บทที่ 825 หนึ่งแสนต่อหนึ่งหมื่น!
การปรับหลอมดวงดาวกว่าหนึ่งร้อยแปดพันล้านล้านล้านล้านดวง ต้องใช้ระยะเวลายาวนานยิ่ง ต่อให้หานเจวี๋ยจะเป็นอริยะมหามรรค ก็ไม่สามารถกระทำได้ด้วยความคิดเดียว
การจะปรับเปลี่ยนดาวแต่ละดวง ล้วนต้องใช้เวลา สิ่งที่หานเจวี๋ยทำได้มีเพียงหลอมดวงดาวกว่าหนึ่งร้อยแปดพันล้านล้านล้านล้านดวงนี้ไปพร้อมกัน
มหามรรคต้นกำเนิดก็ขานรับสอดประสานไปด้วย หานเจวี๋ยตกอยู่ในสภาวะที่ยากจะอธิบายได้ คล้ายรื่นเริงคล้ายเสพติด แต่ก็เหมือนความฝัน หมกมุ่นอยู่กับมัน สิ้นเปลืองเจตจำนงของเขาไปมากมายเช่นกัน
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด
ในที่สุดดวงดาวกว่าหนึ่งร้อยแปดพันล้านล้านล้านล้านดวงของหานเจวี๋ยก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเป็นครั้งแรก จากนั้นจิตรับรู้ของเขาก็ได้สติขึ้นมา
เขาพบว่าตบะของตนเพิ่มขึ้นเป็นกอง!
เมื่อดวงดาวแข็งแกร่งขึ้น ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะทำให้ตบะของเขาที่ก่อนหน้านี้หยุดนิ่งเพิ่มพูนขึ้นมาได้!
วิธีนี้ถูกต้องแล้ว!
หานเจวี๋ยตื่นเต้นยิ่ง
เขาเรียกจอค่าสถานะออกมาตรวจสอบ พบว่าผ่านไปกว่าสี่หมื่นปีแล้ว
อัตราความก้าวหน้าของตบะเขากลับเหนือกว่าผลลัพธ์จากการปิดด่านห้าหมื่นปีเสียอีก ถึงขั้นที่เหนือกว่าความเร็วในการฝึกบำเพ็ญฝ่าทะลวงก่อนหน้านี้ด้วย
หานเจวี๋ยไม่ได้ฝึกบำเพ็ญต่อ แต่ตรวจดูจดหมาย
จะเอาแต่หลับหูหลับตาฝึกบำเพ็ญไม่ได้ ต้องสอดส่องคนรอบตัวด้วย เลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
ไม่นานนัก หานเจวี๋ยก็ขมวดคิ้ว
เกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ!
[หานทั่วบุตรชายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ถูกริบอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค วิญญาณถูกสะกดไว้ในก้นบึ้งแห่งฟ้าบุพกาล]
[อี๋เทียนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ถูกริบอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค วิญญาณถูกสะกดไว้ในก้นบึ้งแห่งฟ้าบุพกาล]
เกิดเรื่องกับเด็กสองคนนี้อีกแล้ว
แตกต่างไปจากพวกเต้าจื้อจุนทั้งสาม ครั้งนี้อี๋เทียนและหานทั่วถูกสะกดไว้ในก้นบึ้งแห่งฟ้าบุพกาล
สิ่งใดคือก้นบึ้งแห่งฟ้าบุพกาล
หานเจวี๋ยสงสัยอยู่ในใจ
ฟ้าบุพกาลมิใช่มิติเพียงผืนเดียว แต่เป็นห้วงมิติหลายต่อหลายชั้นที่อาจจะไม่ได้เรียงซ้อนกันด้วยซ้ำ อาจจะขนานกัน หรือถึงขั้นที่ห่างไกลกันอย่างยิ่ง
หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนายดู ทำนายไม่พบจริงๆ ว่าก้นบึ้งแห่งฟ้าบุพกาลอยู่ที่ใด
เขาคิดไปคิดมา เลือกเข้าฝันหานทั่ว
แดนความฝันคือบนกำแพงเมือง
หานทั่วค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อเขาเห็นหานเจวี๋ย ก็อดเหม่อลอยไม่ได้
สองพ่อลูกเผชิญหน้ากัน ต่างก็ตกอยู่ในความเงียบ
หานทั่วเอ่ยขึ้นก่อน “ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นไรขอรับ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวล”
หานเจวี๋ยแค่นเสียง “เหตุใดถึงไม่เรียกหาข้า”
หานทั่วกล่าวว่า “ปัญหาที่ก่อขึ้นเองก็ต้องแก้ด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นคือข้าก็ยังไม่ตายมิใช่หรือขอรับ อีกทั้งมีอี๋เทียนอยู่กับข้าด้วย”
หานเจวี๋ยพูดไม่ออกเลย
ยังจะมีหน้าบอกว่ามีอี๋เทียนอยู่ด้วยอีก
“ความจริง ตอนนี้ข้าอยู่ในก้นบึ้งแห่งฟ้าบุพกาลขอรับ ข้าพบวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งที่นี่ด้วย หากคนที่สะกดข้าไว้ต้องการสังหารข้า ข้าคงตายไปแล้วขอรับ บางทีนี่อาจเป็นโชควาสนาอย่างหนึ่ง” หานทั่วอธิบายอย่างจริงจัง
หานเจวี๋ยก็รู้สึกว่ามีเหตุผล หานทั่วถูกสะกดไว้กว่าสองหมื่นปีแล้ว เช่นนี้แปลว่ามีปัญหา แต่ไม่นับว่าเป็นสถานการณ์สิ้นหวัง
“เอาเถอะ” หานเจวี๋ยเอ่ย ในใจรู้สึกจนปัญญานัก
เขาช่วยเหลือหานทั่วไว้หลายครั้ง หานทั่วไม่เกิดความรู้สึกอยากพึ่งพา กลับหลีกเลี่ยงเขาไปไกล
ไม่ใช่แค่หานทั่ว บรรดาลูกศิษย์และศิษย์หลานเองก็เป็นเช่นนี้
หานทั่วเอ่ยว่า “ท่านพ่อวางใจเถอะขอรับ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดีแน่นอน”
หานเจวี๋ยแค่นเสียงคราหนึ่ง ส่ายหัว จากนั้นก็สลายแดนความฝัน
ในโลกแห่งความจริง หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น
“เด็กคนนี้ เมื่อไรจะนึกถึงข้าให้มากกว่านี้กัน เสี่ยงอันตรายอยู่ตลอด ซ้ำยังคิดไปเองว่าถ้าไม่พึ่งพาข้า ข้าก็จะไม่เป็นกังวลเช่นนั้นหรือ”
หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง จู่ๆ ก็เข้าใจแล้วว่าบิดามารดารู้สึกอย่างไร
เขาสอดส่องดูมรรคาสวรรค์
ฉินหลิงยังไม่ได้พิสูจน์ครึ่งอริยะ แต่มหาเคราะห์ไร้ขอบเขตก่อตัวขึ้นแล้ว ผู้บำเพ็ญมากมายที่ถูกบีบคั้นต่างเริ่มทยอยโผล่ออกมา สำนักดวงชะตาแทบทุกแห่งล้วนมีศัตรูอยู่
เพื่อดำรงสันติสุขไว้อย่างเข้มงวด เมื่อมีสองฝ่ายเกิดความขัดแย้งกันจะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ได้รับความอยุติธรรม เมื่อสะสมนานไป จะเกิดเป็นความคับแค้น
หากว่าสำนักดวงชะตาแข็งแกร่งทิ้งห่างจากสรรพสิ่ง ก็แล้วไปเถิด สรรพสิ่งทำได้เพียงอดทนต่อไป
แต่ตอนนี้มรรคาสวรรค์มุ่งสู่ฟ้าบุพกาล ผู้บำเพ็ญมีอิสระเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และได้รับตบะอันยิ่งใหญ่ จิตใจย่อมฮึกเหิมลำพองขึ้น
ผู้บังคับใช้กฎแห่งสันติสุขคือสำนักดวงชะตา ย่อมกลายเป็นศูนย์กลางมรสุมแห่งมหาเคราะห์ไปตามธรรมชาติ
มองจากภาพรวมแล้ว ยังนับว่าดี เทียบกับมหาเคราะห์ในอดีตแล้ว ระดับความน่าสลดทิ้งห่างกันไกล ถึงขั้นที่ไม่เท่าแดนเซียนช่วงก่อนมหาเคราะห์เปิดฉากขึ้นด้วยซ้ำ
‘มรรคาสวรรค์ยังคงแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีเพียงต้องแข็งแกร่งให้มากพอ ถึงจะทำให้สรรพสิ่งมรรคาสวรรค์มีชีวิตที่ดีขึ้นได้’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
เมื่อมรรคาสวรรค์แข็งแกร่งมากพอ ทรัพยากรจะถูกถ่ายเทมาจากฟ้าบุพกาลอย่างไม่ขาดสาย ความขัดแย้งจะถูกถ่ายโอนออกไปยังฟ้าบุพกาล เช่นนั้นถึงจะเกิดสันติภาพที่แท้จริงขึ้น มิใช่สันติภาพที่ซุกซ่อนความคับแค้นใจเอาไว้เช่นตอนนี้
หานเจวี๋ยค้นหาดูเป็นพิเศษรอบหนึ่ง ไม่พบบุตรแห่งสวรรค์ที่เหมือนเจียงเจวี๋ยซื่อปรากฏตัวขึ้นเลย ในใจหดหู่อยู่บ้าง
การรับตัวบุตรแห่งสวรรค์ไว้ก็เป็นเรื่องสนุกอย่างหนึ่ง
รอจนพวกเขาเติบใหญ่ขึ้น ต่างโดดเด่นทรงอำนาจขึ้นในด้านใดด้านหนึ่ง เช่นนั้นถึงจะดีงาม
หลายวันต่อมา หานเจวี๋ยหลอมดวงดาวต่อ
….
เกิดคลื่นมรสุมขึ้นในมรรคาสวรรค์ ผู้บำเพ็ญเพิ่มขึ้นลดลงไปตามวันเวลา ส่วนเหล่าผู้ทรงพลังก็ลอยตัวอยู่เหนือกาลเวลา
ตามปกติแล้วอริยะส่วนใหญ่ล้วนยุ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ จอมอริยะเสวียนตูเริ่มปล่อยวางอำนาจ ให้เหล่าอริยะหน้าใหม่ก้าวขึ้นมา
เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าอริยะอาวุโสก็มีชื่อเสียงไม่เท่าอริยะรุ่นใหม่แล้ว
ก็เหมือนช่วงก่อนที่มรรคาสวรรค์จะเริ่มต้นวงจรใหม่ ชื่อเสียงของฉิวซีไหลเลื่องลือกว่าปรมาจารย์ลัญจกรสรวง
สำนักซ่อนเร้นก็พัฒนาไปราบรื่นยิ่ง มีร่างแยกของหานเจวี๋ยคอยให้ความช่วยเหลือ มีศิษย์เข้าและออกจากเขตเซียนร้อยคีรี
หลี่เสวียนเอ้าและหานตั้วเทียนกลายเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดของสำนักซ่อนเร้น คนหนึ่งอยู่ด้านนอก อีกคนอยู่ด้านใน
ศิษย์ในสำนักบรรลุถึงหลักร้อยล้านแล้ว นี่อยู่ในสถานการณ์ที่มีศิษย์ไปจากสำนักซ่อนเร้นแล้วด้วย
หลี่เสวียนเอ้ายังคงรักษาปณิธานของหานเจวี๋ยไว้ สำนักซ่อนเร้นเก็บตัวยิ่งนักเสมอมา แต่ล้วนมีการติดต่อกับสำนักต่างๆ ทั้งยังมีอริยะช่วยออกหน้าให้ ผู้บำเพ็ญที่มีประสบการณ์อยู่บ้างต่างทราบว่าสำนักซ่อนเร้นสิถึงเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่งของมรรคาสวรรค์!
เพียงแต่สำนักซ่อนเร้นไม่ไขว่คว้าดวงชะตา ศิษย์จึงขาดโชคจากดวงชะตาสำนักไป
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน
เมื่อหานเจวี๋ยรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง ดวงดาวกว่าหนึ่งร้อยแปดพันล้านล้านล้านล้านดวงเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง ตบะเขาเพิ่มขึ้นมหาศาลฉับพลัน
เขาเรียกจอค่าสถานะออกมาตรวจสอบ พบว่าเวลาผ่านไปแปดหมื่นเจ็ดพันกว่าปีแล้ว
เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ
หานเจวี๋ยเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ
ทดสอบผลของการฝึกบำเพ็ญดูสักหน่อย!
ยังคงท้าสู้กับอริยะเทพอวี๋เจี้ยนห้าพันคน!
เขาทุ่มพลังทั้งหมดกับการต่อสู้ สะกดข่มได้สบายๆ
เมื่อใช้แบบจำลองการทดสอบเป็นครั้งที่สอง เขาเพิ่มจำนวนอริยะเทพอวี๋เจี้ยนขึ้นเป็นเจ็ดพันคน!
พอจะฝืนสู้ได้!
ใช้เวลาสักหน่อยเขาก็เอาชนะได้!
หานเจวี๋ยเริ่มท้าสู้อริยะเทพอวี๋เจี้ยนหนึ่งหมื่นคน
กินแรงยิ่งนัก แต่สู้ได้!
หลังจากใช้แบบจำลองการทดสอบอยู่หลายสิบครั้ง หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น พรูลมหายใจออกมา
“ไม่ได้ ยังไม่พอ ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ต้องแกร่งกว่าอริยะเทพอวี๋เจี้ยนแน่ เอาชนะอริยะเทพอวี๋เจี้ยนหมื่นคนได้ ไม่ได้แปลว่าจะเอาชนะขุนพลศักดิ์สิทธิ์หมื่นคนได้ ข้าต้องมีพลังจนสามารถสังหารอริยะเทพอวี๋เจี้ยนหมื่นคนในเสี้ยววินาทีได้ ถึงจะพร้อมเผชิญหน้ากับขุนพลศักดิ์สิทธิ์หนึ่งหมื่นคน!”
หานเจวี๋ยคิดเช่นนี้ ดวงตาฉายแววมุ่งมั่น
จากนั้นเขาก็ทดลองต่อ
ท้าสู้กับอริยะเทพอวี๋เจี้ยนสองหมื่นคน!
หลังจากนั้น…
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น สั่นไปทั้งตัว
น่ากลัวเกินไปแล้ว
หานเจวี๋ยตัดสินใจแล้วว่าจะพิสูจน์ยอดมหามรรคให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!
เขาหลอมปรับดวงดาวต่อไป
ในเวลานี้เอง
[อริยะเทพอวี๋เจี้ยนต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
เมื่อเห็นคำว่าอริยะเทพอวี๋เจี้ยน หานเจวี๋ยก็อยากอ้วกแล้ว
เป็นไปได้ว่าบนโลกนี้คนที่รู้จักอริยะเทพอวี๋เจี้ยนดีที่สุดจะเป็นตัวเขา
หานเจวี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงเลือกยอมรับ
หากว่าสร้างสัมพันธ์อันดีกับอริยะเทพอวี๋เจี้ยนไว้ เขาก็สามารถไปคัดลอกพลังในระดับล่าสุดของอริยะเทพอวี๋เจี้ยนได้
*******************