บทที่ 718 หมื่นปีในชั่วพริบตา กองทัพเทพมาร
เมื่อเห็นกองทัพทหารสวรรค์ลากสัตว์ร้ายฟ้าบุพกาลใหญ่มโหฬารออกเดินทาง ฉู่ซื่อเหรินก็รู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง
ทหารสวรรค์เหล่านี้ระดับอ่อนแอที่สุดมีตบะระดับเซียนแท้ไท่อี่ ถึงขั้นที่มีระดับเทพปนอยู่ด้วย ต่อให้เป็นระดับเทพ ก็ยังเป็นเพียงทหารสวรรค์!
แม่ทัพในสังกัดของหานทั่วต่างมีตบะระดับเซียนทองต้าหลัว แต่ละคนแผ่รังสีสังหารออกมา ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้
หานทั่วนำทัพทหารสวรรค์เดินหน้าไป พร้อมพูดคุยกับฉู่ซื่อเหรินที่อยู่ข้างกาย
ฉู่ซื่อเหรินเอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “ได้ยินมานานแล้วว่าบุตรชายของอาจารย์ปู่พรสวรรค์แข็งแกร่งยิ่ง แต่ไม่คิดเลยว่าท่านจะพิสูจน์มรรคสำเร็จอริยะแล้ว”
หานทั่วแทบไม่เคยได้อยู่ข้างกายหานเจวี๋ยเลย บุกตะลุยไปทั่วฟ้าบุพกาลตลอด ตบะจึงก้าวหน้าไปเร็วกว่าเหล่าศิษย์สืบทอดที่มานะบำเพ็ญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ฉู่ซื่อเหรินทำได้เพียงกล่าวโทษความห่างชั้นระหว่างคุณสมบัติเท่านั้น
มังกรกำเนิดมังกร หงส์กำเนิดหงส์ ผู้สืบทอดสายเลือดโดยตรงของหานเจวี๋ยย่อมมีคุณสมบัติเลิศล้ำทระนง
หานทั่วเอ่ยยิ้มๆ “ข้าสามารถพิสูจน์มรรคได้ก็เพราะอาศัยโชควาสนา มิได้พึ่งพาคุณสมบัติของตนไปเสียทั้งหมด สถานการณ์ปัจจุบันของสำนักซ่อนเร้นเป็นอย่างไรบ้าง”
ฉู่ซื่อเหรินเล่าถึงสำนักซ่อนเร้นอย่างคร่าวๆ ไม่ได้บอกเล่าอย่างละเอียด สำนักซ่อนเร้นแข็งแกร่งมากแค่ไหน เป็นความลับที่ไม่สามารถบอกกล่าวออกไปได้
จู่ๆ หานทั่วก็ถามว่า “ข้ามีน้องชายหรือน้องสาวใช่หรือไม่”
ฉู่ซื่อเหรินผงะไป ตกอยู่ในสภาวะลังเล ไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่
เวลานี้เอง สตรีสวมหน้ากากที่เดินทางมากับฉู่ซื่อเหรินก่อนหน้านี้เหาะเข้ามา ทว่าถูกทหารสวรรค์สกัดไว้
หานทั่วจำได้ว่านางเคยยืนอยู่กับฉู่ซื่อเหริน ดังนั้นจึงมองฉู่ซื่อเหริน เอ่ยถามว่า “คนรู้จักหรือ ต้องการพาไปด้วยหรือไม่”
ฉู่ซื่อเหรินใคร่ครวญดู จากนั้นตอบว่า “พาไปด้วยเถิด นางเคยช่วยชีวิตข้าไว้”
หานทั่วยกมือส่งสัญญาณให้ทหารสวรรค์ปล่อยนางเข้ามา
สตรีสวมหน้ากากเหาะเข้ามาทันที แต่ไม่ได้เข้าใกล้พวกหานทั่วทั้งสอง ไปติดตามอยู่ด้านข้างสัตว์ร้ายฟ้าบุพกาลแทน
หานเจวี๋ยยิ้มออกมา “รู้ความนัก”
เขามองไปที่ฉู่ซื่อเหรินอีกครั้ง รอคำตอบจากฉู่ซื่อเหริน
ฉู่ซื่อเหรินแอบถอนหายใจกับตัวเอง ตอบไปตามจริง “ท่านมีน้องชายคนหนึ่งจริงๆ เพียงแต่ยังไม่ถือกำเนิด”
หานทั่วตกตะลึง ถามด้วยความแปลกใจ “เหตุใดยังไม่ถือกำเนิดอีก เขามิได้ถือกำเนิดออกมาตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อนแล้วหรอกหรือ”
ฉู่ซื่อเหรินยิ้มขื่นพลางตอบว่า “ถูกต้อง ผ่านมานานมากแล้วจริงๆ แต่เขาก็ยังคงอยู่ในครรภ์มารดา ไม่เหมือนเผ่ามนุษย์เลยสักนิด กลับเหมือนสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าอื่นๆ มากกว่า”
“เช่นนั้นคุณสมบัติของเขาคงจะแข็งแกร่งยิ่งนัก” หานทั่วกล่าวด้วยความสะท้อนใจ
มิน่าเล่าถึงได้ก่อให้เกิดการเพรียกหาผ่านสายเลือดได้
หานทั่วไม่มีทางลืมเลือนความรู้สึกหวาดหวั่นไม่มั่นคงในวันนั้น เพราะเหตุนี้ จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายถึงพาเขาไปพบตัวตนระดับสุดยอดที่เก่าแก่ลึกลับท่านนั้น
ฉู่ซื่อเหรินตอบรับคำหนึ่ง ไม่ได้วิจารณ์อะไรมากเช่นกัน
ในใจเขาค่อนข้างหวาดกลัว ไม่ทราบว่าพูดเรื่องนี้ออกมาแล้วจะดีหรือแย่
หานเจวี๋ยทรงพลังอย่างยิ่ง หากวันหน้าทายาทแย่งชิงอำนาจกันก็ถือเป็นเรื่องปกติยิ่ง
หานทั่วมองเห็นสีหน้าเขาก็เดาได้แล้วว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่ จึงเอ่ยอย่างจนปัญญาว่า “เจ้าคิดอะไรอยู่ ข้าจะอิจฉาน้องชายแท้ๆ ของตัวเองได้อย่างไร อีกอย่าง ท่านพ่อก็รักถนอมข้ามากเช่นกัน หากมิใช่เพราะท่านพ่อคอยใส่ใจข้ามาตลอด ข้าคงสิ้นชีพในฟ้าบุพกาลไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว”
นับตั้งแต่วันนั้นที่หานเจวี๋ยออกโรง หานทั่วก็อนุมานได้ว่าทุกครั้งที่รอดพ้นจากภัยอันตรายมาได้ล้วนเป็นความช่วยเหลือของหานเจวี๋ย
ฉู่ซื่อเหรินถามด้วยความอยากรู้ “อาจารย์ปู่อยู่ในมรรคาสวรรค์ จะช่วยท่านได้อย่างไร”
“ใช่แล้ว! วันนั้น…”
หานทั่วเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่หานเจวี๋ยออกโรงก่อนหน้านี้ ท่าทางตื่นเต้นอย่างยิ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ
หลังจากฉู่ซื่อเหรินได้ฟังก็นึกถึงพลังวิเศษอย่างหนึ่งขึ้นมา
ดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพ!
พลังวิเศษนี้ เขาก็ใช้เป็นเช่นกัน แต่ไม่ได้น่าหวาดหวั่นถึงขั้นเดียวกับหานเจวี๋ย
ยิงตรงจากมรรคาสวรรค์สู่ส่วนลึกของฟ้าบุพกาล…
แค่ฉู่ซื่อเหรินฟังจากที่หานทั่วเล่ามา ก็รู้สึกตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
คุณสมบัติของอาจารย์น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงใดกัน!
เก็บตัวอยู่ในมรรคาสวรรค์มาโดยตลอด นอกจากบำเพ็ญตบะแล้ว อำนาจก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เกินไปแล้ว
ยิ่งทั้งสองพูดคุยกันมากเท่าไร ก็ยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นเท่านั้น
เหล่าแม่ทัพสวรรค์ก็พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ปกติหานทั่วดูเคร่งขรึมจริงจังอย่างยิ่ง ต่อให้อยู่ต่อหน้าแม่ทัพเทพอี๋เทียน ก็ยังดูไม่มีความสุขเท่านี้เลย
คนผู้นี้เป็นใครกันแน่
….
หมื่นปีผ่านไปว่องไวยิ่ง โดยเฉพาะกับหานเจวี๋ยที่ปิดด่านอยู่ตลอด
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น พรูลมหายใจออกมา
ผ่านไปหนึ่งหมื่นปี สำนักซ่อนเร้นไร้คลื่นลม อย่างน้อยก็ไม่ส่งกระทบต่อการบำเพ็ญของหานเจวี๋ย
แม้ว่าหานเจวี๋ยจะรู้สึกโล่งใจ แต่ก็ใจหายอยู่บ้าง
เหล่าศิษย์เติบใหญ่กันหมด ดูเหมือนจะไม่ต้องการเขามากนักแล้ว
มรรคาสวรรค์เองก็เป็นเช่นนี้ ทุกอย่างดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ ยามปกติเหล่าอริยะก็ไม่มารบกวนหานเจวี๋ยเช่นกัน
“เพ้อจริงๆ เช่นนี้ก็ดียิ่งแล้วมิใช่หรือ”
หานเจวี๋ยเย้ยหยันตัวเอง เริ่มสอดส่องอารามเต๋าที่อยู่ด้านข้าง
เขาพบว่าสิงหงเสวียนไม่ได้ฝึกบำเพ็ญอยู่ แต่กำลังพูดคุยกับเซวียนฉิงจวิน เรื่องที่คุยล้วนเกี่ยวข้องกับเด็กๆ
สิงหงเสวียนก็ระบายความกังวลออกมา ถึงแม้ตอนนี้บุตรชายในครรภ์จะช่วยให้ตบะนางก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่นางรู้สึกอยู่เสมอว่าตนกำลังเบียดบังศักยภาพของบุตรชายอยู่
เซวียนฉิงจวินคิดว่านางกังวลมากไป จึงเอ่ยปลอบโยน
สิงหงเสวียนเพิ่งฝ่าทะลวงถึงระดับครึ่งอริยะไล่ตามศิษย์สืบทอดทันแล้วเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้เซวียนฉิงจวินอิจฉายิ่ง
นางก็อยากตั้งครรภ์เช่นกัน อยากจะเป็นเช่นเดียวกับสิงหงเสวียน ตบะก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
หานเจวี๋ยแอบฟังอยู่สักพัก จากนั้นก็กวาดสายตามองไปทั่วมรรคาสวรรค์
เขาจำได้ว่าเมื่อพันปีก่อนมีคนได้รับตำแหน่งอริยะแล้ว
คนผู้นี้นามว่าสวีตู้เต้า
หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนาย สีหน้าแปลกพิกล
ในอดีตสวีตู้เต้าคนนี้เคยกราบจักรพรรดิเซียนวัฏจักรเป็นอาจารย์ ต่อมาได้ไปเข้าร่วมกับผานซิน
ผานซินน่าจะทำนายพบบ่วงกรรมระหว่างเขากับจักรพรรดิเซียนวัฏจักร ซ้ำยังทำนายพบว่าจักรพรรดิเซียนวัฏจักรมีบ่วงกรรมเชื่อมกับหานเจวี๋ย ดังนั้นถึงให้การสนับสนุนสวีตู้เต้า
หลังจากแดนเซียนพิภพหวนสู่มรรคาสวรรค์ มิติวัฏจักรก็ไม่เป็นความลับกับเหล่าอริยะอีกต่อไป เหล่าอริยชนทราบดีว่าจักรพรรดิเซียนวัฏจักรเป็นคนของหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยก็นับว่าสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ของตนขึ้นมาแล้ว คาดว่าอริยะรุ่นใหม่ในภายภาคหน้าล้วนจะต้องพึ่งพาบารมีเขาทั้งสิ้น
จุดนี้ค่อนข้างคล้ายกับบรรพชนเต๋า
สมัยก่อนตอนที่บรรพชนเต๋ายังอยู่ อริยะแทบทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์และศิษย์หลานของเขาแทบทั้งสิ้น ไม่มีอริยะที่มาจากนอกสำนักเต๋าเลย
มหาจักรพรรดิเซียวและพวกอริยะมิ่งจีก็เคยกราบเข้าสังกัดบรรพชนเต๋าเช่นกัน
สุดท้ายแล้วอัศวินจะกลายเป็นมังกรเองหรือไม่
เพ่ย!
ข้าแตกต่างจากบรรพชนเต๋า!
หานเจวี๋ยด่าตัวเองว่าคิดมากไปแล้ว
หนึ่งหมื่นปีผ่านไป มรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย แค่สัดส่วนพื้นที่ของแดนเซียนก็ขยายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งในสิบแล้ว
เยี่ยมมาก
หานเจวี๋ยมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง
เขาปล่อยเทพมารกายาออกมา เทพมารฟ้าบุพกาลที่เพิ่งถือกำเนิดมีตบะระดับเซียนทองต้าหลัว
เขาให้มู่หรงฉี่มารับช่วงดูแล จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงไปหาหานมิ่ง
หานมิ่งเข้ามาในอารามอย่างรวดเร็ว ทำความเคารพหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “เหตุใดช่วงนี้ถึงหดหู่เซื่องซึมเล่า”
ก่อนหน้านี้เขาเห็นเทพมารฟ้าบุพกาลตนอื่นๆ รวมตัวฝึกบำเพ็ญร่วมกัน มีเพียงหานมิ่งที่ซุกตัวอยู่ในมุมตามลำพัง
หานมิ่งกัดฟันตอบว่า “แม้อาณาเขตเต๋าจะมีพลังวิญญาณพรั่งพร้อม ความเร็วในการบำเพ็ญของข้าก็ยังคงเชื่องช้านัก รู้สึกว่าทำให้ท่านต้องขายหน้าแล้ว”
หากเทียบกับระดับความเร็วในการบำเพ็ญของเหล่าเทพมารฟ้าบุพกาล ส่งผลกระทบต่อเขามากเกินไปจริงๆ
หานเจวี๋ยคิดดูเล็กน้อย ตัดสินใจจะเปลี่ยนหานมิ่งเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลก่อนกำหนด เขาเป็นเซียนทองต้าหลัวแล้ว น่าจะทนรับไหว
แต่ก่อนหน้านั้นเขาจะต้องเปลี่ยนกวนปู้ไป้ให้กลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลเช่นกัน มิเช่นนั้นจะไม่สมเหตุสมผล
ด้วยเหตุนี้ หานเจวี๋ยจึงเรียกกวนปู้ไป้เข้ามาด้วย
“พวกเจ้าเตรียมใจพร้อมจะกลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลแล้วหรือยัง” หานเจวี๋ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เมื่อกวนปู้ไป้ได้ยินพลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา พยักหน้ารับอย่างแข็งขัน
หานมิ่งเองก็ดวงตาเป็นประกายแล้ว
หานเจวี๋ยทำลายสังขารของทั้งสองทิ้ง เก็บวิญญาณเข้าไปในโลกอนธการ แยกสมาธิจัดการไปพร้อมๆ กัน ผสานพวกเขาเข้ากับปราณเทพมารสองกลุ่มพร้อมกัน
มรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว กองทัพเทพมารของหานเจวี๋ยก็ต้องเพิ่มความเร็วขึ้นเช่นกัน
หลังผ่านการผสานรวมครั้งนี้ เขาเตรียมจะเทศนาธรรมให้อาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง ช่วยให้ตบะของเหล่าเทพมารก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มู่หรงฉี่ จิ้งจอกชาดและเทพมารขุนพลสวรรค์เป็นเทพมารฟ้าบุพกาลรุ่นแรกสุด สมควรพิสูจน์มรรคได้แล้ว
………………………………………………………………