บทที่ 755 ทะลวงขั้นระยะกลาง เริ่มสาปแช่ง!
“ขอรับๆๆ…ปรมาจารย์ของข้า ส่วนท่านก็เป็นปรมาจารย์ของข้าเช่นกัน!”
ฉินหลิงเอ่ยด้วยความจนปัญญา เขาไหนเลยจะฟังความนัยของโจวฝานไม่ออก
โจวฝานแสดงสีหน้าพอใจ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กระซิบบอกว่า “เรื่องของหลี่เต้าคง ไม่จำเป็นต้องตามสืบ อาจารย์ข้าวางแผนไว้แล้ว เรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงความลับบางอย่าง พวกเจ้าน่าจะเข้าใจกระมังว่ามีความหมายอย่างไร”
เมื่อหานอวี้ได้ฟังดวงตาพลันเปล่งประกาย ถามด้วยความตื่นเต้น “อาจารย์ของข้ามิได้ตกต่ำใช่หรือไม่”
โจวฝานพยักหน้ารับ
หานอวี้สูดหายใจเข้าลึกๆ ในสุดก็ยิ้มออกมา
เขานึกอยู่แล้ว!
ในใจเขา อาจารย์ของเขาเป็นคนสัตย์ซื่อถือคุณธรรมที่สุด จะกลายเป็นมิ่งที่ก่อกรรมทำชั่วได้อย่างไร!
โจวฝานเอ่ยถาม “อีกหลายพันปีให้หลัง วังสวรรค์จะมาเป็นแขก เมื่อถึงเวลานั้นหานทั่วก็จะมาด้วย เจ้าอยากอยู่พบเขาสักหน่อยหรือไม่ ตอนนี้วังสวรรค์ขยายอิทธิพลออกไปยิ่งใหญ่นัก คิดจะพบเขาไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว”
หานอวี้ส่ายหน้าตอบไปว่า “ข้าไม่อยากพบเขา จะพบเขาไปทำไม ในเมื่อทราบเรื่องของอาจารย์ข้าแล้ว ข้าก็ควรกลับไปประจำการที่เขาเทพปู้โจวเสียที”
โจวฝานไม่ได้ออกความเห็นอีก พูดคุยตามมารยาทกับหานอวี้อีกสองสามประโยค ก็ให้ฉินหลิงพาหานอวี้ไปพักชั่วคราว ผ่านไปอีกสักระยะค่อยจากไป
หลังออกจากเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ ฉินหลิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยกับหานอวี้ว่า “อาจารย์ปู่ ไม่เช่นนั้นแล้วท่านอยู่ฝึกบำเพ็ญกับข้าเถอะขอรับ ยามนี้มรรคาสวรรค์ขยายขอบเขตสู่ภายนอก ด้วยตบะของท่านรั้งอยู่ในมรรคาสวรรค์ยากจะประสบโอกาสวาสนาได้”
ทหารลาดตระเวนที่ผ่านทางมาพากันทำความเคารพฉินหลิง เพียงพอจะแสดงให้เห็นตำแหน่งของฉินหลิงแล้ว
หานอวี้รับรู้ทุกอย่างผ่านสายตา เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ดี แต่ตัวข้าไม่ชอบเสี่ยงภัย เพียงอยากอยู่พิทักษ์เขาเทพปู้โจวให้ดีเท่านั้น ไม่มุ่งหมายอยากเป็นอริยะ แต่ใฝ่หาชีวิตยืนยาวไร้กังวล”
ฉินหลิงอึกอักอยากพูดแต่ก็เงียบไป
คำพูดนับหมื่นพันสุดท้ายก็กลายเป็นเสียงถอนหายใจแล้วสลายไปจากใจ
ทุกคนต่างมีหลักการในแบบของตน
มิใช่ว่าการแสวงหาวิถีบำเพ็ญเท่านั้นที่เป็นเส้นทางที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว
….
หนึ่งหมื่นปีต่อมา
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เคลื่อนย้ายหลี่เสวียนเอ้าและอู้เต้าเจี้ยนที่รออยู่ด้านนอกมานานแล้วเข้ามาในเขตเซียนร้อยคีรี
“เช่นนี้ไม่ได้การแล้ว จะปล่อยให้พวกเขาต้องรอทุกครั้งไม่ได้”
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
จากนั้นเขาโบกมือคราหนึ่ง สร้างร่างแยกร่างหนึ่งขึ้นมา มอบสิทธิ์ในการเคลื่อนย้ายคนให้โดยเฉพาะ
ร่างแยกก็คือตัวเขา ขอเพียงไม่มีความคิดจิตใจเป็นเอกเทศเหนือการควบคุม ระบบก็จะไม่ต่อต้าน
ร่างแยกร่างนี้ไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งนัก มีเพียงวิญญาณเสี้ยวหนึ่งของหานเจวี๋ยเท่านั้น
หานเจวี๋ยให้เขาเฝ้าอยู่ที่มุมหนึ่งของอารามเต๋า ดวงจิตประหลาดถูกร่างแยกดึงดูดความสนใจ พุ่งเข้าไปหาทันที พัวพันอยู่รอบตัวร่างแยก
ดวงจิตประหลาดและหานเจวี๋ยเชื่อมต่อกัน ตอนนี้พลังของมันใกล้บรรลุถึงระดับอริยะมหามรรคแล้ว แน่นอนว่าแค่ใกล้เท่านั้น ถ้าคิดจะพิสูจน์มหามรรค มันก็ต้องพึ่งพาตัวเอง ระดับมหามรรรคไม่ได้พิสูจน์ง่ายดายปานนั้น
คาดว่าตอนนี้คงถึงขีดจำกัดของมันแล้ว วันหน้าก็ยากจะพัฒนาต่อไปได้อีก นี่คือกฎแห่งมหามรรค
ไม่นานนักหลี่เสวียนเอ้าก็เข้ามาคารวะ ไม่รอให้เขาทันเปิดปากพูด หานเจวี๋ยก็ชิงเอ่ยก่อนว่า “เรื่องความก้าวหน้าของสำนักซ่อนเร้นไม่จำเป็นต้องรายงานข้าทุกอย่าง ข้าเห็นหมดแล้ว เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมด้วยตัวเอง”
หลี่เสวียนเอ้าได้ฟังพลันปรีดาขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง รีบเอ่ยอย่างถ่อมตัวว่า “มิกล้าขอรับ ท่านต่างหากที่เป็นผู้ปกครองสูงสุด”
หานเจวี๋ยไม่ได้เอ่ยตอบ เขาไม่ได้สนใจสำนักซ่อนเร้นมากเท่าไรแล้ว ขอเพียงก้าวหน้าไปบนแนวทางที่ถูกต้อง เขาก็คร้านจะจัดการอีก
หลี่เสวียนเอ้ากัดฟันกล่าวว่า “เจ้าสำนัก ที่มาในครั้งนี้มีเรื่องสำคัญบางอย่างขอรับ”
“ว่ามา”
“ข้าอยากพิสูจน์มรรคขอรับ!”
เมื่อหลี่เสวียนเอ้าเอ่ยประโยคนี้ออกมา พลันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
หานเจวี๋ยจ้องมองเขา ไม่ได้พูดออกไปทันที
หลี่เสวียนเอ้าทำใจกล้า เอ่ยไปว่า “ตอนนี้มีอริยะมรรคาสวรรค์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ครึ่งอริยะและเซียนทองต้าหลัวก็มีมากเช่นกัน หากตบะของข้าต่ำต้อยไป มีหลายเรื่องที่จะถูกจำกัดควบคุม”
สำนักซ่อนเร้นแห่งมรรคาสวรรค์เป็นสำนักดวงชะตาที่แข็งแกร่งอยู่ในชั้นแนวหน้า หลี่เสวียนเอ้าก็พิสูจน์ครึ่งอริยะแล้ว แต่เป็นเพียงครึ่งอริยะระยะต้นเท่านั้น
เขารับรู้ได้ถึงวิกฤต
หลี่เต้าคงที่อยู่ในรุ่นเดียวกันพิสูจน์มรรคสำเร็จเป็นอริยะไปนานแล้ว
หานเจวี๋ยตอบว่า “อืม เรื่องนี้จะได้รับการกำหนดในประชุมครั้งหน้า”
หลี่เสวียนเอ้าปรีดาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง รีบคารวะขอบคุณหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยโบกมือไล่ หลี่เสวียนเอ้าจึงออกไปทันที
หานเจวี๋ยคิดดูเล็กน้อย สั่งให้ร่างแยกไปอยู่ใต้ต้นฝูซัง หากมีศิษย์ต้องการออกไป ก็ให้มุ่งหน้าไปที่ต้นฝูซังได้เลย ไม่จำเป็นต้องมารบกวนร่างจริงของเขาที่ฝึกบำเพ็ญอีกบ่อยๆ
เมื่อร่างแยกออกไป ดวงจิตประหลาดก็ตามออกไปด้วย
เมื่อมองดูดวงจิตประหลาด หานเจวี๋ยพลันสะท้อนใจอยู่บ้าง
เวลาผ่านมาเนิ่นนานปานนี้ ดวงจิตประหลาดมีสติปัญญามั่นคงแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดมองเห็นมันเลย มันโดดเดี่ยวยิ่งนักเสมอมา
ปล่อยมันออกไปดีหรือไม่
ในอดีตเพราะเกรงว่ามันจะถูกสิ่งอัปมงคลกลืนกิน แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลเลย
ในหมู่สิ่งอัปมงคล มีสักกี่ตนเล่าที่สู้มันได้
‘รอดูไปอีกสักระยะก่อนแล้วกัน ทะลวงขั้นให้ได้ก่อน’
หานเจวี๋ยหลับตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อ
แปดพันสี่ร้อยห้าปีต่อมา หานเจวี๋ยทะลวงขั้นได้สำเร็จ!
หานเจวี๋ยปรับตบะให้มั่นคงพลางเรียกหน้าต่างค่าสถานะออกมาตรวจสอบ
[ชื่อ: หานเจวี๋ย]
[อายุขัย: 648505/31,079, 999, 999, 999, 999, 999, 999, 999, 999, 999]
[เผ่าพันธุ์: เทพมารอนธการ (มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต)]
[ตบะ: มหามรรคเบิกฟ้าระยะกลาง (อริยะสมบูรณ์แบบ)]
[วิชายุทธ์: มหามรรควัฏจักรอนธการ (ระดับมหามรรค), วิชาชุบร่างวัฏจักรดารา]
[มหามรรค: มหามรรคเวียนว่ายตายเกิด, มหามรรคแห่งกรรม, มหามรรคต้นกำเนิด]
….
นับจากการทะลวงระดับครั้งก่อน ผ่านมาเกือบสี่แสนปีแล้ว!
มหามรรคว่ายากแล้ว การมุ่งหน้าต่อไปก็ยิ่งยาก!
โชคดีที่อายุขัยของหานเจวี๋ยเพิ่มขึ้นมาสามเท่า นับว่าไม่ได้เพียรบำเพ็ญไปอย่างเสียเปล่า
หานเจวี๋ยรู้สึกมีความสุข ในที่สุดก็ทะลวงขั้นได้เสียที
หานเจวี๋ยกำหนดเป้าหมายให้ตัวเองต่อ
ทะลวงขั้นบรรลุระดับมหามรรคเบิกฟ้าให้ได้ภายในล้านปี!
พิสูจน์ยอดมหามรรคให้ได้ในหมื่นล้านปี!
“หมื่นล้านปี…ยาวนานมากพอจริงๆ”
หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง เขาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเหล่าอริยะมรรคาสวรรค์ที่มีชีวิตมานับล้านล้านปี ทว่าตบะล้วนไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลย เช่นนั้นจะไม่เป็นบ้าไปหรอกหรือ
แค่ฝ่าทะลวงไม่สำเร็จในไม่กี่แสนปี จิตใจหานเจวี๋ยก็เปี่ยมด้วยความรู้สึกอันตรายแล้ว
ใช้เวลาห้าร้อยปีเต็ม ตบะหานเจวี๋ยถึงมั่นคง
เขายกระดับพลังวิเศษมรรคกระบี่ทั้งหมดให้ถึงขีดจำกัด จากนั้นก็ฝึกฝนร่างจำลองเสรีสุญญตา
ครั้งนี้เขาใช้เวลาสองร้อยปี เรียนรู้ร่างจำลองเทพมารเพิ่มสามร้อยร่าง มีร่างจำลองในการครอบครองทั้งหมดแปดร้อยสี่สิบเก้าร่างแล้ว!
พลังเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน!
หานเจวี๋ยไม่ได้เข้าสู่แบบจำลองการทดสอบในทันที แต่นำขวานเบิกฟ้าและหินวิญญาณมรรคาสวรรค์ที่ได้มาก่อนหน้านี้ออกมา
เขาเตรียมจะยกระดับให้ขวานเบิกฟ้า!
อยากเห็นว่าเหนือกว่ายอดสมบัติฟ้าบุพกาลขึ้นไปคือระดับใด!
ไม่นานนัก ขวานเบิกฟ้าก็ผสานรวมกับหินวิญญาณมรรคาสวรรค์ แต่จำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อยกระดับ หานเจวี๋ยจึงเก็บขวานเบิกฟ้าเข้าไปในระบบ รอให้การยกระดับเสร็จสิ้น
จากนั้นเขาก็หยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา
หานเจวี๋ยลูบปกหนังสือแห่งความโชคร้าย ใบหน้าฉายแววคะนึงหาเล็กน้อย ก่อนพึมพำว่า “ผ่านมานานหลายปี ทำให้เจ้าต้องได้รับความอยุติธรรมแล้ว เก็บเจ้าไว้ไม่ให้ออกศึกเลย วันนี้ทะลวงขั้นสำเร็จ จะใช้เจ้าสาปแช่งสร้างความสำราญ”
หนังสือแห่งความโชคร้ายคล้ายจะรู้สึกตื่นเต้น แผ่แสงสีดำสายหนึ่งออกมา
หานเจวี๋ยเริ่มสาปแช่งเจ้าชะตาอันธการ
ระดับความเกลียดชังระดับ 6 ดาว จำเป็นต้องป้องกันไว้!
ต่อให้สาปแช่งจนตายไม่ได้ ก็ต้องมอบคำเตือนให้เจ้าชะตาอันธการ ไม่ให้ความสนใจของคนผู้นี้มาจดจ่ออยู่ที่เขา
ตบะระดับอริยะมหามรรคใช้สาปแช่งร่วมกับหนังสือแห่งความโชคร้ายยอดสมบัติวิญญาณมหามรรค แม้กระทั่งตัวของหานเจวี๋ยเองก็สามารถรับรู้ได้ถึงพลังคำสาปแช่งที่เพิ่มขึ้นอย่างยิ่งยวด
น่ากลัวอยู่บ้าง!
หานเจวี๋ยเริ่มรู้สึกยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นขึ้นมา
เจ้าชะตาอันธการ เจ้าจะต้านทานคำสาปแช่งทำให้ข้าเสียอายุขัยไปได้กี่ปีกันนะ
………………………………………………………………