดกระบี่ฟันใส่พวกหานทั่วทั้งสอง
ด้วยการฟันครั้งนี้ มีภูตผีวิญญาณร้ายโผล่ออกมานับไม่ถ้วน ถาโถมท่วมทับราวกับคลื่นน้ำสีดำ ทรงพลังจนไม่อาจสกัดขวางได้
หานทั่วแทงหอกออกไป ปราณหอกดั่งมังกร ฉีกกระชากคลื่นน้ำสีดำ
อี๋เทียนคำรามด้วยความโกรธ ร่างกายยืดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จำแลงกายสูงใหญ่นับหมื่นจั้ง เงื้อหมัดชกออกไป ราวกับเป็นสัตว์ร้ายฟ้าบุพกาลอีกตัวหนึ่ง รัศมีทรงพลังปะทุขึ้นมาสั่นสะเทือนห้วงอวกาศ
หานทั่วและอี๋เทียนที่เพิ่งได้พักหายใจเพียงครู่เดียว ต้องเข้าสู่สังเวียนศึกอีกครั้ง
นี่เป็นเพียงฉากเล็กๆ มุมหนึ่งของสงครามเท่านั้น ทหารสวรรค์คนอื่นๆ ก็ต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่เช่นกัน
ในส่วนลึกของห้วงอวกาศ
โจวฝานถือเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ไว้ ร่ายเวทอย่างต่อเนื่อง เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ในฝ่ามือเขาหมุนวนด้วยความเร็วสูง พลังเวทนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา บัวทองสาดซัดไปด้านหน้า พิรุณทองดั่งห่าธนู สายฟ้าดั่งคมมีด
เมื่อมองตามสายตาของเขาไป นั่นคือเงาร่างหนึ่งที่น่าหวาดผวาซึ่งไม่ทราบขนาดความสูง มีหมอกหนาแน่นพัวพันรอบกาย บดบังร่างกายไปกว่าครึ่ง
เวทของเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่กระหน่ำโจมตีใส่ร่างเขา ทว่ากลับทำอันตรายเขาไม่ได้แม้แต่น้อยเลย
“นี่น่ะหรือเทพมารฟ้าบุพกาล ลำพังแค่ซากศพก็แข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว…”
โจวฝานพึมพำกับตัวเอง แววตาเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง
เงาร่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี้คือซากร่างของเทพมารฟ้าบุพกาลโบราณ ไร้ซึ่งจิตรับรู้แล้ว มีเพียงสัญชาตญาณการต่อสู้ ทว่ามันสามารถแยกแยะทายาทรุ่นหลังของตนได้ โจมตีใส่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดยกเว้นเพียงทายาทรุ่นหลัง
วังสวรรค์และเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่ที่นี่มาหลายพันปีแล้ว ได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
สิ่งสำคัญที่สุดคือ พวกเขาไม่สามารถถอนทัพได้
ห้วงดาราสีเลือดเป็นค่ายกลพิเศษรูปแบบหนึ่ง เป็นห้วงมิติคุมขัง เข้าได้แต่ออกไม่ได้
โจวฝานได้แต่ฝากความหวังเอาไว้กับเงาร่างสูงใหญ่ไพศาลอีกร่างที่กำลังต่อสู้กับเทพมารฟ้าบุพกาลอยู่ เงาร่างนั้นดำทะมึนไปทั้งร่าง ดูน่าหวาดกลัวกว่ามากนัก
เทพจักรพรรดิอัปมงคล!
ระหว่างการต่อสู้ในช่วงหลายพันปีมานี้ โจวฝานได้ทราบฐานะของเทพจักรพรรดิอัปมงคลจากปากของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายแล้ว
ผู้ปกครองสิ่งอัปมงคล!
ตัวตนที่น่าหวาดกลัวพอๆ กับอริยะมหามรรค!
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เทพจักรพรรดิอัปมงคลก็เอาชนะเทพมารฟ้าบุพกาลไม่ได้ง่ายๆ เช่นกัน
มือใหญ่ดำมืดข้างหนึ่งพลันร่วงลงมาจากด้านบน ประหนึ่งเขาไท่ซานกดทับลงมาคว้าตัวโจวฝานไป
โจวฝานดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งอยู่ในฝ่ามือนั้น
ไกลออกไปอีกด้านหนึ่งของสนามรบ จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายถูกเงาร่างในเกราะดำมากมายนับไม่ถ้วนรุมโจมตี ตกที่นั่งลำบากนัก
‘ขุนพลเทพมารเหล่านี้เหตุใดถึงสังหารไม่จบไม่สิ้นเสียที’
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายขมวดคิ้ว ในใจเต็มไปด้วยความร้อนรน
เขาประเมินเทพมารฟ้าบุพกาลตนนี้ต่ำไป
‘หรือว่าต้องดำเนินไปถึงขั้นนั้นจริงๆ…’
แววตาจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายวูบไหว ในใจขัดแย้งว้าวุ่น
….
สองพันปีผ่านไป
ในที่สุดหนังสือแห่งความโชคร้ายก็ยกระดับเสร็จสิ้น ผสานรวมอยู่หนึ่งหมื่นปีเต็ม นับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ
[หนังสือแห่งความโชคร้ายยกระดับเสร็จสิ้น ยกระดับจากยอดสมบัติเสรีเป็นสมบัติวิญญาณมหามรรค]
หานเจวี๋ยมองข้อความที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า จากนั้นก็หยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาจากโลกอนธการ
ไม่ง่ายเลยกว่าจะยกระดับเสร็จสิ้น สังหารศัตรูสักคนเพื่อสร้างความบันเทิงดีหรือไม่
ตบะระดับมหามรรค สมบัติวิเศษระดับมหามรรค น่าจะสาปแช่งอริยะมหามรรคให้ตายได้กระมัง!
หานเจวี๋ยคิดดูเล็กน้อย แต่ก็ปัดความคิดนี้ทิ้งไป
ไม่จำเป็นเลย
ถึงอย่างไรช่วงนี้ศัตรูของเขาก็ล้วนไม่ได้วางแผนร้ายต่อมรรคาสวรรค์แล้ว ไยเขาต้องทำลายความสงบด้วยเล่า
อีกอย่าง ก่อนหน้านี้เขาตั้งใจแล้วว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงกระบวนการของมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่
หานเจวี๋ยเก็บหนังสือแห่งความโชคร้าย คิดจะฝึกบำเพ็ญต่อ
ในเวลานี้เอง เสียงของจอมอริยะเสวียนตูพลันแว่วเข้าหูหานเจวี๋ย “สหายเต๋าหาน รีบมาที่ตำหนักเอกภพที”
หานเจวี๋ยยังไม่ได้ฝึกบำเพ็ญพอดี จึงเคลื่อนย้ายไปปรากฏตัวที่ตำหนักเอกภพ
ภายในตำหนักมีเพียงจอมอริยะเสวียนตู เขานั่งขัดสมาธิ คิ้วขมวดแน่น สีหน้ามืดครึ้ม
หานเจวี๋ยเดินเข้าไปหาเขา เอ่ยถาม “มีเรื่องใดหรือ”
ระยะนี้ก็ไม่มีศัตรูกล้าแกร่งเข้ารุกรานมรรคาสวรรค์
แดนเซียนก็สงบสุขดี
จอมอริยะเสวียนตูสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “เกิดเรื่องเลวร้ายใหญ่โตขึ้น ช่วงนี้ดวงชะตามรรคาสวรรค์เกิดความเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ไม่ได้เพิ่มพูนขึ้นและมิได้อ่อนด้อยลง แต่ดวงชะตากลับถ่ายเทลงไปยังแดนเซียนรวมถึงสปวงสวรรค์หมื่นโลกา ข้าสอบถามฟางเหลียงแล้ว ฟางเหลียงก็รู้สึกฉงนเช่นกัน เขาทำนายไม่ได้ว่าเหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้”
หานเจวี๋ยอดมองมรรคาสวรรค์ไม่ได้
ในมุมมองของอริยะมหามรรค มรรคาสวรรค์เป็นเพียงปราณกลุ่มหนึ่ง เป็นปราณสีเหลืองที่ห่อหุ้มแดนเซียนและปวงสวรรค์หมื่นโลกาไว้ คุ้มครองส่วนในของมรรคาสวรรค์
หืม
หานเจวี๋ยหรี่ตาลง จู่ๆ เขาก็มองเห็นว่าในมรรคาสวรรค์มีประกายแสงเรียวบางปรากฏขึ้นสายแล้วสายเล่า พุ่งลงสู่ปวงสวรรค์หมื่นโลกา ส่วนใหญ่จะร่วงหล่นสู่แดนเซียน
พวกนี้คืออะไร?
หานเจวี๋ยลอบทำนายดู ทว่ากลับทำนายไม่พบที่มาของประกายแสงเหล่านี้
ในเวลานี้ พลันมีข้อความแถวแล้วแถวเล่าเด้งขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ย
[ตรวจสอบพบว่าเจตจำนงของผานกู่เข้าบงการมรรคาสวรรค์ จะทำให้มีทายาทรุ่นหลังของผานกู่ถือกำเนิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง ลงมือขัดขวางทันที จะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของผานกู่ จะได้รับยอดสมบัติหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น]
[สอง ไม่ขัดขวางชั่วคราว เรื่องนี้มีส่วนช่วยเพิ่มดวงชะตามรรคาสวรรค์ รอชมการพัฒนาของมรรคาสวรรค์ไป จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน]
เจตจำนงผานกู่หรือ
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
ไม่คิดเลยว่าเขาเพิ่งจะสยบผานซินไป ผานกู่ก็ต้องการสร้างผานซินจำนวนมากออกมาอีกแล้ว เป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
ไม่จำเป็นต้องกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของผานซินเลย
ถึงอย่างไรตอนนี้ผานกู่ก็แค่ไม่สบอารมณ์เขาอยู่บ้างเท่านั้น อีกอย่างเรื่องนี้ก็มีส่วนช่วยเหลือดวงชะตามรรคาสวรรค์ ไยจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเล่า
ที่สำคัญกว่าคือ เขาจะได้ศิลาก่อวิญญาณเพิ่มอีกก้อน สร้างเทพมารฟ้าบุพกาลได้อีกตน!
หานเจวี๋ยเลือกข้อที่สองทันที
[ท่านเลือกไม่ขัดขวางชั่วคราว รอชมการพัฒนาของมรรคาสวรรค์ ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน]
หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ยว่า “ในเมื่อมองไม่ออก เช่นนั้นก็รอดูกันต่อไปเถอะ มรรคาสวรรค์คงไม่มีทางทำลายตัวเองกระมัง”
พอจอมอริยะเสวียนตูได้ฟัง ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้าตอบรับ
เมื่อหานเจวี๋ยเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว ก็คิดจะจากไป
ทันใดนั้นจอมอริยะเสวียนตูพลันถามว่า “สหายเต๋าหาน ช่วงนี้ผานซินเปลี่ยนไป ซ้ำยังมุ่งมั่นใส่ใจดำเนินเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลให้สมบูรณ์แบบ เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
หานเจวี๋ยหันกลับมา เหลือบมองเขาพลางกล่าวว่า “นี่มิใช่เรื่องดีหรอกหรือ”
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เมื่อสบตากับหานเจวี๋ย จอมอริยะเสวียนตูพลันรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง ความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยประสบจากหานเจวี๋ยมาก่อนเลย
เขานึกถึงเหล่าจื่ออาจารย์ของตนขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ยามที่เขาเผชิญหน้ากับเหล่าจื่อ ก็มีความรู้สึกประหม่าลนลานอย่างยากจะควบคุมได้เช่นนี้เหมือนกัน
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “เป็นเรื่องดีจริงๆ แต่ข้าก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ ถึงอย่างไรผานซินก็เดินทางไปยังฟ้าบุพกาลเป็นประจำ แต่หากเป็นการจัดการของสหายเต๋าหาน เช่นนั้นข้าก็เบาใจแล้ว”
………………………………………………………………