ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ – บทที่ 756 สมบัติเลิศมรรคา!

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 756 สมบัติเลิศมรรคา!

ห้าวันต่อมา อายุขัยของหานเจวี๋ยเริ่มลดลง

ตัวเลขอายุขัยลำดับปลายแถวเด้งอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเทียบกับตัวเลขทั้งชุดแล้ว ไม่ส่งผลกระทบมากนัก

หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่าพลังคำสาปแช่งของตนแข็งแกร่งขึ้นมาก หากเป็นอริยะทั่วไป เกรงว่าคงไม่มีคุณสมบัติพอจะทำให้อายุขัยเขาลดลงด้วยซ้ำ

ความรู้สึกที่ได้ทำตามอำเภอใจช่างสดชื่นเหลือเกิน!

ราวกับแค่มีหนังสือเล่มนี้อยู่ ก็สามารถทำลายล้างศัตรูทั่วหล้าได้!

หนึ่งหมื่นล้านปี!

หนึ่งแสนล้านปี!

หนึ่งล้านล้านปี!

ร้อยล้านล้านปี!

พันล้านล้านปี!

แสนล้านล้านปี!

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง

[เจ้าชะตาอันธการศัตรูคู่อาฆาตของท่านมรรคจิตได้รับความเสียหาย เนื่องจากคำสาปแช่งของท่าน]

น่าสนใจอยู่บ้าง

ต้านทานได้นานยิ่ง

หานเจวี๋ยวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลง ไม่ได้สาปแช่งต่อ

ต้านทานได้นานยิ่ง

หานเจวี๋ยวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลง ไม่ได้สาปแช่งต่อ

ยังต้องเก็บเจ้าชะตาอันธการไว้ใช้ประโยชน์ กลุ่มอิทธิพลมิ่งช่วยรับความแค้นแทนเขาได้ เล่นงานเจ้าชะตาอันธการให้ตายก่อนกำหนดมิใช่เรื่องดี

แน่นอนว่าหากสาปแช่งต่อไป อาจสังหารเจ้าชะตาอันธการได้

หานเจวี๋ยเก็บหนังสือแห่งความโชคร้าย เริ่มใช้งานแบบจำลองการทดสอบ

สี่สิบเก้าปีต่อมา

หานเจวี๋ยสิ้นสุดการใช้แบบจำลองการทดสอบ เรียกอู้เต้าเจี้ยนที่มาขอเข้าพบเข้ามาในอารามเต๋า

ได้เข้ามาในอารามเต๋าแห่งนี้อีกครั้ง อู้เต้าเจี้ยนรู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง

ทุกสิ่งยังคงเป็นเช่นในอดีต มีเพียงจิตใจของนางที่แตกต่างไปจากในอดีต

หากตอนนั้นไม่ออกไป ตอนนี้เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรกันนะ

อู้เต้าเจี้ยนไม่กล้าคิดเลย หากเปรียบเทียบกับในปัจจุบัน ความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือเกิดระยะห่างระหว่างนางและหานเจวี๋ย

แต่ก่อนประสบการณ์ยังน้อย ไม่ได้มีความยำเกรงมากนัก แต่ตอนนี้หลังผ่านประสบการณ์ในโลกธรรมดามา จึงมีความยำเกรงเพิ่มขึ้นมา ไม่ได้ต่อปากต่อคำกับหานเจวี๋ยเช่นในอดีต

อู้เต้าเจี้ยนคุกเข่าคารวะอย่างเคารพนบน้อม

หานเจวี๋ยถาม “เจ้าตัดสินใจแล้วหรือ”

อู้เต้าเจี้ยนมาหาเขาในครั้งนี้ เดาเจตนาของนางได้ไม่ยากเลย

คาดว่านางคงพอจะทราบว่าการหายตัวไปของพวกลี่เหยาและมู่หรงฉี่แล้ว

อู้เต้าเจี้ยนเงยหน้าขึ้น เอ่ยว่า “เตรียมตัวดีแล้วเจ้าค่ะ ขอนายท่านโปรดช่วยให้สมปรารถนาด้วยเถิด”

หานเจวี๋ยก็ไม่พูดไร้สาระอีก ทำลายสังขารของนางทันที ดูดวิญญาณของนางเข้าสู่โลกอนธการ

อู้เต้าเจี้ยนไม่ทันตอบสนองก็พบว่ารอบตัวพลันเปลี่ยนไป สังขารของนางหายไปแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น…เหตุใดนายท่านถึงสังหารข้า”

อู้เต้าเจี้ยนรู้สึกสิ้นหวัง ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

นางเคยฟังมาจากไก่คุกรัตติกาล เตรียมจะพลีกายตน ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้หานเจวี๋ยโกรธเข้า

ช่างเถิด

ตายเป็นตาย…

อู้เต้าเจี้ยนหลับตาลง เตรียมพร้อมยอมรับชะตากรรมของตน

ถึงอย่างไรชีวิตของนางก็ได้รับมาจากหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยไม่ทราบถึงความคิดของอู้เต้าเจี้ยนเลย เลือกปราณเทพมารมากลุ่มหนึ่ง ช่วยนางผสานรวม

จากนั้น เขามายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง ปล่อยหยางตู๋ออกมา

หยางตู๋ร่วงลงหน้าอารามเต๋า รู้สึกราวกับอยู่คนละโลก

เขาเป็นคนที่คุ้นเคยกับอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองดีอยู่แล้ว หานเจวี๋ยจึงไม่ได้เรียกมู่หรงฉี่มารับ

แต่เมื่อมู่หรงฉี่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของหยางตู๋ก็ปรากฏตัวขึ้นทันที ซ้ำยังเป็นฝ่ายเข้ามาทักทายก่อน

“ยินดีด้วย ในที่สุดเจ้าก็กลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลแล้ว” มู่หรงฉี่ตบไหล่หยางตู๋พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทำสีหน้าราวกับว่าข้ารู้อยู่แล้ว

หยางตู๋ตื้นตันนัก หันไปทำความเคารพหานเจวี๋ย จากนั้นก็ตามมู่หรงฉี่ออกไป

เพิ่งกลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล เขายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องขอคำชี้แนะจากมู่หรงฉี่ มู่หรงฉี่บอกทุกเรื่องที่รู้ มีความอดทนเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เขารู้สึกเลื่อมใสยิ่งกว่าเดิม

สมกับที่หานเจวี๋ยเลือกให้มู่หรงฉี่เป็นผู้นำของเหล่าเทพมาร!

บุคลิกนี้ชวนให้คนเลื่อมใสจริงๆ

หานเจวี๋ยไม่ได้ไปจากอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองทันที แต่สอดส่องแดนเซียนพิภพ

ทันใดนั้นเขาพบว่าเริ่นกังและอิ่นหงเฉิน ไม่ได้อยู่ในแดนเซียนพิภพแล้ว ถึงขั้นที่ไม่ได้อยู่ในมรรคาสวรรค์ด้วยซ้ำ

เขานับนิ้วทำนายดู ทั้งสองติดตามมิติวัฏจักรมุ่งหน้าเข้าสู่ฟ้าบุพกาลตั้งแต่เมื่อหลายหมื่นปีก่อน และไม่กลับมาอีกแล้ว

หานเจวี๋ยก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเขารู้สึกได้ถึงอันตรายจึงคัดเลือกตัวเลือกเทพมารเพิ่ม ตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นแล้ว จึงไม่ได้รีบร้อนสร้างกองทัพเทพมารอีก

ไม่มีโอกาสได้กลายเป็นเทพมาร คนที่ต้องเสียใจมีเพียงเริ่นกังและอิ่นหงเฉินเท่านั้น อย่างมากหานเจวี๋ยก็แค่หาคนมาแทนทั้งสองซะ ในสำนักซ่อนเร้นไม่ขาดแคลนตัวเลือกอยู่แล้ว

“ท่านมองอะไรอยู่หรือ” ลี่เหยาถามด้วยความสงสัย

หานเจวี๋ยได้สติกลับมา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีอะไร”

จู่ๆ ลี่เหยาก็จับมือเขาไว้ เอ่ยเสียงค่อย “อย่าเพิ่งรีบไปเลยเจ้าค่ะ”

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “มีเรื่องใดหรือ”

ลี่เหยาหน้าแดงเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าต้องการให้ท่านช่วยเพิ่มพูนตบะให้ข้า”

หานเจวี๋ยเงียบไป

เมื่อเห็นเขาไม่ได้โต้แย้ง ลี่เหยาจึงลงมือทันที

ภายในอารามเต๋าตกอยู่ในห้วงความปรารถนา หากมิใช่ระดับยอดมหามรรค ย่อมไม่มีทางสอดส่องได้

….

วันเวลาเคลื่อนคล้อย

ผ่านไปอีกหนึ่งหมื่นปี

หานเจวี๋ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น หลังจากเคล้าคลอกับลี่เหยายี่สิบปี เขาก็กลับมาฝึกบำเพ็ญต่อ

หมื่นปีผ่านไป ตบะเขาไม่เพิ่มขึ้นเลยสักนิด ทำให้เขาห่อเหี่ยวอยู่บ้าง

หลังจากสำเร็จระดับเบิกฟ้ามหามรรคระยะกลางแล้ว ความลำบากในการฝึกบำเพ็ญก็เพิ่มมากขึ้น

หานเจวี๋ยหยิบขวานเบิกฟ้าออกมา ขวานเล่มนี้ยกระดับเสร็จสิ้นแล้ว

ไอสังหารอันน่าหวาดผวาสายหนึ่งระเบิดออกมา เป่าพัดเรือนผมยาวของหานเจวี๋ย เขาตกใจรีบสะกดไอสังหารนี้ทันที กลัวว่าจะพลาดไปทำร้ายศิษย์สำนักซ่อนเร้นเข้า

แข็งแกร่งนัก!

เมื่อเทียบกับก่อนหน้าแล้ว ราวกับเป็นสมบัติคนละชิ้นกันเลยทีเดียว ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้

ก่อนหน้านี้ในมุมมองของเขา ขวานเบิกฟ้าถึงขั้นที่ไม่นับเป็นยอดสมบัติฟ้าบุพกาลเลยด้วยซ้ำ มีดีแค่แข็งกับหนักเท่านั้น

แต่ขวานเบิกฟ้าในตอนนี้กลับทำให้อริยะมหามรรคอย่างเขารู้สึกหนักใจได้ ไอสังหารที่ประสานอยู่ในตัวมันชวนตื่นตะลึงอย่างยิ่ง

ต่อให้ไม่ใช้โทสะเทพอนธการ อาศัยเพียงขวานเล่มนี้ เขาก็มั่นใจว่าสามารถสังหารเฮิ่นจีได้

หานเจวี๋ยเรียกข้อมูลของขวานเบิกฟ้าออกมาตรวจสอบดู

[ขวานเบิกฟ้า: สมบัติเลิศมรรคา หนึ่งในสมบัติวิเศษคู่ชีพของเทพมารฟ้าบุพกาลผานกู่ อันดับหนึ่งด้านอาวุธสังหาร มีพลังสามารถกลืนกินดวงชะตาของเทพมารฟ้าบุพกาล บุกเบิกฟ้าดินได้]

สมบัติเลิศมรรคา!

อันดับหนึ่งด้านอาวุธสังหาร!

ร้ายกาจนัก!

หานเจวี๋ยเก็บขวานเบิกฟ้าให้ดี จากนั้นเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบ เขาต้องการทดสอบพลังของขวานเบิกฟ้า

….

ณ แดนต้องห้ามอันธการ แสงสว่างจากเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลแบ่งแยกความมืดมิดออกเป็นสองฝั่ง ตำหนักใหญ่โตหลังหนึ่งลอยสูงอยู่ด้านบน

ภายในตำหนัก ผานซินกำลังนั่งสมาธิอยู่

ยามปกติไม่มีเรื่องราวใด เขาชอบฝึกบำเพ็ญอยู่ในฟ้าบุพกาล ถือโอกาสคุ้มครองเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลไปด้วย

ทันใดนั้นเขาพลันลืมตาขึ้น หยิบขวานเบิกฟ้าขึ้นมา

ขวานเบิกฟ้าที่อยู่ในมือเขากลายเป็นหินด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากนั้นก็เกิดรอยแตกร้าว

ผานซินตกใจจนหน้าถอดสี รีบใช้พลังเวทของตนซ่อมแซม จนปัญญาที่ยื้อไว้ไม่อยู่

ตูม!

ขวานเบิกฟ้าแหลกเป็นผุยผง สลายหายไปต่อหน้าเขา

“เป็นไปได้อย่างไร!”

ผานซินมองด้วยความตื่นตะลึง

นี่คือยอดสมบัติที่เขารับสืบทอดมาจากเทพยักษาผานกู่ ก่อนหน้านี้เขาฝ่าวงล้อมของเหล่าอริยะมหามรรคกลุ่มหนึ่งออกมาได้อย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรก็เพราะอาศัยสมบัติชิ้นนี้และบัวขจีสามสิบหกฟ้าบุพกาล

ยอดสมบัติเช่นนี้จะกลายเป็นเถ้าธุลีสลายหายไปได้อย่างไร

ผานซินนับนิ้วทำนาย ทำนายไม่พบว่าขวานเบิกฟ้าไปอยู่ที่ใด และทำนายไม่ได้ว่ามันแหลกสลายลงด้วยสาเหตุใดเช่นกัน

ตอนนี้ผานซินทึ่มทื่อไปแล้ว

มรรคจิตก็เกิดรอยแตกร้าวสายหนึ่งขึ้นเช่นกัน

ในเวลานี้เอง เสียงของมหาจักรพรรดิเซียวแว่วมาจากนอกประตู “สหายเต๋าผาน ระยะนี้กลุ่มอิทธิพลของมิ่งมาป้วนเปี้ยนในละแวกเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล”

ผานซินลุกขึ้นมาทันที พลังอำนาจน่าหวาดหวั่นสั่นสะเทือนอาณาเขตเต๋าของเขาจนพังทลาย ไอพลังสายแล้วสายเล่าพัวพันอยู่รอบกายเขา

มหาจักรพรรดิเซียวที่อยู่นอกตำหนักสะดุ้งโหยง ถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ

เมื่อเขาเห็นผานซินที่เปี่ยมด้วยไอสังหาร ก็ยิ่งเป็นกังวล

เขาพลันนึกถึงฉากในปีนั้นที่ผานซินสังหารฝ่าฟันกลับมาที่มรรคาสวรรค์

คนผู้นี้บ้าไปแล้วหรือ?

“ดีมาก! มิ่งสินะ ข้าจะไปจัดการพวกเขาเดี๋ยวนี้!”

ผานซินตะคอกเสียงเข้ม เสียงดังสนั่นปานฟ้าผ่า ทันทีที่พูดจบเขาก็เลือนหายไปทันที ทิ้งให้มหาจักรพรรดิเซียวสับสนมึนงงอยู่เพียงผู้เดียว

………………………………………………………………

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

Status: Ongoing
ชาติก่อนอายุสั้น ไม่ทันได้ใช้ชีวิต ชาตินี้จึงขอพากเพียรบำเพ็ญเซียน ลาภยศสตรีมีหรือจะสู้การเป็นอมตะ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท