บทที่ 717 อายุสามแสนปี
“หากว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการอยู่เล่า พวกเราต้องล้มเลิกแผนโจมตีมรรคาสวรรค์หรือ” เงาร่างที่เล็กกว่าเอ่ยเสียงขรึม น้ำเสียงไม่พอใจยิ่ง
อีกเงาร่างหนึ่งเงียบไปสักพัก เอ่ยขึ้นว่า “รอคำสั่งจากโฮ่วมิ่งเถอะ ตอนนี้สถานการณ์ของฟ้าบุพกาลเปลี่ยนแปลงไปจนไม่อาจคาดเดาได้ มีตัวประหลาดโบราณมากมายที่หลบเร้นกายมานานจนไม่อาจนับได้ปรากฏตัวขึ้น จะต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังมรรคาสวรรค์คือผู้ใด ป้องกันไม่ให้ไปยุแหย่ตัวตนที่ไม่ควรหาเรื่องเข้า”
เงาร่างที่เล็กกว่าเงียบไป
พวกเขามองต่ออีกสักพักนึง ถึงค่อยๆ เลือนหายไปจากจุดเดิม
อีกด้านหนึ่ง
ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
ภายในตำหนักเอกภพ จอมอริยะเสวียนตูและผานซินนั่งตรงข้ามกัน
จอมอริยะเสวียนตูสีหน้าอึมครึม เอ่ยถามว่า “เป็นความจริงหรือ”
ผานซินพยักหน้า กล่าวว่า “ ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดที่ปล่อยข่าวออกไป ว่าหากเส้นทางสวรรค์พัฒนาต่อไป ผานกู่จะคืนชีพกลับมาแน่นอน ร่ำลือกันว่าสิบสองบรรพชนจอมเวทฟื้นคืนชีพ จักรพรรดินีผืนพิภพก็เข้าร่วมกับพวกเขาแล้ว บุกเบิกโลกขึ้นในฟ้าบุพกาล ก่อตั้งเผ่าจอมเวทขึ้นอีกครั้ง ยิ่งทำให้ข่าวลือนี้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น มีกลุ่มอิทธิพลมากมายปรากฏตัวขึ้นในละแวกเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล ไม่ทราบว่าพวกเขาจะเข้าโจมตีมรรคาสวรรค์ยามใด”
จอมอริยะเสวียนตูตกอยู่ในภวังค์ความคิด
ผานซินเอ่ยต่อไปว่า “ระยะนี้ภายในฟ้าบุพกาลปรากฏตัวตนหนึ่งนามว่ามิ่ง จับตัวสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ไปไม่น้อย คงคิดจะใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์แทรกซึมเข้าสู่แดนเซียน มิ่งน่าจะเป็นตัวตนปลอม ทำนายถึงบ่วงกรรมไม่ได้ แต่สามารถปกปิดบ่วงกรรมได้ พลังวิเศษของคนผู้นี้ไม่อาจดูแคลนได้เลย อีกทั้งเขากำลังประกาศรับสมัครกำลังพล วางแผนพุ่งเป้ามาที่มรรคาสวรรค์”
“มิ่ง…”
จอมอริยะเสวียนตูขมวดคิ้วแน่น
ผ่านไปพักใหญ่
เขาค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะให้อาจารย์ช่วยพยากรณ์ดู ในระหว่างนี้ ฝากเจ้าดูแลเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลด้วย เจ้าอย่าเพิ่งวิ่งเต้นวุ่นวาย”
ผานซินพยักหน้ารับ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไป เดินได้สองก้าวก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเห็นทิศทางที่เขาจากไป จอมอริยะเสวียนตูขมวดคิ้วอีกครั้ง
ผานซินผิดปกติเกินไปแล้ว!
แตกต่างจากเมื่อก่อนราวกับเป็นคนละคน ทำให้เขารู้สึกอึดอัดยิ่ง
ไม่ทราบเช่นกันว่าหานเจวี๋ยกำราบเขาได้อย่างไร
จอมอริยะเสวียนตูไม่ได้คิดมากอีก เริ่มสำแดงพลัง ติดต่อไปหาเหล่าจื่ออาจารย์ของตน
….
สองพันกว่าปีต่อมา
หานเจวี๋ยยังอยู่ระหว่างฝึกบำเพ็ญ จู่ๆ ก็มีข้อความแถวแล้วแถวเล่าเด้งขึ้นมาตรงหน้า
[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุขัยสามแสนปีบริบูรณ์ ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง ออกจากการเก็บตัวทันที สร้างชื่อก้องฟ้าบุพกาล จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]
[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ หลีกห่างจากข้อพิพาท จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน]
หานเจวี๋ยรู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง เขาอายุสามแสนปีแล้ว
กาลเวลาไร้ซึ่งความปรานีโดยแท้
หานทั่วก็อายุสองแสนกว่าปีแล้ว พอคำนวณดูเช่นนี้ พวกเขาเหมือนพี่น้องกันมากกว่า
เพ่ย!
คิดอะไรอยู่กัน!
หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สองเงียบๆ ขยายกองทัพเทพมารเพิ่มอีกตนได้พอดี
[ท่านเลือกเก็บตัวบำเพ็ญ หลีกห่างจากข้อพิพาท ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน]
หานเจวี๋ยหยิบศิลาก่อวิญญาณออกมา ส่งจิตรับรู้เข้าไปในโลกอนธการ เริ่มคัดเลือกปราณเทพมาร
สุดท้ายเขาเลือกเทพมารสุญตา จากนั้นก็ผสานศิลาก่อวิญญาณกับปราณเทพมารเข้าด้วยกัน
จากนั้น เขาก็หมกตัวอยู่กับการฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง
ครั้งนี้ เขาวางแผนจะปิดด่านนานหมื่นปี ทดลองดู
อยากรู้ว่าระยะเวลาหมื่นปีที่ไม่มีเขาอยู่ จะได้เรื่องกันหรือไม่
หานเจวี๋ยจมจ่อมอยู่ในมหามรรคต้นกำเนิดอย่างรวดเร็ว ความคิดอัศจรรย์สารพัดระเบิดขึ้นในสมอง สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สรรสร้างให้ฉากแห่งมหามรรคพรั่งพร้อมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
….
ในห้วงอวกาศกว้างใหญ่ไพศาล เงาร่างนับไม่ถ้วนกรูกันเข้าหาสัตว์ร้ายฟ้าบุพกาลใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่ง สัตว์ร้ายฟ้าบุพกาลตัวนี้ดูคล้ายเต่ายักษ์ บนกระดองเต่ามีภูเขาลูกหนึ่ง มีพฤกษาป่าไม้งอกอยู่ทั่วภูเขา ผลไม้ที่เกิดจากพฤกษาเหล่านี้ความจริงแล้วเป็นอาวุธวิเศษมากมายหลายชิ้น หลากรูปร่างหลายสีสัน งดงามตระการตา
ฉู่ซื่อเหรินยืนอยู่บนเศษหินก้อนหนึ่ง มองฉากสงครามอันวุ่นวายนี้อยู่ไกลๆ ความละโมบและป่าเถื่อนของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรปรากฏในสายตาเขา
เขาอดถอนหายใจไม่ได้
หลังออกจากมรรคาสวรรค์ เขาพบว่าฟ้าบุพกาลป่าเถื่อนกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ เดิมทีคิดว่าคงยากจะได้พบพานร่องรอยมนุษย์ กลับพบว่าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ที่ใดมีโอกาสวาสนา ล้วนมีผู้บำเพ็ญมาต่อสู้แย่งชิง มีทั้งคนที่มาจากมรรคาสวรรค์ มาจากแดนเทพหวนปัจฉิมและมาจากดินแดนอื่นๆ ในฟ้าบุพกาล
สตรีสวมหน้ากากนางหนึ่งยืนอยู่ข้างกายฉู่ซื่อเหริน รูปร่างสะโอดสะอง นางถามด้วยรอยยิ้ม “อะไรกัน กลัวหรือ ไม่กล้าเข้าไปแย่งหรือไร”
ฉู่ซื่อเหรินได้ฟังก็ตอบอย่างสงบว่า “เหตุใดต้องแย่งด้วย วันนี้แย่งเขามาได้ วันหน้าก็ถูกคนอื่นแย่งไปอยู่ดี ก่อวัฏจักรกรรมเป็นวงจร มีเพียงปล่อยวางเท่านั้น ถึงจะบรรลุธรรม”
สตรีสวมหน้ากากกลอกตาใส่เขา ไม่พูดอะไรอีก
ในเวลานี้เอง มีเสียงร้องของมังกรแว่วขึ้นมา กลบทับเสียงต่อสู้ทั้งหมด
ผู้บำเพ็ญทั้งหมดหันไปมอง ในส่วนลึกของความมืดมิด ห้วงมิติปริแยก มังกรทองทรงฤทธิ์ตัวหนึ่งฝ่าทะยานเข้ามาอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ มีชายสวมเกราะเงินคนหนึ่งยืนอยู่บนเศียรมังกร ด้านหลังของร่างมังกรมีทัพทหารสวรรค์มากมายนับไม่ถ้วนติดตามมา เสียงดังข่มขวัญคน
“เป็นวังสวรรค์!”
“ผู้ที่สวมเกราะเงิน เหยียบอยู่บนมังกรทอง คือแม่ทัพเทพหานแห่งวังสวรรค์!”
มีผู้บำเพ็ญร้องอุทานขึ้นมา ผู้บำเพ็ญหลายหมื่นคนที่รุมโจมตีสัตว์ร้ายฟ้าบุกาลอยู่ถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว
แม่ทัพเทพหานหรือ
สายตาของฉู่ซื่อเหรินมองไปยังร่างของหานทั่ว อดตะลึงไม่ได้
เขานับนิ้วทำนาย แสดงสีหน้าแปลกประหลาด
เขาทำนายเรื่องหานทั่วไม่ได้ เพียงเพราะหานทั่วพิสูจน์มรรคแล้ว
แต่หานทั่วรูปโฉมคล้ายคลึงกับหานเจวี๋ยยิ่ง ก่อนหน้านี้เขาทราบจากหมื่นโลกาฉายชัดว่าหานเจวี๋ยมีบุตรชายคนหนึ่ง นามว่าหานทั่ว ยามนี้ติดตามวังสวรรค์ออกศึก
หรือจะเป็นแม่ทัพเทพหานคนนี้
หานทั่วสัมผัสได้ถึงสายตาของฉู่ซื่อเหริน ปรายตามองมา ฉู่ซื่อเหรินตกใจรีบหลบสายตา
“หืม”
หานทั่วมองเห็นบ่วงกรรมบนร่างฉู่ซื่อเหริน ทราบว่าเป็นศิษย์สำนักซ่อนเร้น
ตบะระดับครึ่งอริยะ คาดว่าคงมีฐานะเป็นศิษย์สืบทอดในสำนักซ่อนเร้น
หานทั่วตะโกนขึ้นว่า “วังสวรรค์มาแล้ว พวกเจ้ารีบถอยไปเสีย มิเช่นนั้นจะถูกสังหารทิ้ง!”
ประกาศิตแสนเผด็จการทำให้ผู้บำเพ็ญเหล่านั้นพากันถอยห่างจากสัตว์ร้ายฟ้าบุพกาลทั้งหมด ไม่มีผู้ใดกล้าโวยวาย
ชื่อเสียงของวังสวรรค์ก้องไปทั่วฟ้าบุพกาลมานานแล้ว สามยอดแม่ทัพเทพก็เป็นตัวตนน่าหวาดผวาที่สังหารสิ่งมีชีวิตมานับไม่ถ้วน
หานทั่วเข้ามาถึงตรงหน้าสัตว์ร้ายฟ้าบุพกาล
สัตว์ร้ายฟ้าบุพกาลตัวนั้นคำรามเสียงต่ำ ต้องการหลบหนีออกจากที่นี่ หานทั่วยกมือขึ้น แปลงพลังเวทเป็นโซ่ตรวน พันธนาการสัตว์ร้ายฟ้าบุพกาลที่ใหญ่โตมโหฬารไว้ ไม่อาจดิ้นหลุดได้
หานทั่วพลันเหลือบมองฉู่ซื่อเหริน ถ่ายทอดเสียงหาเขา “เข้ามา หยิบสมบัติวิเศษไปสามชิ้น เลือกได้ตามใจชอบ”
ฉู่ซื่อเหรินตะลึงงัน
หานทั่วหันหลังให้เขา รอคอยอย่างเงียบงัน
เมื่อเห็นเงาด้านหลังของหานทั่ว ฉู่ซื่อเหรินพลันนึกถึงหานเจวี๋ยขึ้นมา
เหมือนกันเกินไปแล้วจริงๆ
ฉู่ซื่อเหรินก็มิได้แสร้งอิดออดเช่นกัน เหาะเข้าไปหาทันที
สตรีสวมหน้ากากรีบเอ่ยว่า “อย่าเข้าไป พวกเขาคือวังสวรรค์!”
ฉู่ซื่อเหรินไม่สนใจนาง เหาะไปทางสัตว์ร้ายฟ้าบุพกาลอย่างรวดเร็ว
เดิมทีเหล่าทหารสวรรค์คิดจะขวางไว้ ผลคือมองเห็นหานทั่วยกมือปราม เหล่าทหารจึงไม่ขยับเขยื้อน
เหล่าผู้บำเพ็ญที่อยู่ไกลออกไปล้วนจ้องมองไปที่ฉู่ซื่อเหริน ไม่ทราบว่าคนผู้นี้คิดจะทำอะไร
ไม่นานนัก ฉู่ซื่อเหรินก็เลือกยอดสมบัติได้ครบสามชิ้น
ฮือฮา…
ผู้บำเพ็ญทั้งหมดล้วนตกตะลึง
คนผู้นี้เป็นใครกัน
กล้าเลือกสมบัติวิเศษต่อหน้าวังสวรรค์ ซ้ำวังสวรรค์ก็ไม่ขัดขวางด้วย!
ฉู่ซื่อเหรินเหาะมาตรงหน้าหานทั่ว ประสานหมัดกล่าวว่า “ขอบพระคุณมาก”
ใบหน้าเคร่งขรึมของหานทั่วปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ตอบกลับว่า “ล้วนเป็นพี่น้องบ้านเดียวกัน ไยต้องมากพิธี เจ้าติดตามข้าไปก่อนเถอะ รอจนเจ้าครอบครองยอดสมบัติทั้งสามอย่างสมบูรณ์แล้วค่อยจากไป ป้องกันไม่ให้ถูกคนทรามเพ่งเล็ง”
ฉู่ซื่อเหรินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าตอบรับ
………………………………………………………………