บทที่ 712 ตื่นตะลึง! ประหลาดใจ!
‘หรือจะเป็นท่านพ่อของข้า’
‘จะเป็นไปได้อย่างไร! เขาแข็งแกร่งกว่าเทพมารฟ้าบุพกาลอย่างนั้นหรือ?’
หานทั่วตื่นตะลึง กรีดร้องภายในใจไม่หยุด
อานุภาพโจมตีของความเป็นไปได้นี้แข็งแกร่งเกินไปแล้วจริงๆ!
ก้าวข้ามความแตกตื่นยินดีไป!
ทำให้เขาตื่นตะลึงจนลืมความตื่นเต้นยินดีไปเสียสิ้น
หานทั่วมองจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายอีกครั้ง อีกฝ่ายละสายตาไปแล้ว
แต่หานทั่วไม่มีทางลืมสายตาเมื่อครู่นี้ของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายไปตลอดกาล
ไม่ใช่ความรู้สึกหลอนไปเองแน่นอน!
เขามิใช่วิญญาณสามัญ จะมองสถานการณ์พลาดไปได้อย่างไร
เมื่อครู่จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายกำลังมองเขาอยู่ แววตาซับซ้อนอย่างยิ่ง ทั้งตื่นเต้นยินดี ทั้งไม่อยากจะเชื่อ ทั้งสับสนและคับข้อง
หานทั่วไม่สามารถวิเคราะห์แววตาของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายอย่างแน่ชัดได้ แต่ยืนยันได้ว่าเกี่ยวข้องกับปราณกระบี่ก่อนหน้านี้
โจวฝานได้ยินคำพูดของอี๋เทียน ก็รู้สึกซาบซึ้งเช่นกัน มองไปที่จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ฝ่าบาท ท่านยังจะปิดบังอยู่อีกหรือ รีบบอกมาเถิด! เป็นผู้ใดกันแน่ ให้พวกเราได้รู้ด้วยเถิดว่าผู้มีพระคุณคือใคร!”
สีหน้าจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายซับซ้อน เขาพยายามปรับอารมณ์ กัดฟันเอ่ยไปว่า “หากเราเดาไม่ผิด ปราณกระบี่เมื่อสักครู่น่าจะมาจากอาจารย์ของเจ้า บิดาของทั่วเอ๋อร์ เจ้าสำนักซ่อนเร้น หานเจวี๋ย!”
พอกล่าวออกมาเช่นนี้ โจวฝานพลันเบิกตากว้าง
คนอื่นๆ ก็ตกใจเช่นกัน
เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับหานทั่วและโจวฝาน พวกเขาจึงได้ยินชื่อของหานเจวี๋ยอยู่บ่อยครั้ง
หานเจวี๋ยมิใช่อริยะมรรคาสวรรค์หรอกหรือ
จะให้การช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างไร
ปราณกระบี่สายนั้นส่งตรงมาจากมรรคาสวรรค์เช่นนั้นหรือ
เป็นไปไม่ได้กระมัง!
เช่นนั้นจะต้องห่างไกลมากขนาดไหนกันเล่า
ทุกคนแตกตื่นแล้ว พวกเขารีบปัดความคิดนี้ทิ้งไป
หรือว่าหานเจวี๋ยจะมาปรากฏตัวในละแวกนี้
มีเพียงความเป็นไปได้นี้แล้ว!
“อาจารย์! ท่านอยู่ที่ไหนขอรับ”
โจวฝานตะโกนด้วยความตื่นเต้น เขาก็คาดเดาไปในทางเดียวกับคนอื่นๆ นึกว่าหานเจวี๋ยอยู่แถวนี้
หลังจากหานทั่วได้ทราบความจริง ถึงจะรู้สึกโล่งใจ แต่ก็มีสภาพอารมณ์ซับซ้อนเช่นเดียวกับจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย
ใช่ท่านพ่อจริงๆ…
อี๋เทียนมองหานทั่วแบบแปลกๆ เอ่ยพึมพำ “ที่แท้ที่พึ่งของวังสวรรค์มิใช่เพราะฝ่าบาท แต่เป็นเพราะไอ้หนูอย่างเจ้า”
เขาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เมื่อก่อนเขานึกว่าหานทั่วโดดเดี่ยวกำพร้าเช่นเดียวกับเขา
ไหนเลยจะรู้ว่ามีแต่เขาคนเดียวที่กำพร้า
หานทั่วมิได้ตอบรับ อารมณ์ของเขาก็ว้าวุ่นมากเช่นกัน
คำพูดของอี๋เทียนทำให้เขาได้เข้าใจ ก่อนหน้านี้ที่รอดหายนะมาได้หลายต่อหลายครั้ง ที่แท้ก็เป็นเพราะท่านพ่อช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังตลอด
ถึงฉากหน้าท่านพ่อจะทำเหมือนไม่ใส่ใจตนอย่างไร แต่ก็มักจะช่วยเขาให้พ้นจากสถานการณ์คับขันเสมอ
ยิ่งคิดหานทั่วก็ยิ่งรู้สึกว่าตนใช้ไม่ได้เลย ไม่เคยตอบแทนพระคุณที่ท่านพ่อให้กำเนิดและเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ แถมบางครั้งยังตัดพ้อขุ่นข้องอยู่ในใจว่าท่านพ่อไม่ไยดีตนอีกด้วย
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายไม่ได้พูดมากอีก พาทุกคนหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
….
มรรคาสวรรค์ ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
หลังจากหานเจวี๋ยเห็นว่าพวกจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายหนีรอดไปได้แล้วก็ลดมือขวาลง
เหล่าอริยชนรับรู้ได้ว่ารัศมีของเขาเลือนหายไป ทั้งหมดล้วนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หลี่เต้าคงอดถามไม่ได้ “เจ้าสำนัก เกิดอะไรขึ้นขอรับ”
หานเจวี๋ยมองเหล่าอริยชน ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร แค่จัดการเรื่องส่วนตัวเท่านั้น เมื่อครู่ต้องเร่งช่วยเหลือบุตรชาย จึงไม่มีเวลามาตอบทุกท่าน สลายตัวเถิด มรรคาสวรรค์หาได้พบอันตรายไม่”
ช่วยบุตรชายหรือ
เหล่าอริยชนตะลึงงัน พวกเขาล้วนทราบว่าหานเจวี๋ยมีบุตรชายคนหนึ่งนามว่าหานทั่ว หานทั่วออกจากมรรคาสวรรค์ไปนานแล้ว หรือว่าเมื่อครู่ผ่านทางมาในละแวกมรรคาสวรรค์
เหตุใดพวกเขาถึงจับสัมผัสไม่ได้เลยเล่า
จอมอริยะเสวียนตูและเทพสูงสุดอู๋ฝ่านึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เล่าขานกันว่า อริยะมหามรรคลงมือข้ามฟ้าบุพกาลได้…
หานเจวี๋ยคืออริยะมหามรรค!
หานเจวี๋ยเลือนหายไปจากจุดเดิมแล้ว
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยส่ายหน้าหลุดยิ้มออกมา “หากว่าสหายเต๋าผานอยู่ที่นี่ด้วย ไม่รู้จะมีท่าทีอย่างไร”
เทพสูงสุดหนานจี๋ก็ยิ้มตามพลางกล่าวว่า “ต้องไม่กล้าจองหองอีกแน่ เมื่อครู่นี้รัศมีของสหายเต๋าหานแกร่งกล้ากว่าผานซินมากนัก!”
อริยะคนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
การต่อสู้ระหว่างผานซินและจอมเทพข่งเซวี่ยในครานั้นก็อยู่ในสายตาของพวกเขาเช่นกัน น่าหวาดหวั่นจริงๆ แต่เมื่อเทียบกับหานเจวี๋ยเมื่อครู่นี้แล้ว ยังคงด้อยกว่ามาก
สือตู๋เต้าก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิดเช่นกัน
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เขารู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าหานเจวี๋ยเกี่ยวข้องกับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ เป็นไปได้สูงว่าหานเจวี๋ยก็คือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
ในมรรคาสวรรค์จะซ่อนเร้นตัวตนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ไว้ได้อย่างไร
แน่นอนว่าเขาแค่คาดเดาเท่านั้น
ถึงอย่างไรเขาก็ติดตามเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ หากว่าหานเจวี๋ยคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ก็ดียิ่งนัก อย่างน้อยอยู่ฝ่ายสำนักซ่อนเร้นก็ไม่เลวร้ายอะไร
“อันที่จริงการที่เขาไม่ได้เห็นก็ถือเป็นเรื่องดีเช่นกัน” เทพสูงสุดอู๋ฝ่าพลันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา เหล่าอริยะชนก็รู้สึกหนาวสะท้านแล้ว
ความคิดของคนผู้นี้โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!
จอมอริยะเสวียนตูส่ายหน้า หันหลังจากไป
พลังของหานเจวี๋ยทำให้เขารู้สึกว่าสมควรประเมินมรรคาสวรรค์ใหม่อีกครั้ง บางทีมรรคาสวรรค์อาจจะพัฒนาไปได้ไกลขึ้น!
….
เมื่อกลับมาที่อารามเต๋า หานเจวี๋ยจับตามองพวกจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายมาตลอด หลังจากแน่ใจแล้วว่าพวกเขารอดไปได้จริงๆ เขาถึงได้ถอนสายตากลับมา
เขาเห็นเทพจักรพรรดิอัปมงคลต่อสู้กับเทพมารฟ้าบุพกาล ตัวตนทั้งสองนั้นล้วนแข็งแกร่งยิ่ง
โดยเฉพาะเทพมารฟ้าบุพกาลตนนั้น แม้ว่าจะไม่มีวิญญาณแล้ว ก็ยังต่อกรกับเทพจักรพรรดิอัปมงคลได้ ถึงขั้นที่เป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่กลายๆ
“ฟ้าบุพกาลเป็นแหล่งเสือหมอบมังกรซ่อนจริงๆ”
หานเจวี๋ยรำพันกับตัวเอง
ความสนใจของเขากลับไปอยู่ที่เทพมารมหามรรคหลบเร้นอีกครั้ง
เทพมารมหามรรคหลบเร้นต้องการล่อเขาออกไป ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นมิตรหรือศัตรู
หานเจวี๋ยคร้านจะทำนายดู เขาไร้ความแค้นกับเทพมารมหามรรคหลบเร้น อีกทั้งเทพมารมหามรรคหลบเร้นเป็นที่พึ่งของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย เทพมารมหามรรคหลบเร้นไม่มีเหตุผลที่ต้องมาเป็นศัตรูกับเขาเลย
ฝึกบำเพ็ญต่อดีกว่า!
หานเจวี๋ยหลับตาลง
ครั้งนี้ ต้องฝึกบำเพ็ญให้ครบห้าพันปีให้ได้!
ถึงจักรพรรดิสวรรค์มาก็ไม่มีประโยชน์!
ใครก็มาขัดขวางความตั้งใจของข้าไม่ได้!
….
ห้าพันปีต่อมา
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น พรูลมหายใจออกมา
ในที่สุดก็ปิดด่านได้ตามเป้าห้าพันปี!
สดชื่นนัก!
แต่อย่างไรก็ตามตบะเพิ่มขึ้นเชื่องช้าเหลือเกิน หานเจวี๋ยเริ่มลังเลแล้ว ว่าควรจะยกระดับมาตรฐานการปิดด่านเป็นห้าหมื่นปีดีหรือไม่
เขาเพ่งสายตาไปครู่หนึ่ง หลี่เสวียนเอ้าปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
หลี่เสวียนเอ้ารออยู่ด้านนอกมาเกินพันปีแล้ว ในระหว่างนั้นมีการจากไปอยู่หลายครั้งด้วย
เมื่อพบหานเจวี๋ย หลี่เสวียนเอ้าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยความขื่นขม “เจ้าสำนัก เหตุใดระยะเวลาปิดด่านของท่านถึงเปลี่ยนไปล่ะขอรับ”
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้มีธุระถ่วงรั้งให้ล่าช้า ต่อไปให้เจ้าเริ่มคำนวณจากวันนี้”
หลี่เสวียนเอ้าพยักหน้ารับ เขาไม่กล้าถามซักไซ้ต่อ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกน้อง จะตำหนิเจ้าสำนักได้อย่างไร
เขาเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าสำนัก ข้าอยากพาบุตรแห่งสวรรค์ที่ส่งเข้ามาก่อนหน้านี้ออกไปขอรับ ข้าวางแผนว่าจะพาสำนักซ่อนเร้นมุ่งหน้าสู่เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล…”
เขาเริ่มบอกเล่าแผนการที่ตนวางไว้ออกมา
หลังจากหานเจวี๋ยฟังจบ ก็เอ่ยว่า “ได้ แต่ต้องจัดการทุกเรื่องอย่างระมัดระวัง อย่าลืมคำนึงถึงชื่อเสียงของสำนักซ่อนเร้น เรื่องทุกอย่างห้ามประมาทเกินไป อย่าข่มเหงผู้อ่อนแอ อย่าทำให้สำนักซ่อนเร้นกลายเป็นสำนักที่ชั่วร้าย”
หลี่เสวียนเอ้ามีสีหน้าตึงเครียด คล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “เจ้าสำนักพูดถูกแล้วขอรับ ข้าจะจัดการอย่างรอบคอบแน่นอน”
เมื่อเห็นท่าทีของเขา หานเจวี๋ยก็ยิ่งคาดเดาความจริงออก แต่ตักเตือนเพียงเล็กน้อยก็พอแล้ว กลุ่มอิทธิพลใดบ้างเล่าที่ไม่เคยทำพลาดเลยสักครั้ง
รู้จักปรับปรุงก็พอแล้ว!
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลี่เสวียนเอ้าเรียกรวมตัวบุตรแห่งสวรรค์ ฉินหลิงก็รวมอยู่ในบรรดานั้นด้วย
หานเจวี๋ยส่งพวกเขาออกไปพร้อมกัน
หลังออกจากเขตเซียนร้อยคีรี เหล่าบุตรแห่งสวรรค์ต่างก็เหม่อลอยไป
ใครสักคนในกลุ่มเอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “พลังวิญญาณเช่นนี้ไม่เหมาะจริงๆ”
คนที่เหลือต่างก็เห็นพ้องด้วย
“ใช่แล้ว พลังวิญญาณในอาณาเขตเต๋าของสำนักซ่อนเร้นอุดมสมบูรณ์กว่าจริงๆ”
“ข้านึกเสียใจภายหลังขึ้นมาบ้างแล้ว”
“ฮ่าๆ ใช่ว่าวันหน้าจะไม่ได้กลับมาอีกสักหน่อย”
“มองจากจุดนี้ สำนักซ่อนเร้นของพวกเราสิถึงจะเป็นสำนักที่มีรากฐานมั่นคงที่สุด เอาแค่พลังวิญญาณ ทั่วแดนเซียนนี้ไหนเลยจะมีสถานที่ใดสามารถเทียบเคียงได้”
พอได้ฟังคำพูดของเหล่าบุตรแห่งสวรรค์ หลี่เสวียนเอ้าก็ส่ายหน้าหลุดยิ้มออกมา เขาพาเหล่าบุตรแห่งสวรรค์ออกเดินทาง สายตามองไปที่ร่างของฉินหลิง เขายังคงคาดหวังในตัวบุตรแห่งสวรรค์คนนี้ที่อยู่ในสายสังกัดของศิษย์พี่ยิ่งนัก
หากไม่มองก็ไม่รู้ แต่ทันทีที่มองก็ต้องตกใจ!
………………………………………………………………