บทที่ 832 บ่วงกรรมอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค
นักพรตเต๋าเสินเผาครุ่นคิด พลางเหาะมุ่งไปยังทิศทางที่ผู้นำดวงจิตเรียกตัว
ยังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เขาก็สัมผัสได้ถึงรัศมีอันน่าหวาดหวั่นชวนตะลึงของผานกู่
ระดับความเร็วของเขาเชื่องช้าลง
ผานกู่ไม่ใช่หานเจวี๋ย เขายังพอมีทางรอดอยู่
เทียบกับหานเจวี๋ยแล้ว ชื่อเสียงของผานกู่ดุร้ายกว่า นั่นคือชื่อเสียงอันน่าสะพรึงที่ก่อขึ้นจากการสังหารกวาดล้างในยุคสมัยหนึ่ง!
จู่ๆ นักพรตเต๋าเสินเผาก็อยากหันหลังกลับแล้ว
‘แล้วไปเถอะ ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว ผานกู่ยังไม่ถูกสยบอีก ข้าเข้าไปก็เป็นตัวรับเคราะห์เปล่าๆ’
นักพรตเต๋าเสินเผาคิดเงียบๆ จากนั้นก็หันหลังกลับ
ทันใดนั้นกายเนื้อของเขาพลันระเบิดออก เหลือเพียงเสี้ยววิญญาณสายหนึ่ง เขาหลบหนีไป เลือนหายไปท่ามกลางกระแสมิติอันวุ่นวาย
….
เวลาผ่านไปหลายเดือน แรงกดดันมหาศาลจากฟากฟ้าเลือนหายไป แปลว่าภารกิจของผานกู่เสร็จสิ้นแล้ว
หานเจวี๋ยทอดสายตามองออกไป สอดส่องไม่พบสนามรบแห่งนั้น ยิ่งทำนายถึงผลลัพธ์ไม่ได้
เขาสามารถใช้อายุขัยทำนายได้ แต่ก็รู้สึกว่าไม่จำเป็น
ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่ส่งผลกระทบถึงเขา
ฝึกบำเพ็ญต่อดีกว่า
หานเจวี๋ยหลับตาลง
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า
จอมอริยะเสวียนตูเรียกรวมตัวอริยชน บอกเล่าถึงอานุภาพของขุนพลศักดิ์สิทธิ์ เหล่าอริยชนตื่นตะลึง หลังจากผ่านการหารือร่วมกัน ก็ตัดสินใจว่าจะเรียกสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ที่อยู่ด้านนอกกลับมา
แต่หากคิดจะเรียกกลับมาทั้งหมด แทบเป็นไปไม่ได้เลย ได้แต่พยายามอย่างเต็มที่
ส่วนเรื่องเกี่ยวกับขุนพลศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาวางแผนว่าจะปกปิดไว้ เลี่ยงไม่ให้กลุ่มอิทธิพลอื่นๆ ฉวยโอกาสได้
ความน่าสะพรึงของขุนพลศักดิ์สิทธิ์แพร่กระจายไปทั่วฟ้าบุพกาลแล้ว มรรคาสวรรค์ต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังเช่นนี้ ป้องกันได้ยากยิ่ง แทบจะเรียกได้ว่าต้องตายอย่างแน่นอน
โชคดีที่หานเจวี๋ยยังไม่มีความเคลื่อนไหว แปลว่ามีความมั่นใจ เหล่าอริยะจึงไม่ถึงขั้นตื่นตระหนก
พริบตาเดียว
ผ่านไปหนึ่งแสนปี
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น หงหยวนรออยู่ด้านข้างนานแล้ว
ยอดฝีมือระดับเบิกฟ้ามหามรรคระยะปลายตนนี้ศิโรราบต่อหานเจวี๋ยอย่างสมบูรณ์แล้ว
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “เจ้ากลับไปนำโลกในปกครองของเจ้ามาก่อนเถอะ”
หงหยวนพยักหน้า นางก็รอคำสั่งนี้อยู่เช่นกัน
หานเจวี๋ยโบกแขนเสื้อ ส่งนางออกจากมรรคาสวรรค์
จากนั้น เขาเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู
[ผานกู่สหายของท่านตัดขาดบ่วงกรรมอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค ดวงชะตาลดฮวบ]
[ฉิวซีไหลสหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]
[หวงจุนเทียนสหายของท่านได้รับการชี้แนะจากผู้ทรงพลังลึกลับ พลังมรรคเพิ่มมหาศาลฉับพลัน]
[ผานกู่สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ] x39
[ผานกู่สหายของท่านดับสูญ ร่างสิ้นวิญญาณสลาย เจตจำนงหวนกลับสู่ต้นกำเนิด]
[นักพรตเต๋าเสินเผาสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[โจวฝานศิษย์ของท่านพิสูจน์ระดับเสรี ดวงชะตาเพิ่มมหาศาลฉับพลัน]
[ซูฉีศิษย์ของท่านทำความเข้าใจมหามรรคมรณะ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
….
ผานกู่ดับสูญแล้ว แต่ไม่ได้ดับสูญอย่างแท้จริง ดับสูญไปเพียงร่างนี้ที่ถูกฟื้นคืนชีพ
บ่วงกรรมอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค…
อำนาจศักดิ์สิทธิ์ดวงชะตามีกี่ประเภทกันแน่
หานเจวี๋ยอยากรู้ยิ่งนัก
ผู้กำหนดชะตาเคราะห์นับเป็นประเภทหนึ่ง ขุนพลศักดิ์สิทธิ์นับเป็นประเภทหนึ่ง แล้วบ่วงกรรมนับอย่างไรเล่า
หานเจวี๋ยลองทำนายถึงบ่วงกรรมอื่นๆ บ่วงกรรมของสรรพสิ่งล้วนสามารถทำนายถึงได้
เช่นนั้นสรุปแล้วตัดขาดไปเพื่อประโยชน์อันใด
หานเจวี๋ยไล่อ่านลงไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นจดหมายแจ้งการทะลวงระดับตบะหรือจำพวกโชควาสนา ไม่มีข่าวที่คู่ควรให้เขาพิจารณาเลย
หนึ่งแสนปีมานี้ ฟ้าบุพกาลสงบยิ่ง
นอกจากผานกู่แล้ว หานเจวี๋ยไม่เห็นเทพมารฟ้าบุพกาลสักตนเลย
เขาได้กลิ่นพายุที่กำลังใกล้เข้ามา
เป้าหมายของหานเจวี๋ยยังคงเป็นการฝึกบำเพ็ญ
ผ่านการหลอมปรับเปลี่ยนมาหนึ่งแสนปี ดวงดาวในโลกอนธการแข็งแกร่งขึ้น ทั่วทั้งโลกอนธการเต็มไปด้วยปราณอนธการ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ปราณอนธการจะเข้มข้นหนาแน่นยิ่งขึ้น
หานเจวี๋ยนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา
เมื่อปราณอนธการรวมตัวกันจนถึงขีดจำกัดสูงสุด จะก่อตัวเป็นห้วงมิติหรือไม่
หรือว่าฟ้าบุพกาลก็มีที่มาเช่นนี้
เป็นไปได้!
หากเป็นแบบนี้ต่อไป ปราณอนธการจะก่อตัวเป็นมิติอนธการ!
เช่นนั้นไม่ใช่ว่าเขาสร้างอนธการขึ้นมาหรอกหรือ
หานเจวี๋ยหัวใจเต้นแรง
หากว่าเขาแข็งแกร่งมากพอ ก็ดูดฟ้าบุพกาลทั้งผืนเข้ามาในวิญญาณของตนได้ ก็หมายความว่าสามารถเปลี่ยนฟ้าบุพกาลให้เป็นอนธการได้มิใช่หรือ
เพียงแต่ทำเช่นนี้ไปก็ไม่มีผลดีเลย
หานเจวี๋ยไม่ทราบแน่ชัดว่าหลังจากมิติอนธการก่อตัวขึ้นแล้ว จะส่งผลต่อตบะอย่างไร
รอดูกันต่อไปในอนาคตเถอะ!
หานเจวี๋ยทอดสายตามองมรรคาสวรรค์ แดนเซียนวุ่นวายโกลาหลขึ้นเพราะมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต ทว่าปวงสวรรค์หมื่นโลกายังนับว่าสงบดี
ฉินหลังกำลังจะพิสูจน์ครึ่งอริยะ คาดว่าภายในห้าหมื่นปีนับจากนี้แดนเซียนคงเกิดสงครามใหญ่ขึ้น สงครามใหญ่ที่เพียงพอจะระบายความคับแค้นและทำให้สรรพสิ่งตื่นรู้ขึ้นมาได้
มีเพียงการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่า พวกเขาถึงจะคะนึงหาสันติสุข อนาคตถึงจะคงไว้ซึ่งสันติสุขไปอีกยาวนาน
ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามที่วางแผนไว้
มรรคาสวรรค์คล้ายจะมีปัญหารุมเร้าทั้งนอกใน แต่ส่งผลกระทบไม่มาก เรื่องการต่อกรกับขุนพลศักดิ์สิทธิ์ มีแค่หานเจวี๋ยที่ต้องออกโรง ส่วนเรื่องภายในมรรคาสวรรค์ อริยะมีความสามารถเพียงพอจะสยบสรรพสิ่งได้
วุ่นวายเหลือเกิน!
หานเจวี๋ยลุกขึ้นก่อนไปโผล่ยังชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ตรงเข้าสู่ตำหนักเอกภพ
ภายในตำหนักเอกภพมีเพียงจอมอริยะเสวียนตูเพียงผู้เดียว
เมื่อเห็นหานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้น จอมอริยะเสวียนตูขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นว่า “สหายเต๋าหาน สถานการณ์ไม่สู้ดีเลย”
หานเจวี๋ยเอ่ยไปว่า “ว่ามา”
จอมอริยะเสวียนตูกล่าวว่า “ผานกู่ดับสูญ ถึงแม้จะคืนชีพให้เทพมารฟ้าบุพกาล แต่เทพมารฟ้าบุพกาลสามพันตนก็ไม่ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาทั้งหมด เหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลไม่ใช่คู่ต่อสู้ของขุนพลศักดิ์สิทธิ์เลย ยามนี้ข่าวเกี่ยวกับขุนพลศักดิ์สิทธิ์แพร่ไปทั่วฟ้าบุพกาลแล้ว ลือกันว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะสังหารเทพมารฟ้าบุพกาล ภายในมรรคาสวรรค์มีอริยะบางคนคิดว่าสาเหตุที่ขุนพลศักดิ์สิทธิ์พุ่งเป้ามายังมรรคาสวรรค์ ก็เพราะเจ้า…”
ถ้อยคำในส่วนหลัง เขาไม่ได้เอ่ยต่อไป
หานเจวี๋ยถาม “เช่นนั้นเจ้าคิดอย่างไร”
จอมอริยะเสวียนตูกล่าวว่า “ข้าย่อมเชื่อในตัวเจ้า ด้วยตบะของเจ้า ไม่จำเป็นต้องพึ่งมรรคาสวรรค์แล้ว แต่อริยะบางส่วนกลับถูกล่อลวงให้ไขว้เขว จะมีบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่รู้จักเจ้าดี”
หานเจวี๋ยฟังความหมายของเขาออก
อริยะใหม่!
ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ จอมอริยะเสวียนตูล้วนคิดจะอาศัยโอกาสนี้สยบอริยะใหม่
หานเจวี๋ยถาม “เจ้าสงสัยผู้ใด”
“จิ้นเสิน สวีตู้เต้า หยางเช่อ บรรพชนพุทธเบิกนภา ระยะนี้พวกเขามักจะเดินทางไปมาหาสู่กับโลกแห่งอื่นอยู่บ่อยครั้ง” จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยอย่างใช้ความคิด
หานเจวี๋ยเงียบไป
สวีตู้เต้าไว้ใจได้แน่นอน ส่วนสามอริยะที่เหลือนั้นไม่แน่
ถึงแม้บรรพชนพุทธเบิกนภาจะเป็นสายลับของหานเจวี๋ย แต่คนผู้นี้สามารถปรับเปลี่ยนความประทับใจของตนที่มีกับผู้อื่นได้ ยังไม่แน่ว่าจะไว้ใจได้
“ข้ารู้แล้ว เจ้าดูแลความมั่นคงของมรรคาสวรรค์ต่อไปเถอะ หากมีผู้ใดคิดจะจากไป ก็ไม่จำเป็นต้องขัดขวาง ถือโอกาสเวนคืนตำแหน่ง แต่หากมีคนคิดจะอาศัยประเด็นนี้มาปลุกปั่น คิดก่อกวนมรรคาสวรรค์ เจ้าคงรู้ดีว่าต้องจัดการอย่างไร” หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
กลุ่มอริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในมรรคาสวรรค์ล้วนอยู่ในการควบคุมของเขา อริยะรุ่นใหม่จะกล้าก่อเรื่องได้อย่างไร
รนหาที่ตาย!
จอมอริยะเสวียนตูพยักหน้ารับ
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถามขึ้นว่า “สหายเต๋าหาน สำหรับเรื่องหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ เจ้าวางแผนไว้อย่างไร”
หานเจวี๋ยมองเขาอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง กล่าวว่า “ยังพอมีเวลา อย่าได้ตระหนก”
จอมอริยะเสวียนตูพยักหน้ารับ หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นอีกว่า “ต้องการให้ข้าไปหาท่านอาจารย์หรือไม่”
เหล่าจื่อ!
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เหล่าจื่อน่าจะไม่ช่วยเปล่าๆ กระมัง”
จอมอริยะเสวียนตูรีบเอ่ยว่า “ข้าเพียงถามดูเท่านั้น ป้องกันเหตุไม่คาดฝัน หากสหายเต๋าหานมีความมั่นใจ ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องไปหา”
“ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องไปหาผู้ใด”
“ทราบแล้ว”
ทั้งสองคุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง หานเจวี๋ยถึงได้จากไป
จอมอริยะเสวียนตูถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อครู่กล่าวผิดไปทำให้เขานึกเสียใจภายหลัง
ช่วยไม่ได้จริงๆ เขาไม่รู้ว่าหานเจวี๋ยมีความมั่นใจเพียงใด ถึงอย่างไรในมุมมองของเขา หมื่นอริยะมหามรรคย่อมไร้พ่ายแน่นอน ต่อให้เป็นเหล่าจื่อมาเอง ก็ยังไม่แน่ว่าจะจัดการได้ อย่างมากก็แค่ให้ความช่วยเหลือนิกายเหรินหลบหนี
………………………………………………………………