ตู๋กูจุนยืนอยู่ข้างหนึ่ง มองดูหลี่กงกงประคองนางขึ้นมา
ค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิ สายลมหนาวเย็น
จีฉุนสวมใส่เสื้อผ้าบางๆ เป็นชุดสีขาวที่หรูหรางดงาม
องค์หญิงใหญ่ผู้หนึ่ง ถึงกับมาหลับอยู่ที่หน้าประตูบ้านของขุนนาง นี่เป็นการลดศักดิ์ฐานะของตนเพียงไร
แม้แต่หลี่กงกงเองก็ยังไม่เข้าใจแล้ว
ก็เมื่อสามปีก่อน องค์หญิงใหญ่ยังทรงเกลียดชังท่านแม่ทัพผู้พิชิตถึงขั้นเข้ากระดูกดำมิใช่หรือ?
จีฉุนลืมตามามองเห็นว่าเป็นตู๋กูจุน นางก็ผลักหลี่กงกงออกไปเบาๆ ลมยามค่ำเป่าเสื้อผมของนางจนยุ่งเหยิง เพราะตากลมอยู่ด้านนอกเนิ่นนาน สีหน้าของนางจึงซีดขาวไปหมด
“หลี่กงกง เจ้ากลับวังไปก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องต้องการจะพูดคุยกับท่านแม่ทัพเพียงลำพัง”
หลี่กงกงรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้มามีส่วนร่วมในเรื่องที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวเข้าเสียแล้ว
องค์หญิงใหญ่ทรงคิด….กับท่านแม่ทัพผู้พิชิต
เขากระพริบตาปริบๆมองดูคนทั้งสอง แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรออกไป
“เช่นนั้นบ่าวเฒ่าไม่ขอรบกวนองค์หญิงใหญ่และท่านแม่ทัพแล้ว”
หลี่กงกงจากไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเกรงว่าจะได้รู้อะไรที่มากเกินไป
สามลมพัดพาความหนาวเย็นมา จีฉุนสั่นสะท้านน้อยๆ นางเป็นเพียงคนธรรมดา ย่อมไม่อาจจะเปรียบเทียบกับตู๋กูจุนได้อยู่แล้ว
ตู๋กูจุนเห็นแล้ว คิดไปคิดมาก็พานางเข้าไปข้างในจวน สั่งให้หญิงรับใช้นำน้ำขิงร้อนๆมาให้กับนาง
พอดื่มน้ำขิงร้อนลงท้องไป สีหน้าของจีฉุนค่อยดีขึ้นมาบ้าง
สาวใช้ล่าถอยออกไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ …..คืนนี้ ทุกคนในจวนต่างก็รู้ว่าองค์หญิงใหญ่เสด็จมาเพื่อมาพบท่านแม่ทัพ
คุณชายรองชักชวนนางเข้ามารอในบ้านตั้งหลายครั้ง แต่ว่าองค์หญิงใหญ่กลับดีนัก จะต้องรอที่ประตูใหญ่ให้จงได้ คนมากมายต่างก็เกลี้ยกล่อมแล้ว แต่ว่านางกลับไม่ยอมฟัง ไม่พูดไม่จาอะไร เอาแต่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูใหญ่นานถึงสามชั่วยามเต็ม!
นี่มันเพื่ออะไรกันเล่า?
ภายในห้อง มือของจีฉุนประคองถ้วยน้ำขิงที่อุ่นร้อนเอาไว้ ปลายนิ้วเรียวยาวสัมผัสอยู่กับขอบชามกระเบื้อง ค่อยข้างจะซีดขาวอยู่บ้าง
นางนั่งหลังตรง ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ร่างของตู๋กูจุน
“องค์หญิง….”
ครู่ใหญ่ตู๋กูจุนถึงได้เอ่ยปากออกมา
เขาพึ่งจะเอ่ยปาก จีฉุนก็ขัดจังหวะขึ้นมาในทันที
นางวางชามลง ลุกขึ้นยืน แล้วก้าวไปยังด้านหน้าก้าวหนึ่ง “ท่านแม่ทัพ ข้ามีบางประโยคที่อยากจะกล่าวกับท่าน”
เพื่อที่จะพูดเรื่องนี้กับเขา นางถึงได้ยอมยืนรออยู่ที่หน้าประตูใหญ่จวนตระกูลตู๋กูอยู่ตั้งสามชั่วยาม
ตู๋กูจุนมองดูนาง รับฟังนางกล่าวต่อไป
“เรื่องของอาซู่ เป็นข้าโทษว่าท่านผิดไป พอได้รู้ความจริง ข้าก็สำนึกผิด ตำหนิตนเองอยู่ตลอดเวลา”
พอได้ยินคำพูดของนาง ตู๋กูจุนก็อ้าปากขึ้นมา เรื่องของฉางซุนซู่ จีฉุนไม่จำเป็นต้องตำหนิตนเอง
จีฉุนไม่ให้โอกาสเขาได้พูด ได้ยินนางกล่าวต่อไปว่า “ตอนนี้ข้าปลงตกแล้ว หากยังยึดติดกับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรอีก ข้าอยากจะนำพาซุ่นเอ๋อร์เริ่มต้นชีวิตใหม่”
พอพูดถึงตรงนี้ นางก็ขยับเข้าไปใกล้ตู๋กูจุนอีกก้าวหนึ่ง
ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองเหลืออยู่เพียงก้าวเดียวเท่านั้น
ดวงหน้าของจีฉุนแดงก่ำ นางตัดสินใจแน่วแน่น ค่อยเอ่ยถามว่า “ท่านใช่….เต็มใจ….เต็มใจจะ…..”
แค่ประโยคเดียว แต่กลับพูดติดๆขัดอยู่หลายหน ค่อยสามารถเอ่ยออกมาได้ “เต็มใจจะเป็นบิดาให้กับซุ่นเอ๋อร์หรือไม่?”
และประโยคนี้ ถึงกับทำเอาตู๋กูจุนตกตะลึงจนนิ่งงันไป
ตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงของครอบครัว เขาปฏิเสธหยวนเมิ่งต่อหน้านาง แต่ก็มิได้เป็นฝ่ายขยับออกไปเปิดเผยความในใจต่อจีฉุน
กับจีฉุน…..เขาเข้าใจมาเสมอว่าเป็นความรัก
แต่ตอนสุดท้ายนี้ถึงได้พบว่า เป็นการชดเชย
วาสนาระหว่างเขากับนาง เป็นเพียงสิ่งที่เขาอยากจะชดเชยที่เขาติดค้างชีวิตนางในชาติก่อนเท่านั้น
เขานึกไม่ถึงเลยว่า จีฉุนจะบังเกิดจิตปฏิพัทธ์ต่อเขาขึ้นมา
หากว่าเป็นเมื่อหลายปีก่อน บางทีในใจของเขาก็อาจเกิดความยินดีอยู่บ้างกระมั้ง?
แต่ว่าตอนนี้ ในใจของตู๋กูจุนมีแต่ความหนักใจเท่านั้น
เขารีบปฏิเสธออกไป โดยไม่แม้แต่จะคิด “ข้าไม่เต็มใจ”
สีหน้าของจีฉุนเปลี่ยนเป็นซีดขาว นางต้องรวบรวมความกล้าหาญทั้งหมดออกมา ถึงได้สามารถเอ่ยประโยคนั้นออกไปได้
นางนึกว่า ที่เขาปฏิเสธหยวนเมิ่งก็เพราะว่าในใจชื่นชอบตนเอง
แต่แล้วกลับกลายเป็นว่านางคิดทุกอย่างไปเพียงฝ่ายเดียวกระนั้นหรือ?
“ทำไมล่ะ? หรือเพราะว่าข้าเคยแต่งงานกับคนอื่น มีบุตรมาแล้ว เจ้าจึงได้รังเกียจข้า?”
จีฉุนเงยหน้าขึ้นมา อย่างต้องการคำตอบจากเขา
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าไม่เคยคิดรังเกียจเจ้ามาก่อน”
คราวนี้ตู๋กูจุน สามารถเอ่ยตอบจีฉุนด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งได้แล้ว
“องค์หญิง……เพียงแค่ว่าข้าแม่ทัพไม่เคยรักท่านมาก่อนเท่านั้น”
เขาพูดออกไป อย่างเด็ดขาด
“ในเมื่อไม่เคยรัก แล้วจะอยู่กับท่านได้อย่างไร?”
จีฉุนอ้าปากค้าง นางตกตะลึงไปแล้ว “ไม่เคยรักข้ามาก่อน …..เช่นนั้นแล้วทำไมเจ้าถึง….”
ทำไมถึงได้คอยดูแลเอาใจใส่นางกับซุ่นเอ๋อร์ แม้แต่ยามที่ถูกเข้าใจผิดถึงเพียงนั้น ก็ยังไม่แก้ตัว?
พวกนางเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่เด็ก ตู๋กูจุนก็ดูแลนางอย่างดีมาโดยตลอด
แต่พอมาถึงตอนนี้ เขากลับบอกว่าไม่เคยรักนาง?
“ชาตินี้ ขอเพียงข้ายังมีชีวิตอยู่ ก็จะปกป้องคุ้มครองพวกเจ้าแม่ลูกให้ปลอดภัยตลอดไป”
“ข้าสามารถเป็นบิดาบุญธรรม เป็นท่านลุง ให้กับซุ่นเอ๋อร์ เพียงแต่ว่าไม่อาจเป็นบิดาให้กับนางเท่านั้น”
ตู๋กูจุนมองดูจีฉุนอย่างนิ่งเงียบ พลางคิดถึงเรื่องราวในชาติก่อนขึ้นมาอีกครั้ง
เขาเข้าใจผิดว่าจีฉุนในชาติก่อนคือหลีเกอกลับมาเกิดใหม่….
“จีฉุน บุรุษที่คู่ควรกับท่าน สมควรเป็นผู้ที่รักท่านอย่างแท้จริง”
“คนผู้นั้น จะต้องปรากฏตัวขึ้นมาในสักวันหนึ่ง ถึงตอนนั้นท่านกับซุ่นเอ๋อร์ จะต้องเป็นคนมีความสุขที่สุดในโลกอย่างแน่นอน เข้าใจหรือไม่?”
จีฉุนตกตะลึงอยู่ที่เดิม มิว่าอย่างไรนางก็เป็นถึงองค์หญิงใหญ่
หยวนเมิ่งมีศักดิ์ศรีของนาง จีฉุนเองก็เช่นกัน
นางเป็นสตรีที่กล้ารักและกล้าแค้น
หลังจากที่ฉางซุนซู่จากไป นางก็เลี้ยงดูซุ่นเอ๋อร์ ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงามานานหลายปี
นางไม่เคยได้ทำสิ่งใดที่ก้าวล้ำสถานะของตน
หากมิใช่เพราะว่าเกิดจิตปฏิพัทธ์ต่อตู๋กูจุน นางก็คงจะไม่ยอมวางศักดิ์ฐานะลง และเปิดเผยความในใจต่อเขาเช่นนี้
แต่ว่านางก็ถูกปฏิเสธเสียแล้ว
ปฏิเสธอย่างชัดเจน
ต่อให้พูดด้วยคำที่สวยหรูแค่ไหน ก็ยังไม่อาจชดเชยได้อยู่ดี
หัวใจของนางหนักลงเรื่อยๆ ผ่านไปอีกพักหนึ่ง หัวใจถึงได้ค่อยๆสงบราบเรียบลงได้บ้าง
นางเงยหน้าขึ้นมา สองตาจ้องมองดูเขา
“คนที่เจ้าชอบก็คือหยวนเมิ่ง ใช่ไหม?”
ตู๋กูจุนมิได้ตอบนาง
รอจนพักใหญ่ จีฉุนก็ยังไม่ได้คำตอบอยู่ดี
“ข้ารู้แล้ว….” นางยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้
ทอดถอนหายใจยาวๆ จากนั้นก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“ในใจของท่านแม่ทัพมีเป้าหมายอยู่แล้ว จีฉุนขออวยพรให้ท่านแม่ทัพสมความปรารถนา”
“จีฉุนมิใช่สตรีอ่อนแอ ไม่จำเป็นจะต้องให้ท่านแม่ทัพมาคอยปกป้อง ก็สามารถอยู่อย่างสงบสุขและปลอดภัยได้ ในเมื่อไม่อาจได้รับน้ำใจผูกพันจากท่านแม่ทัพ ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่ต้องการรบกวนท่านแม่ทัพในที่ใดอีก เพราะฉะนั้น….ขอลาแล้ว”
จีฉุนยิ้มอย่างเต็มฝืน
นางใช้เวลาถึงแปดปีจึงสามารถก้าวออกมาจากความมืดมิดได้ ทั้งยังใช้พลังใจและความกล้าหาญทั้งหมดออกไปเปิดรับความรู้สึกครั้งใหม่ แต่ว่าสุดท้ายแล้วถึงได้พบว่าความรักที่ตนนึกว่าตนเองจะได้รับเป็นเพียงเรื่องตลก
เขาไม่เคยรักนางมาก่อนเลย…..
นางอุตส่าห์ยินยอม เหยียบย่ำความเย่อหยิ่งและศักดิ์ศรีของตนเองลงบนพื้น
ดังนั้นสำหรับคนอย่างจีฉุนแล้ว นางย่อมไม่ต้องการพบเจอกับเขาอีกชั่วชีวิต
ต่อให้ไม่มีบุรุษ นางก็สามารถดูแลตนเองได้เป็นอย่างดี
สงสารก็แต่ซุ่นเอ๋อร์ ….ที่ถูกโชคชะตากำหนดเอาไว้แล้วว่า ชาตินี้ไม่อาจได้รับความรักจากบิดา
ตู๋กูจุนมองดูนางจากไป ท่ามกลางสายลมยามค่ำ เงาร่างของจีฉุนแสนจะบอบบาง
แต่เขาก็ไม่ได้รั้งนางเอาไว้
เขาไม่มีหนทาง และไม่เต็มใจจะรั้ง
………………………