บทที่ 715 ร่างจริงของเทพมาร
เทพมารฟ้าบุพกาลหรือ
หานทั่วยิ่งรู้สึกสนใจใคร่รู้ในตัวของผู้อาวุโสท่านนั้นมากขึ้นไปอีก
ทั้งสองเดินหน้าต่อไป
ไม่รู้ว่าเดินกันอยู่นานเท่าใด จู่ๆ ขั้นบันไดศิลาหยกขาวด้านหน้าพลันปรากฏประตูแสงบานหนึ่งขึ้น จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายผลักประตูเปิดออกเบาๆ ทั้งสองเดินตามกันเข้าประตูไป
หานทั่วรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าพลันสั่นไหว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง พบว่าด้านหน้ามีบัลลังก์หลังใหญ่อย่างยิ่งตั้งอยู่หลังหนึ่ง เมื่อเขากวาดตามองออกไป ที่นี่คือตำหนักใหญ่ที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง มีเสาหินที่หนานับหมื่นจั้ง สูงจนไม่อาจคะเนได้ หลังคาคือท้องนภาดาษดาด้วยหมู่ดาวระยิบระยับงดงาม กว้างใหญ่ไพศาล
หานทั่วคิดจะถามจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย กลับเห็นจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายพลันค้อมกายคำนับ
เมื่อเห็นเช่นนั้น หานทั่วรีบทำตามทันที
“ไม่เลวเลย ถึงแม้จะมิใช่เทพมารฟ้าบุพกาล แต่กลับครอบครองสายเลือดที่เทียบได้กับเทพมารฟ้าบุพกาล หานเจวี๋ยแห่งมรรคาสวรรค์ยอดเยี่ยมจริงๆ”
น้ำเสียงทุ้มกังวานแว่วดังขึ้น เอื่อยเฉื่อยล่องลอย สั่นสะเทือนมรรคจิตของหานทั่วจนคลอนแคลนอยู่บ้าง
หานทั่วลอบตื่นตระหนก
เขาสำเร็จเป็นอริยะแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเทพมารฟ้าบุพกาล กลับเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นยำเกรงขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณสมบัติของทั่วเอ๋อร์ยอดเยี่ยมจริงๆ วังสวรรค์ของข้าจำเป็นต้องพึ่งพาเขาออกศึกทั่วสารทิศ ที่มาหาท่านในครั้งนี้ ด้วยหวังว่าท่านจะสามารถถ่ายทอดร่างแห่งเทพมารให้เขาได้ เขาดูดซับโลหิตของเทพมารฟ้าบุพกาลไปแล้ว โดยพื้นฐานนับว่ากลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล เล่าขานกันว่าเทพมารฟ้าบุพกาลทุกตนล้วนมีร่างจริงของตนอยู่ หลังจากปลุกร่างจริงขึ้นมาแล้ว พลังจะเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน เรามีความสามารถไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมาหาท่านเพื่อให้ช่วยสั่งสอนเขา”
ในช่วงพิสูจน์มรรคเขาเคยปลุกร่างจริงของตนออกมาแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ไม่สามารถปลุกขึ้นมาได้อีก
น้ำเสียงทุ้มกังวานเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ได้ แต่ความร่วมมือระหว่างข้าและวังสวรรค์ ก็จำเป็นต้องพูดคุยกันให้ชัดเจนกระมัง”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ภายภาคหน้ามหามรรคแห่งท่านจะเผยแผ่ถ่ายทอดกันภายในวังสวรรค์ หากท่านมีธุระไหว้วานเราจะทุ่มกำลังช่วยเหลือเต็มที่ แต่ก็ต้องไม่ขัดต่อหลักการของเราด้วย ส่วนยอดสมบัติที่เคยเอ่ยถึงกันในครั้งแรกสุดนั้น วังสวรรค์จะทุ่มกำลังออกตามหาให้เช่นกัน”
น้ำเสียงทุ้มกังวานมิได้ตอบรับในทันที
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบสงัดวังเวง
หานทั่วกระวนกระวาย ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายและอีกฝ่ายจะไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมอย่างที่เขาคาดไว้
“หากเด็กคนนี้รับสืบทอดมรดกจากข้า ภายภาคหน้าต้องสังหารอริยะคนหนึ่งให้ข้า” เสียงทุ้มกังวานแว่วขึ้นอีกครั้ง
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายขมวดคิ้ว
หานทั่วทนไม่ไหวถามออกไปว่า “ผู้ใด ท่านอย่าได้หมายจะใช้ข้าไปสังหารบิดาของตนเป็นอันขาด!”
ฉากละครน้ำเน่าเช่นนี้เขาเคยพบเห็นมาไม่น้อย ผู้ทรงพลังส่วนมากล้วนชมชอบวางแผนเล่นงานศัตรูเช่นนี้ ทำให้ศัตรูถูกหักหลังโดยญาติมิตร พรากลูกพรากเมีย
“น่าขัน ย่อมมิใช่เช่นนั้นแน่นอน ข้าคือเทพมารมหามรรคหลบเร้น สำเร็จมหามรรคมานับร้อยล้านล้านปีแล้ว แต่หานเจวี๋ยบิดาของเจ้าเพิ่งเข้าสู่มหามรรคเท่านั้น หากข้าคิดจะเป็นศัตรูกับเขา สามารถลงมือเองได้ อีกอย่างข้าก็มิได้มีความแค้นกับเขาด้วย อริยะที่ข้าต้องการให้เจ้าสังหารมาจากแดนเทพหวนปัจฉิม นับว่าเป็นศัตรูกับมรรคาสวรรค์ของพวกเจ้าเช่นกัน!”
เสียงทุ้มกังวานหัวเราะดังลั่น
เมื่อหานทั่วได้ฟัง ก็อดรู้สึกโล่งใจไม่ได้
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเปิดปากกล่าวว่า “ขออภัยด้วย เด็กคนนี้พูดจาขวานผ่าซาก เราขอขมาท่านแทนเขาด้วย แต่ไม่ทราบว่าอริยะท่านนั้นคือผู้ใดหรือ”
เทพมารมหามรรคหลบเร้นแค่นเสียง “ถึงบอกพวกเจ้าไปก็ไม่มีปัญหาอะไร หัวหน้าเผ่าจอมเวท ตี้เจียง!”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายหน้าเปลี่ยนสี
แต่หานทั่ว กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอันใด ถึงแม้เขาจะเคยได้ยินตำนานของตี้เจียง แต่ก็มิได้รู้จักตี้เจียง
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ทำเช่นนี้จะกลายเป็นศัตรูกับผานกู่ ให้เราไปสังหารแทนเขาเถิด”
เทพมารมหามรรคหลบเร้นไม่ตอบ
หานทั่วกล่าวว่า “ฝ่าบาท ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้ข้าทำได้ แต่หากท่านกังวลใจจริงๆ เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องการสืบทอดมรดกนี้แล้ว”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้านิดๆ
เสียงของเทพมารมหามรรคหลบเร้นแว่วตามขึ้นมา “ฮึ่ม เจ้าเด็กเหลือขอ ยังจะมาต่อรองกับข้าอีกหรือ หากมิใช่เพราะข้าติดค้างน้ำใจบิดาเจ้า ข้าสังหารเจ้าทิ้งไปนานแล้ว”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากไม่ได้ผู้อาวุโสคอยช่วยเหลือ เราคงสิ้นชีพในมหาเคราะห์มรรคาสวรรค์ไปนานแล้ว อันที่จริงเราก็เคารพนับถือท่านเหมือนบิดามาโดยตลอด เพียงแต่สถานะแตกต่างกันมากนัก ไม่กล้าล่วงเกิน”
หานทั่วกะพริบตาปริบๆ เริ่มจับทางได้แล้ว
“ช่างเถอะ ขอเพียงพวกเจ้าช่วยสังหารตี้เจียงให้เราได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดไปสังหาร ล้วนใช้ได้ทั้งสิ้น ส่วนเด็กคนนี้ก็ให้อยู่ที่นี่เถิด เจ้าไปเสีย”
“ไม่ได้ เราจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเขา”
“เจ้าไม่ไว้ใจข้าเช่นนั้นหรือ”
“หามิได้ เราเพียงเกรงว่าเขาจะหวาดกลัว”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายส่งสายตาให้หานทั่ว
หานทั่วเข้าใจในทันที เอ่ยว่า “หากไม่มีฝ่าบาทอยู่ด้วย มรรคจิตของข้าจะไม่มั่นคง”
“เฮอะๆ”
เสียงหัวเราะหยันของเทพมารมหามรรคหลบเร้นแว่วขึ้น แต่ก็มิได้ปฏิเสธ
….
หนึ่งพันปีต่อมา
ในห้วงอวกาศ บนขั้นบันไดศิลาหยกขาว
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายและหานทั่วก้าวออกมาจากประตูแสง เดินย้อนกลับไปทางเดิม
หานทั่วเยื้องย่างหนักแน่น ท่วงท่าองอาจ ดูแกร่งกล้าสามารถกว่าตอนขามามากนัก
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “รู้สึกอย่างไรบ้าง”
หานทั่วเอ่ย “รู้สึกเหมือนร่างเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง แข็งแกร่งกว่าในอดีตมากมายหลายเท่า หากปลุกร่างจริงแห่งเทพมารขึ้นมา ก็ยิ่งเหมือนถอดร่างผลัดกระดูก! ตอนนี้ข้าอดใจรอเข้าร่วมสงครามแทบไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายส่ายหน้าหลุดยิ้มออกมา สายตามองไปด้านหน้า เอ่ยอย่างลุ่มลึกแฝงความนัย “อีกไม่นานสงครามจะมาถึง ซ้ำยังจะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง รอจนเราขยายกำลังทัพสวรรค์อีกครั้ง ก็สมควรกลับสู่มรรคาสวรรค์ได้แล้ว”
หานทั่วถามด้วยความแปลกใจ “เหตุใดต้องกลับสู่มรรคาสวรรค์พ่ะย่ะค่ะ”
เขาทราบถึงอดีตของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายแล้ว หากกลับไปอาจจะเกิดสงครามขึ้นก็เป็นได้
“นำทางมรรคาสวรรค์มุ่งสู่ฟ้าบุพกาล วางใจเถอะ เรามิได้จะกลับไปล้างแค้น ความเคียดแค้นชิงชังล้วนเป็นบทเรียน ไม่คู่ควรให้เราปักใจฝังลึก เรื่องนี้เป็นจอมอริยะเสวียนตูที่เสนอขึ้นมา หลังจากบุกเบิกเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล ก็มีเผ่าพันธุ์และกลุ่มอิทธิพลฟ้าบุพกาลเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ในละแวกเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นภัยคุกคามผู้บำเพ็ญแห่งมรรคาสวรรค์ มรรคาสวรรค์ต้องการพลังของวังสวรรค์ วังสวรรค์ก็จะได้รับกำลังทหารสวรรค์จำนวนมากจากฟ้าบุพกาล ต่างได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย”
เมื่อได้ฟังคำตอบของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย หานทั่วอดไม่ได้ที่จะมองเขาด้วยความชื่นชมเลื่อมใส
เขาติดตามจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายมาเป็นระยะเวลานานยิ่ง เฝ้ามองจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายพัฒนาวังสวรรค์ไปสู่ความรุ่งเรือง รู้สึกประทับใจในความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญของเขาอย่างลึกล้ำ
ในมุมมองของหานทั่วการร่วมมือกับมรรคาสวรรค์ในครานี้สมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง ช่วยเสริมกำลังพลของวังสวรรค์ที่กำลังขาดแคลนได้พอดี
หากเขาเป็นจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย ต่อให้จอมอริยะเสวียนตูมาหาเขา คาดว่าเขาก็คงยากจะตัดสินใจได้
ถึงอย่างไรจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก็เคยถูกมรรคาสวรรค์ขับไล่ออกมา!
“หลังจากกลับไปแล้ว หากว่าบิดาเจ้ามาเข้าฝันเจ้า อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องที่เทพมารมหามรรคหลบเร้นต้องการให้เราจัดการ บ่วงกรรมของผานกู่หนักหนาเกินไป หากเดือดร้อนไปถึงบิดาเจ้า ต่อไปเขาคงฝึกบำเพ็ญอย่างสงบได้ยากยิ่ง” จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยกำชับ
หานทั่วพยักหน้ารับ “ข้าเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองเดินเคียงข้างกัน เงาร่างค่อยๆ เลือนหายไปที่สุดปลายบันไดศิลาหยกขาว ราวกับมุ่งสู่ความเป็นนิรันดร์
….
ภายในอารามเต๋า
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น อดไม่ได้ที่จะบิดขี้เกียจคราหนึ่ง
ผ่านไปอีกห้าพันปี
เขาอยากยกระดับช่วงเวลาปิดด่านเพิ่มเป็นหนึ่งหมื่นปียิ่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
หากฝึกบำเพ็ญเช่นนี้ต่อไป แทบจะไม่มีโอกาสทะลวงขั้นได้ภายในระยะเวลาหนึ่งแสนปีเลย
เชื่องช้าเหลือเกิน
ในเมื่อเชื่องช้า เช่นนั้นก็จำเป็นต้องทรมานตัวเองแล้ว เร่งระยะเวลาในการฝึกบำเพ็ญของตนให้เร็วขึ้น พอมองย้อนกลับไปจากมุมนี้ ความเร็วในการทะลวงขั้นจะดูเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หานเจวี๋ยคิดแบบนี้ จากนั้นก็มองไปที่ลี่เหยาและเซวียนฉิงจวินที่อยู่นอกเขตเซียนร้อยคีรี
ข้างกายเซวียนฉิงจวินมีสาวน้อยคนหนึ่งติดตามมาด้วย หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก สวมชุดกระโปรงหญ้า คล้ายจะเป็นผู้ที่ถือกำเนิดจากพืชพรรณบุปผา
หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจสอบดูอย่างระมัดระวัง พบว่าสตรีนางนี้มีตบะระดับเซียนสวรรค์ไท่อี่เท่านั้น อีกทั้งไม่มีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่ จึงคลายความระแวงลง
เพียงเขาใช้ความคิด ก็เคลื่อนย้ายสตรีทั้งสองเข้ามาในเขตเซียนร้อยคีรีได้แล้ว ทว่ามิได้เคลื่อนย้ายเข้ามาในอารามเต๋าของเขา
………………………………………………………………