บทที่ 754 แดนลึกล้ำไร้วิถี
‘ผานกู่กลับชาติมาเกิดที่ใด’
หานเจวี๋ยถามในใจ หากไม่ทราบกระจ่างชัด เขาก็ยากจะข่มตาลงได้
ถึงอย่างไรมรรคาสวรรค์ก็ถูกผานกู่บุกเบิกขึ้น หากผานกู่กลับมาสังหารล้างบาง มรรคาสวรรค์ไหนเลยจะขัดขวาง
[จำเป็นต้องหักอายุขัยร้อยล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ถึงแม้ค่าตัวจะเกินไปมากนัก แต่ก็จำเป็นต้องดำเนินการต่อ!
หานเจวี๋ยเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ
เขาลืมตาขึ้น พบว่าตนอยู่ในฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ด้านล่างคือดาวเคราะห์รกร้างกันดาร ไร้ซึ่งต้นไม้พืชพรรณ เมื่อทอดสายตามองออกไป ทั่วผืนนภามีดาวเคราะห์เช่นนี้ลอยอยู่นับไม่ถ้วน มองไม่เห็นร่องรอยของสิ่งมีชีวิต
หานเจวี๋ยเพ่งมอง ไม่เห็นผานกู่บนดาวเคราะห์รกร้างเลย
ในเวลานี้เอง!
ลำแสงสายหนึ่งร่วงลงมาจากด้านบน รวดเร็วสุดขีด พุ่งชนดาวเคราะห์รกร้าง ทำให้ดาวเคราะห์ทั้งดวงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เกิดคลื่นฝุ่นฟุ้งตลบ พวยพุ่งสูงหลายหมื่นจั้ง
เมื่อฝุ่นสลายตัวไป หานเจวี๋ยมองเห็นไข่ขนาดมหึมาใบหนึ่ง เปลือกไข่โปร่งใส บนนั้นมีเส้นเลือดอยู่มากมาย มองเห็นเงาร่างหนึ่งขดตัวอยู่ด้านในอย่างเลือนราง
นั่นคือผานกู่หรือ
แต่ที่นี่คือที่ไหนกัน
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เบื้องหน้าปรากฏข้อความแถวหนึ่ง
[แดนลึกล้ำไร้วิถี: ดินแดนรกร้างแห่งฟ้าบุพกาล ไร้ซึ่งกฎแห่งมหามรรค ไร้ซึ่งบ่วงกรรม ไม่มีอดีตและอนาคต]
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ถึงแม้จะทราบชื่อของสถานที่นี้ แต่เขาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าที่แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ใด
ภาพลวงตาวิวัฒนาการพลันสลายลง
หานเจวี๋ยกลับสู่ความเป็นจริง เขาเรียกจอค่าความสัมพันธ์ออกมา ตรวจดูรูปประจำตัวของผานกู่
[ผานกู่: ไม่ทราบตบะ เทพมารฟ้าบุพกาล ผู้บุกเบิกมรรคาสวรรค์ บรรพบุรุษของสรรพสิ่ง ผู้กวาดล้างเทพมาร เนื่องจากท่านตัดเจตจำนงควบคุมที่เขาทิ้งไว้ในตัวผานซิน จึงเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 1 ดาว]
เหตุใดยังคงไม่ทราบตบะอยู่เล่า
เขากลับชาติมาเกิดแล้วมิใช่หรือ
หรือว่าเขามิได้กลับชาติมาเกิดอย่างแท้จริง เป็นแค่การกลับชาติมาเกิดของร่างจำลอง
หานเจวี๋ยถามในใจ ‘หลังจากผานกู่กลับชาติมาเกิดแล้ว อีกนานแค่ไหนกว่าจะสามารถสังหารข้าได้’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยร้อยล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[เว้นแต่ท่านจะหยุดฝึกบำเพ็ญ หรือร่างจริงฟื้นคืนชีพ มิเช่นนั้นเขาจะไม่มีทางสังหารท่านได้ตลอดกาล]
ร่างจริงฟื้นคืนชีพ…
ใช่จริงๆ ด้วย!
หัวคิ้วของหานเจวี๋ยคลายตัวลง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การกลับชาติมาเกิดของผานกู่ไม่เป็นภัยคุกคามต่อเขาก็พอแล้ว
หานเจวี๋ยไม่ได้คิดมากอีก ตรวจดูจดหมายต่อ
….
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านพ้นไปอีกสามหมื่นปี
[คุกสวรรค์อนธการสยบทาสสำเร็จ]
[นักพรตเต๋าเสินเผาเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้เต็มขั้นดาวแล้ว]
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น
นักพรตเต๋าเสินเผาในคุกสวรรค์อนธการอยู่ในสภาพร่างวิญญาณ หานเจวี๋ยคลายผนึกออก สังขารของเขาเริ่มฟื้นฟูกลับคืนมา
หานเจวี๋ยเรียกดูรูปประจำตัวของเขา
[นักพรตเต๋าเสินเผา: ระดับเบิกฟ้ามหามรรคระยะสมบูรณ์ ดวงจิตมหามรรค ระดับความประทับใจในตัวท่านเต็มขั้นดาว]
คำอธิบายเรียบง่ายยิ่ง แต่ก็เพียงพอแล้ว
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าระดับสูงกว่ามหาอริยะสวีหุนเพียงหนึ่งขั้นเล็ก แต่ใช้เวลาสยบทาสนานกว่าสิบเท่า!
หลังจากนักพรตเต๋าเสินเผาฟื้นฟูสังขารกลับคืนมา เขาคุกเข่าทำความเคารพหานเจวี๋ยอย่างนอบน้อม
หานเจวี๋ยถามในใจ ‘หากข้าส่งนักพรตเต๋าเสินเผากลับไป สั่งห้ามไม่ให้เขาพูดเรื่องที่ถูกสยบทาส การมีอยู่ของคุกสวรรค์อนธการจะถูกเปิดเผยหรือไม่’
ถ้าให้นักพรตเต๋าเสินเผาอยู่ที่นี่ มิสู้ส่งกลับไปเป็นดวงจิตมหามรรคต่อดีกว่า ช่วยปกป้องเมืองฟ้าบุพกาลของมรรคาสวรรค์ได้พอดี
ตั้งแต่ระดับสูงจนถึงรากหญ้า ล้วนเป็นคนของหานเจวี๋ยทั้งสิ้น!
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ไม่]
เมื่อเห็นคำนี้ หานเจวี๋ยก็ยิ้มออกมาทันที
เขาเริ่มคาดหวังในตัวนักพรตเต๋าเสินเผาแล้ว
หลายชั่วยามต่อมา นักพรตเต๋าเสินเผาถูกหานเจวี๋ยส่งตัวออกไปนอกมรรคาสวรรค์ จากนั้นก็เหาะมุ่งไปยังส่วนลึกของความมืดมิด
เรื่องที่สมควรชี้แจง หานเจวี๋ยชี้แจงไปหมดแล้ว ภายภาคหน้านักพรตเต๋าเสินเผาจะกลายเป็นตัวหมากสำคัญของหานเจวี๋ย
จากนั้นหานเจวี๋ยก็มายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง ปล่อยเทพมารวาตะวิปโยคออกมา ก่อนให้มู่หรงฉี่มารับตัวไป
มู่หรงฉี่กลายเป็นผู้นำของกองทัพเทพมารแล้ว ในหมู่เทพมารอาจมีไม่สบอารมณ์กันอยู่บ้าง แต่ยังคงยอมรับเชื่อฟังมู่หรงฉี่ยิ่งนัก ถึงอย่างไรแต่ละตนก็ล้วนได้รับการดูแลจากมู่หรงฉี่ทั้งสิ้น อีกทั้งพวกเขายังมองความไว้วางใจที่หานเจวี๋ยมีต่อมู่หรงฉี่ออก
ด้วยฐานะของเทพมารสงคราม พลังความสามารถของมู่หรงฉี่ก็ไม่อ่อนด้อยเช่นกัน ในแบบจำลองการทดสอบแม้จะประลองกับเทพมารขุนพลสวรรค์ ก็ยังเสมอกันอยู่บ่อยครั้ง
หานเจวี๋ยพูดคุยกับลี่เหยาสองสามประโยค ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่คูหาของหยางตู๋ต่อ
เมื่อเวลาผ่านนานไป หยางตู๋แทบจะปิดกั้นตัวเองแล้ว เมื่อเทพมารเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่ที่นี่คุณสมบัติของเขาจึงสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าตนไม่คู่ควร ถึงแม้หานเจวี๋ยจะช่วยเปลี่ยนถ่ายสายเลือดให้เขาได้ แต่แม้กระทั่งธรณีประตูระดับครึ่งอริยะเขาก็ไม่มีความหวังที่จะไปถึงเลยสักนิด
หยางตู๋ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นหานเจวี๋ย ก็รีบคุกเข่าทำความเคารพ
เขารู้สึกตื่นเต้น ทราบว่าต่อจากนี้จะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใด
หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ย “หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ ภาระในจิตใจของเจ้าข้ารู้ดี แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าจะจดจำความรู้สึกนี้ไว้ว่าคุณสมบัติจะเป็นอย่างไร ก็ไม่อาจสูญความกล้าหาญและจิตใจอันแน่วแน่ในการเพียรบำเพ็ญไป เข้าใจหรือไม่”
หยางตู๋ตอบด้วยเสียงสั่นๆ “ข้าเข้าใจขอรับ เข้าใจถึงความทุ่มเทของท่าน ข้าไม่กล้าหย่อนยาน และยิ่งไม่กล้าคับข้องน้อยใจ หากไม่มีท่าน ข้าคงเวียนว่ายตายเกิดไปไม่รู้กี่หมื่นกี่พันครั้งแล้ว จนถึงปัจจุบันนี้ก็คงยังเป็นมนุษย์ธรรมดา วนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร”
หานเจวี๋ยก็ไม่พูดไร้สาระอีก ทำลายสังขารของเขา ดูดดึงวิญญาณเขาเข้าสู่โลกอนธการ จากนั้นเขาก็เคลื่อนย้ายไปที่อาณาเขตเต๋าหลัก
หยางตู๋เป็นเซียนทองต้าหลัวแล้ว แต่ตบะยากจะพัฒนาต่อได้ แม้แต่ระยะกลางก็ยังมองไม่เห็นความหวังเลย นี่ก็คือขีดจำกัดด้านคุณสมบัติ
ถึงอย่างไรหานเจวี๋ยก็ไม่ได้ไปเทศนาธรรมที่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สองบ่อยครั้งเท่าอาณาเขตเต๋าหลัก
ในความเป็นจริง หากมิใช่เพราะพลังวิญญาณของอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองสมบูรณ์พร้อมจนไม่มีที่ใดในมรรคาสวรรค์เทียบได้ หยางตู๋ไม่มีความหวังแม้แต่จะได้เป็นเซียนทองต้าหลัวด้วยซ้ำ
หานเจวี๋ยนั่งบนแท่นบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร หลอมรวมวิญญาณของหยางตู๋เข้ากับปราณเทพมารเดียวดาย
ไม่มีสาเหตุอื่นใดนอกไปจากชื่อมีความหมายคล้ายกัน
หานเจวี๋ยแบ่งสมาธิ ใช้พลังเวทช่วยเหลือหยางตู๋ให้ผสานรวมกับปราณเทพมารไปพลาง เริ่มเทศนาธรรมให้อาณาเขตเต๋าหลักไปพลาง
การเทศนาธรรมที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ศิษย์ทั้งหมดในเขตเซียนร้อยคีรีล้วนตอบสนองไม่ทัน ทั้งหมดถูกกวาดพัดเข้าสู่มหามรรคต้นกำเนิด
….
ณ เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ในฟ้าบุพกาล
หานอวี้ในชุดขาวเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับฉินหลิงผู้เป็นศิษย์หลาน เข้าพบโจวฝานผู้ครอบครองเจดีย์
ยามนี้โจวฝานสวมอาภรณ์ดำปักลายงูเหลือม ทรงอำนาจอย่างยิ่ง ไม่ใช่เด็กหนุ่มเลือดร้อนเช่นในอดีตอีกต่อไป
โจวฝานลืมตาขึ้น เมื่อเห็นหานอวี้ก็อดตาลุกวาวไม่ได้
เหมือนกันเกินไปแล้ว!
เหมือนยิ่งกว่าบุตรชายแท้ๆ อย่างหานทั่วเสียอีก!
มีแวบหนึ่งที่เขาถึงขั้นคิดจะคุกเข่าคารวะตามสัญชาตญาณ โชคดีที่เขาควบคุมตัวเองไว้ได้ทัน ไม่มีใครสังเกตเห็น
หานอวี้ประสานมือคำนับ
โจวฝานก็มิได้วางท่า เอ่ยไปว่า “อาจารย์ของเจ้ากลายเป็นมิ่งแล้ว ขอกล่อมเจ้าอย่าได้ออกตามหาเขาอีกเลย เลี่ยงไม่ให้เป็นการชักนำภัยมาสู่ตัว”
มิ่ง!
หานอวี้ขมวดคิ้ว เขามาที่ฟ้าบุพกาลได้ร่วมแสนปีแล้ว ย่อมเคยได้ยินข่าวลือของมิ่ง
มิ่งเป็นตัวตนที่ผู้บำเพ็ญในฟ้าบุพกาลได้ยินชื่อแล้วอกสั่นขวัญผวา พวกเขาบุกตะลุยทำลายล้างไปทั่ว สังหารล้างบางทั่วสารทิศ ก่อกรรมทำชั่วไม่เว้น
จิตใต้สำนึกของเขาปฏิเสธที่จะยอมรับ อาจารย์ของเขาไม่มีทางกลายเป็นมิ่ง
แต่ก็พลันฉุกคิดได้ว่า หากหลี่เต้าคงถูกบังคับให้กลายเป็นมิ่งเล่า
มีความเป็นไปได้!
ฉินหลิงเอ่ยถาม “แม้แต่สำนักซ่อนเร้นก็ไม่สามารถสั่นสะเทือนกลุ่มอิทธิพลมิ่งได้หรือ แต่อาจารย์ของท่านสังหารมิ่งไปถึงสิบสามรายเชียวนะขอรับ!”
โจวฝานถลึงตาใส่เขา ก่อนร้องด่า “แล้วอาจารย์ของข้าไม่ใช่ปรมาจารย์ของเจ้าหรือไร ที่บอกว่าอาจารย์ของท่านหมายความว่าอย่างไร พูดจาไร้มารยาท!”
………………………………………………………………