บทที่ 801 คุยกับตัวเอง
หนึ่งหมื่นปีผ่านไป
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เขาสอดส่องเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่เป็นอันดับแรก เวลาผ่านมานานขนาดนี้ เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่หวนคืนสู่ความสงบสุขรุ่งเรืองแล้ว โจวฝานฝึกบำเพ็ญอยู่ภายในเจดีย์
หากเทียบกับหมื่นปีก่อน จำนวนสิ่งมีชีวิตในเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนาย อดยิ้มออกมาไม่ได้
ที่แท้หลังจากกิตติศัพท์เรื่องที่หานเจวี๋ยโจมตีปรมาจารย์ลัญจกรสรวงจนล่าถอยแพร่กระจายออกไป สิ่งมีชีวิตมากมายที่เคียดแค้นมิ่งหรือไม่ก็หวาดกลัวมิ่งต่างรู้สึกว่าเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่สามารถปกป้องพวกเขาได้ จึงพากันมุ่งหน้ามา
ไม่ใช่แค่เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่เท่านั้น มรรคาสวรรค์และวังสวรรค์ก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย อย่างไรก็ตามเงื่อนไขในการรับสมัครทหารและแม่ทัพสวรรค์ของวังสวรรค์สูงยิ่ง พวกเขาไม่รับสิ่งมีชีวิตธรรมดา ต่างจากเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ วังสวรรค์เหมือนกองทัพมากกว่า
หานเจวี๋ยสอดส่องวังสวรรค์ หลังจากวังสวรรค์มีชื่อเสียงในการปะทะกับมิ่งมาแล้วครั้งหนึ่ง จำนวนเทพเซียนเพิ่มขึ้นมหาศาล
ต้องกล่าวเลยว่า จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายยังคงใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงและสถานการณ์ได้ดียิ่ง
เมื่อเห็นว่าวังสวรรค์และเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ต่างปลอดภัยไร้เรื่องราว หานเจวี๋ยจึงไม่กังวลอีกต่อไป
เขาหันเหสายตาไปสอดส่องโลกพุทธะของฉู่ซื่อเหรินต่อ
โลกพุทธะกางค่ายกลพิเศษ ซ่อนตัวอยู่ในห้วงมิติที่ลึกเข้าไป มีเพียงอริยะมหามรรครวมถึงตัวตนในระดับที่เหนือกว่านั้นที่สามารถสอดส่องได้
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าในโลกพุทธะมีกลิ่นอายของอริยะเสรีเพิ่มขึ้นมาหนึ่งราย
หืม
ฉู่ซื่อเหรินทำสำเร็จจริงๆ หรือ
เขาเรียกจอค่าความสัมพันธ์ออกมา ตรวจดูรูปประจำตัวของฉู่ซื่อเหริน
รูปประจำตัวยังอยู่ แปลว่ายังไม่ได้ถูกครอบงำร่าง ระดับความประทับใจไม่เปลี่ยนแปลง นั่นก็แปลว่าไม่ได้ถูกล้างสมอง ทุกอย่างปกติดี
ฉู่ซื่อเหรินน่าสนใจอยู่บ้าง
หานเจวี๋ยเริ่มคาดหวังแล้วว่าในอนาคตฉู่ซื่อเหรินจะสร้างชื่อเสียงเกียรติยศเช่นไรขึ้น
จากนั้นหานเจวี๋ยก็เข้าฝันหลี่เต้าคง สอบถามสถานการณ์ของเขาในช่วงนี้
ถึงแม้หลี่เต้าคงจะภักดียิ่งนัก แต่หากเลี้ยงแบบปล่อยปละละเลยไปตลอด อาจจะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ ในขณะที่หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญอยู่ หลี่เต้าคงอาจจะประสบกับช่วงเวลายากลำบากต้องต่อสู้ดิ้นรนก็เป็นได้
ในแดนความฝัน เมื่อได้เห็นหานเจวี๋ย หลี่เต้าคงรู้สึกตื้นตันมากจริงๆ ทั้งยังดีใจยิ่งนัก
หลังประสบกับความพ่ายแพ้ต่อเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ พวกหลี่เต้าคงทั้งสามก็เผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากในกลุ่มอิทธิพลมิ่ง หลี่เต้าคงและสือตู๋เต้าคับข้องหมองใจอย่างยิ่ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
หลังจากกลายเป็นมิ่ง แทบจะไม่สามารถหลุดพ้นจากโชคชะตาของผู้กำหนดชะตาเคราะห์ได้เลย เป็นครั้งแรกที่หลี่เต้าคงได้เรียนรู้ถึงความทรมานของดวงชะตาผู้กำหนดชะตาเคราะห์ เป็นชีวิตที่อยู่ไม่สู้ตายโดยแท้
หานเจวี๋ยเอ่ยไปว่า “หากเจ้าทนรับไม่ไหว ข้าช่วยเจ้าได้ ช่วยลบล้างกรรมในฐานะผู้กำหนดชะตาเคราะห์ให้แก่เจ้า”
หลี่เต้าคงตกตะลึงไป รู้สึกปรีดาอยู่ในใจ
หลังจากเขาได้เข้าใจถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของการเป็นผู้กำหนดชะตาเคราะห์ ครั้งหนึ่งเคยรู้สึกสิ้นหวังยิ่งนัก ไม่คิดเลยว่าหานเจวี๋ยจะสามารถแก้ไขให้เขาได้
เขาเชื่อว่าหานเจวี๋ยไม่มีทางพูดจาวางโตโอ้อวด ถึงอย่างไรก็มีมิ่งมากมายที่เคยสิ้นชีพด้วยน้ำมือของหานเจวี๋ย
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กัดฟันเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรขอรับเจ้าสำนัก ข้ายังทนไหว อีกอย่างด้วยฐานะของผู้กำหนดชะตาเคราะห์ ตบะของข้าก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าในอดีตมากจริงๆ นี่ก็นับเป็นโอกาสวาสนาของข้าด้วย”
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “อย่าได้ฝืนแบกรับภาระ หากเจ้ายืนหยัดต่อไปไม่ไหว สำแดงวิชาอัญเชิญเทพ เรียกหาข้าได้ทุกเมื่อ เข้าใจหรือไม่”
หลี่เต้าคงพยักหน้า ตอบว่า “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ขอบพระคุณเจ้าสำนักที่ห่วงใย”
ทั้งสองสนทนากันต่ออีกพักหนึ่ง ถึงได้สิ้นสุดแดนความฝัน
จากนั้นหานเจวี๋ยก็เข้าฝันสือตู๋เต้าต่อ ครั้งนี้ใช้รูปลักษณ์ของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
สือตู๋เต้าก็ลำบากมากเช่นกัน เผชิญกับการเคี่ยวกรำจากดวงชะตาของผู้กำหนดชะตาเคราะห์ เขาคิดจะเผยตัวอยู่หลายครั้ง แต่ก็กลัวว่าจะทำให้ตนดูอ่อนแอปวกเปียก และจะถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการดูแคลนเอาได้
เมื่อเห็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการปรากฏตัวขึ้น ความไม่พอใจในใจของสือตู๋เต้าสลายหายไปในชั่วพริบตา
เขาแอบเลื่อมใสเจ้าแดนต้องห้ามอันธการอยู่ในใจ
ในช่วงเวลาที่เขาใกล้จะยืนหยัดต่อไปไม่ไหว เจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็ปรากฏตัวขึ้น เพราะคิดจะมอบกำลังใจและความหวังให้เขามิใช่หรือ
แม้จะทราบอยู่แล้วว่านี่คือกลยุทธ์อย่างหนึ่ง สือตู๋เต้าก็ยังคงรู้สึกประทับใจยิ่งนัก
อย่างน้อยเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็ใส่ใจเค้าจริงๆ ไม่ใช่ตัวหมากที่เลี้ยงเอาไว้ส่งๆ พร้อมสละได้ตลอดเวลา
หานเจวี๋ยพูดไปตรงๆ “หากเจ้าทนรับไม่ไหว ข้าช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากมิ่งได้ ไปหาสถานที่สักแห่งเพื่อสงบใจฝึกบำเพ็ญ”
สือตู๋เต้าถาม “เช่นนั้นข้าจะได้ติดตามท่านต่อหรือไม่”
“ได้ แค่เปลี่ยนไปติดตามในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น”
สือตู๋เต้าได้ฟังก็เข้าใจ
การติดตามในอีกรูปแบบหนึ่งก็คือการชุบเลี้ยงแบบระบบปิด รอคอยจนกว่าจะถึงเวลาอีกฝ่ายที่ต้องการเขา
เขาไม่ต้องการแบบนี้!
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างมีนัยลุ่มลึก “สือตู๋เต้า ในสายตาข้าคุณสมบัติของเจ้าแข็งแกร่งที่สุด ในศึกต่อสู้กับจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเจ้าไม่ได้แพ้ ถึงอย่างไรตบะก็ห่างชั้นกัน เมื่อคุณสมบัติของเจ้าพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับของเจ้า สักวันหนึ่งเจ้าจะกลายเป็นตัวตนที่โดดเด่นสะดุดตายิ่งกว่าดวงจิตมหามรรค
“แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งคนใดล้วนต้องเผชิญกับความทุกข์ยากและสิ้นหวังมาก่อน ถึงจะพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง ปีนป่ายสูงขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้ง”
สือตู๋เต้าพยักหน้ารับ เขาก็ยึดมั่นในจุดนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามเมื่อเจ้าแดนต้องห้ามอันธการบอกว่าคุณสมบัติของเขาแข็งแกร่งที่สุด คำพูดนี้ทำให้เขาตื้นตันยิ่ง
ก่อนออกจากมรรคาสวรรค์ เขาเคยคิดเช่นนี้จริงๆ
แต่ตระเวนอยู่ในฟ้าบุพกาลมานานถึงเพียงนี้ เขาพบพานบุตรแห่งสวรรค์มากมายเหลือเกิน ทำให้เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาว่าตนธรรมดายิ่งนัก โดยเฉพาะหลังจากถูกจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสะกดข่ม ก็ยิ่งนึกสงสัยในตัวเอง
ซ้ำปกติยังมีเจ้าลูกหมาหลี่เต้าคงคอยโจมตีเขาอยู่เสมอ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็คงจะถอดใจได้ง่ายๆ เช่นกัน
สือตู๋เต้าข่มความตื่นเต้นไว้ก่อนถามไปว่า “จริงหรือ”
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ข้าไม่มีความจำเป็นต้องโกหกเจ้า คุณสมบัติของเจ้าจะอ่อนด้อยหรือแข็งแกร่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำพูดข้า หากมีผู้ที่คุณสมบัติแข็งแกร่งกว่าเจ้าอยู่ ไฉนข้าจึงไม่ไปหาเขาเล่า”
สือตู๋เต้ารู้สึกว่ามีเหตุผล
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นข้าจะอยู่ในกลุ่มมิ่งต่อไปขอรับ ข้าต้องการเป็นเทพสงครามที่ทรงพลังที่สุดในสังกัดของท่าน!”
สือตู๋เต้าเอ่ยด้วยความทระนง เรียกความมั่นใจของตนกลับมาได้อีกครั้ง
หานเจวี๋ยยิ้มอย่างพึงพอใจ
ครึ่งชั่วยามต่อมา แดนความฝันสิ้นสุดลง
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น
เขายิ้มออกมาด้วยความพอใจ
พรสวรรค์ในการต้มตุ๋นของตนยังคงเลิศล้ำนัก
หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูจดหมาย
ภายในอารามเต๋าข้างเคียง
สิงหงเสวียนกำลังนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญอยู่บนเตียงไม้ ทันใดนั้นคิ้วงามของนางพลันขมวดมุ่น
จิตรับรู้ของนางเข้าสู่แดนความฝันฉากหนึ่ง
หลังจากเลื่อนลอยอยู่ครู่หนึ่ง นางลืมตาขึ้น พบว่าตนยืนอยู่ริมทะเลสาบผืนนึง รอบข้างมีไอเซียนล้อมอบอวล ทิวทัศน์งดงามดั่งภาพวาด
“ฝันอย่างนั้นหรือ”
สิงหงเสวียนขมวดคิ้วแน่น ยามนี้นางเป็นเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าแล้ว จะฝันได้อย่างไร
นางลูบท้องของตัวเองตามจิตใต้สำนึก นับตั้งแต่ตั้งครรภ์ นางรู้สึกว่ามักเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นเสมอ
นางทราบว่าบุตรชายของตนไม่ธรรมดา และนางเคยนึกกังวลว่าบุตรชายจะชักนำเรื่องน่าหวาดหวั่นมา แต่นางไม่มีทางเลือก ได้แต่อดทนรับไว้
ทันใดนั้น นางพบว่าตนไม่สามารถออกจากแดนความฝันได้ นางเริ่มสังเกตรอบข้าง
เมฆหมอกห้อมล้อม ทำให้นางมองเห็นไม่กระจ่างว่าที่นี่คือที่ใดกันแน่
ในเวลานี้เอง
นางมองเห็นว่าบนผิวทะเลสาบมีเงาร่างสายหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาตน
ในไม่ช้า เงาร่างนั้นเดินฝ่าเมฆหมอกออกมา เผยให้เห็นตัวจริง
สิงหงเสวียนตะลึงงัน มึนงงอยู่บ้าง
อีกฝ่ายหน้าตาเหมือนตนทุกกระเบียดนิ้ว เพียงแต่บุคลิกดูเลิศล้ำกว่า
สิงหงเสวียนคนนั้นสวมชุดสีขาว ยืนอยู่บนแท่นดอกบัว มีตะวันจันทราลอยอยู่ด้านหลัง หมุนวนสลับกันไปมา ดูราวกับเทพธิดา
สิงหงเสวียนจ้องมองอีกฝ่าย พิจารณาอย่างละเอียด
อีกฝ่ายค่อยๆ เปิดปากเอ่ย “อย่าให้กำเนิดบุตรชายของเจ้า ในอนาคตเขาจะชักนำภัยพิบัติมา แม้แต่สามีของเจ้าก็ต้านทานไม่ไหว”
สิงหงเสวียนขมวดคิ้ว คล้ายว่านางจะนึกอะไรได้ ถามไปว่า “เจ้าคือตัวข้าจากอนาคตหรือ”
อีกฝ่ายตอบเนิบๆ ว่า “ไม่มีอดีตและอนาคตอะไรทั้งนั้น ข้าเพียงคุยกับตัวข้าเอง เจ้าจำเป็นต้องเลือกระหว่างบุตรชายและสามีของเจ้า”
………………………………………………….