บทที่ 758 ขุนศึกยอมตายเพื่อสหายที่รู้ใจ!
เรื่องของเผ่ามนุษย์ทำให้เกิดการโต้เถียงกันอย่างดุเดือดในหมู่อริยะ อาจเป็นเพราะไม่มีเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ปรากฏขึ้นในมรรคาสวรรค์มานานเกินไป เหล่าอริยะจึงตื่นเต้นกันยิ่ง
หานเจวี๋ยกลับไม่ใส่ใจเลย จักรพรรดิมวลมนุษย์คนนั้นมิใช่ตัวแทนของทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์
เผ่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์ แต่มิได้แปลว่าจักรพรรดิมวลมนุษย์คือตัวเอกแห่งมรรคาสวรรค์
ยุคสมัยแห่งความสงบสุขดำเนินมาหลายแสนปี ทำให้มนุษย์หลงลืมความยำเกรงไป นี่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
หานเจวี๋ยฟังแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย หลังจากทราบว่าส่วนหลังๆ ไม่มีเรื่องสำคัญแล้ว เขาจึงลุกขึ้นจากไป
เหล่าอริยะก็ไม่ได้ขัดขวาง กลับรู้สึกโล่งใจ
หานเจวี๋ยอยู่ด้วย พวกเขามักจะกังวลกับมุมมองของหานเจวี๋ย การที่หานเจวี๋ยจากไปแปลว่าเขาไม่สนใจไยดีเรื่องนี้เลย
คิดๆ ดูก็ถูกต้องแล้ว หานเจวี๋ยมีฐานะระดับใดกันเล่า
หลังจากหานเจวี๋ยไปแล้ว จิ้นเสินเอ่ยออกมาตรงๆ “ต่อต้านแนวโน้มภาพรวมของมรรคาสวรรค์ สร้างความแตกแยกรบกวนความสงบสุข ลงโทษไปตรงๆ เถอะ เปลี่ยนตัวจักรพรรดิเผ่ามนุษย์เสีย”
หลี่ไท่กู่เปิดปากเอ่ย “ขอเสนอให้ดำเนินการสอดส่องวิหารจักรพรรดิมนุษย์ ถึงอย่างไรเผ่ามนุษย์ก็เป็นเผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากวิหารจักรพรรดิมนุษย์ เผ่ามนุษย์ไหนเลยจะกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้”
ฟางเหลียงกล่าวว่า “ตอนนี้เผ่ามนุษย์ไม่ได้มาตรฐานเลย จักรพรรดิมนุษย์คัดเลือกจากผู้ที่มีตบะแกร่งกล้า แทนที่จะเป็นยอดคนทรงความสามารถ ข้ารู้จักผู้ทรงความสามารถคนหนึ่งในเผ่ามนุษย์ มีใจห่วงใยรูปการณ์โดยรวมของใต้หล้า และมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมมากเช่นกัน”
เหล่าอริยะผลัดกันพูดเสนอความคิดเห็น ในไม่ช้าก็ได้ข้อสรุป
หากเป็นช่วงก่อนเกิดมหาเคราะห์ครั้งก่อน เหล่าอริยะคงทำเป็นหลับตาข้างลืมตาข้างไป
แต่อนนี้มรรคาสวรรค์จำเป็นต้องพัฒนาก้าวหน้า ต้องออกสำรวจฟ้าบุพกาล หากภายในตกอยู่ในสงครามแตกแยก ต้องเป็นเหตุชักนำให้ผู้บำเพ็ญที่ออกสำรวจฟ้าบุพกาลอยู่ด้านนอกก่อความวุ่นวายตามแน่นอน
….
ณ เขาเทพปู้โจว
หานอวี้นั่งสมาธิอยู่ใต้พฤกษาเก่าแก่ต้นหนึ่ง ทิวทัศน์บนยอดของเขาเทพปู้โจวงดงามอย่างยิ่ง เมื่อทอดมองจากหน้าผาลงไป มีสันเขาเชื่อมโยงสูงบ้างต่ำบ้างโผล่พ้นยอดเมฆา ราวกับสันหลังมังกร ยิ่งใหญ่กว้างขวาง
หานอวี้นั่งสมาธิอยู่ใต้พฤกษาเก่าแก่ต้นหนึ่ง ทิวทัศน์บนยอดของเขาเทพปู้โจวงดงามอย่างยิ่ง เมื่อทอดมองจากหน้าผาลงไป มีสันเขาเชื่อมโยงสูงบ้างต่ำบ้างโผล่พ้นยอดเมฆา ราวกับสันหลังมังกร ยิ่งใหญ่กว้างขวาง
หานอวี้ที่ฝึกบำเพ็ญอยู่ใต้พฤกษาสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว อาภรณ์ขาวไม่แปดเปื้อนฝุ่นธุลี สงบสุขมานานหลายปี
ในเวลานี้เอง
เงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าหานอวี้
เป็นหลงเฮ่า
มิใช่ร่างจริงของหลงเฮ่า แต่เป็นเงามายา
หานอวี้ลืมตาขึ้น มองไปที่เขาก่อนถาม “มีเรื่องใด”
หลงเฮ่าเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าช่างเย็นชาเสียจริงนะ ข้าไม่มีธุระแล้วมาเยี่ยมเจ้าไม่ได้หรืออย่างไร ตอนนี้ข้าเป็นอริยะแล้ว เจ้าไม่เคารพกันเลยหรือ”
หานอวี้กลอกตาใส่ ไม่สนใจเขา
หลงเฮ่ามองใบหน้าเขาแล้วก็ไม่กล้าโกรธ ย่อมไม่นึกถือสา เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นถึงมหาบรรพชนผู้สูงส่งแห่งเผ่ามนุษย์ ยินดีจะก้าวออกมาเป็นผู้นำของเผ่ามนุษย์หรือไม่”
หานอวี้ขมวดคิ้ว เอ่ยถาม “จักรพรรดิมวลมนุษย์คนปัจจุบันสร้างปัญหาหรือ”
ชัดเจนยิ่งนัก เขาก็เคยได้ยินพฤติกรรมของเผ่ามนุษย์มาเช่นกัน
หลงเฮ่าเอ่ยว่า “หลายร้อยปีก่อนในงานพิธีบวงสรวงของเผ่ามนุษย์ จักรพรรดิมวลมนุษย์ประกาศว่ามนุษย์สูงส่งกว่าอริยะ เป็นเผ่าพันธุ์ที่สมควรรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง เจ้าคิดว่าคำพูดนี้อันตรายหรือไม่เล่า”
หากเป็นมนุษย์ธรรมดากล่าวเช่นนี้ก็แล้วไปเถิด ใต้หล้านี้มีสิ่งมีชีวิตมากมายที่ชอบเสแสร้งอวดอ้างตัว แต่ในฐานะของจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ ไม่สมควรกระทำเช่นนั้นเลย
หานอวี้ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “แล้วไปเถอะ ข้าไม่สนใจจะยุ่งเรื่องทางโลก เจ้าไปหาคนอื่นเถอะ”
เขาชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยต่อว่า “ขอบใจมาก”
หลงเฮ่าพิสูจน์มรรคแล้ว ยังคงระลึกถึงเขาอยู่ ทำให้เขาตื้นตันมากจริงๆ
เผ่ามังกรมียอดฝีมือและบุตรแห่งสวรรค์มากมาย หลงเฮ่าหาได้ไร้ตัวเลือกไม่
หลงเฮ่ามองหานอวี้อย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “เจ้ายอดเยี่ยมนัก บางทีในอนาคตข้างหน้าเจ้าอาจจะไปไกลเกินกว่าจินตนาการของโลกมนุษย์”
พอพูดจบ หลงเฮ่าก็หายตัวไป
หานอวี้งงงันปานน้ำเข้าสมอง ไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร
เมื่อคิดไม่ออก ก็ไม่คิดต่ออีก หานอวี้หลับตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อ
เขาละทิ้งหกอารมณ์เจ็ดปรารถนา ละวางเรื่องทางโลกแล้ว เพียงอยากฝึกบำเพ็ญอย่างสงบตามลำพังในช่วงเวลาอันยาวนานเท่านั้น
ได้เพลิดเพลินกับความสันโดษ ก็มิใช่เรื่องเลวร้ายเลย
เขาแค่ต้องการอยู่กับวิถีแห่งตนเท่านั้น
….
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งหมื่นปี
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น มองสอดส่องแดนเซียน
เผ่ามนุษย์ก็ยังอยู่ เมื่อหลายพันปีก่อนจักรพรรดิมวลมนุษย์คนหนึ่งได้ล้มล้างระบบการปกครองของจักรพรรดิมวลมนุษย์คนก่อนตามแผนการของเหล่าอริยะ ยามนี้ปกครองเผ่ามนุษย์อย่างสงบสุขรุ่งเรือง ไม่มีสงคราม แดนเซียนหวนคืนสู่ความสงบสุข
เรื่องนี้ถูกสรรพสิ่งมรรคาสวรรค์ลืมเลือนไปแล้ว ทุกปีมีเรื่องราวใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอด ผู้ใดจะจดจำอดีตไว้ตลอดกันเล่า
มรรคาสวรรค์ในปัจจุบันนี้เป็นยุคสมัยของบุตรแห่งสวรรค์ คนส่วนใหญ่ที่ถูกจารึกไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์ล้วนเป็นบุตรแห่งสวรรค์ บุตรแห่งสวรรค์มีบรรทัดฐานใหม่แล้ว นอกเหนือจากคุณสมบัติ ยังต้องมีแรงกุศลมรรคาสวรรค์ด้วย
แรงกุศลมรรคาสวรรค์จะได้มาจากการทำคุณประโยชน์ให้สรรพสิ่งและมรรคาสวรรค์
บุตรแห่งสวรรค์กลุ่มแรกสุดยามนี้เป็นผู้ปกครองโลกใบเล็กๆ หลากหลายแห่ง มีแรงกุศลมหาศาล ทั้งยังมีผู้เผยแพร่ที่เดินทางไปตามโลกต่างๆ เผยแพร่มรรควิถีแก่สรรพสิ่ง ชี้แนะผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วน
หานเจวี๋ยสอดส่องโลกเขย่าพิภพ
ด้วยอานิสงส์ของเขา โลกเขย่าพิภพจึงได้รับการดูแลอย่างดี ครองอันดับสองในปวงสวรรค์มานับหมื่นปีแล้ว เป็นรองเพียงโลกแยกนภาเท่านั้น
โลกแยกนภาก็ช่วยดูแลโลกเขย่าพิภพอย่างดีเช่นกัน ถึงอย่างไรเรื่องที่ต้าซั่นเทียนเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้นก็มิใช่ความลับ
พุทธะอาภรณ์ขาวอาศัยดวงชะตามหาศาลของโลกเขย่าพิภพ สำเร็จเป็นครึ่งอริยะแล้ว แต่ก็เป็นเพียงครึ่งอริยะระยะต้นมาโดยตลอด ยากจะพัฒนาต่อไปได้
สำเร็จครึ่งอริยะได้ในหลายแสนปี ต่อให้เป็นในอดีต ก็ยังเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อนัก ดังนั้นหานเจวี๋ยถึงไม่มีความคิดที่จะช่วยส่งเสริมเขา ปล่อยให้เขาสั่งสมตกตะกอนไปช้าๆ
หลังจากสอดส่องมรรคาสวรรค์เสร็จสิ้น หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูจดหมาย
[ตี้เจียงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหานทั่วบุตรชายของท่าน]
[โจวฝานศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดินีผืนพิภพสหายของท่าน]
[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจู๋จิ่วอินสหายของท่าน]
….
[ผานซินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[จอมเทพข่งเซวี่ยสหายของท่านทำความเข้าใจพลังวิเศษแห่งกรรม พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[ฉู่ซื่อเหรินศิษย์หลานของท่านบุกเบิกโลกพุทธะ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[สิงหงเสวียนคู่บำเพ็ญเพียรของท่านตระหนักมหามรรคเนื่องจากบุตรชายของท่าน ทำความเข้าใจพลังวิเศษมหามรรค]
[หลี่เต้าคงสหายของท่านได้รับการชี้แนะจากปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสหายของท่าน พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
….
วังสวรรค์และเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่มีเรื่องกับสิบสองบรรพชนเผ่าจอมเวทอย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าในหมู่สหายทั้งสองฝ่ายไม่มีคนล้มตายเลย ดูเหมือนจะไม่ถึงจุดที่สู้กันอย่างไม่ตายไม่เลิกรา
เขาก็คร้านจะทำความเข้าใจเช่นกัน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ คนที่โชคร้ายจะมีเพียงสิบสองบรรพชนเผ่าจอมเวทเท่านั้น
มิใช่ว่าสหายทั้งหมดล้วนนับว่าเป็นสหายที่แท้จริง
หานเจวี๋ยไล่อ่านต่อไป สิงหงเสวียนให้บุตรชายในครรภ์เป็นเครื่องมือฝึกบำเพ็ญจริงๆ แม้แต่พลังวิเศษมหามรรคก็ยังทำความเข้าใจได้
นี่คงเป็นพลังวิเศษของบุตรชายข้ากระมัง!
จากนั้นหานเจวี๋ยสังเกตเห็นหลี่เต้าคงและปรมาจารย์ลัญจกรสรวง
สองคนนี้สานสัมพันธ์กันในกลุ่มกองกำลังมิ่งอย่างนั้นหรือ
เหตุใดสือตู๋เต้าจึงไม่ได้รับการชี้แนะจากปรมาจารย์ลัญจกรสรวงด้วยเล่า?
เมื่อนึกถึงสือตู๋เต้า หานเจวี๋ยพลันรู้สึกว่าตนละเลยเขาไปเสียแล้ว
หลังหานเจวี๋ยตรวจดูจดหมายเสร็จ จึงเข้าฝันสือตู๋เต้าด้วยรูปโฉมของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
เมื่อสือตู๋เต้าลืมตาขึ้น มองเห็นเงาร่างลึกลับที่มืดมัวดุจเงาดำ เขาพลันตื่นเต้นยินดี
“น้อมพบเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ!”
สือตู๋เต้าคุกเข่าลงข้างหนึ่งในทันใด ประสานหมัดทำความเคารพ
หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ย “หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”
สือตู๋เต้าฝืนข่มความตื่นเต้นไว้ กล่าวไปว่า “ไม่ลำบากเลยขอรับ ข้าต้องขอบคุณท่านด้วยซ้ำ”
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “สิ่งที่ดูเหมือนจะอันตราย อาจจะเป็นโอกาสวาสนาได้เช่นกัน เก็บเกี่ยวประโยชน์ให้ดี เมื่อถึงเวลาที่ควรลงมือ ข้าจะลงมือแน่ หากข้าไม่ปรากฏตัวขึ้น แปลว่ายังไม่ถึงเวลา”
สือตู๋เต้าพยักหน้ารับ เขาฟังความหมายแฝงออก
เป็นอย่างที่เขาเดาไว้ มิ่งถูกก่อตั้งขึ้นโดยเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ทุกอย่างนี้เป็นเพียงการแสดงปิดฟ้าข้ามสมุทรเท่านั้น
เมื่อนึกถึงจุดนี้ สือตู๋เต้าก็ยิ่งเคารพเลื่อมใสในตัวเจ้าแดนต้องห้ามอันธการยิ่งกว่าเดิม เจ้าแดนต้องห้ามอันธการมาเข้าฝันเขา บอกความจริงกับเขา บ่งบอกถึงความไว้ใจที่มีต่อเขาได้เช่นกัน
ขุนศึกยอมตายเพื่อสหายที่รู้ใจ!
………………………………………………………………