บทที่ 846 เสื้อคลุมเลิศธุลีแดง เตรียมออกศึก
“บรรพชนเต๋าหรือ หมายความว่าอย่างไร หนึ่งในขุนพลศักดิ์สิทธิ์มีรูปโฉมเหมือนบรรพชนเต๋า หรือจะพูดว่าบรรพชนเต๋าเป็นผู้นำทัพขุนพลศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วเอ่ยถาม ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ในภาพลวงตาวิวัฒนาการมาแล้ว ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไม่มีผู้นำ และไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง มันดูเหมือนเครื่องจักรสงคราม
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายกล่าวว่า “เราก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่เราพบบรรพชนเต๋าอยู่ในหมู่ขุนพลศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เรื่องนี้แปลกประหลาดโดยแท้ เราจะหาวิธีสืบดู”
หานเจวี๋ยพยักหน้ารับ จดจำเรื่องนี้ไว้
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสักพัก หานเจวี๋ยถึงสลายแดนความฝัน
เขาลืมตาขึ้น ถามในใจ ‘ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดบรรพชนเต๋าถึงไปอยู่ในหมู่ขุนพลศักดิ์สิทธิ์’
[ไร้ซึ่งบ่วงกรรม ไม่สามารถวิวัฒนาการได้]
ไร้ซึ่งบ่วงกรรมหมายความว่าอย่างไร
หานเจวี๋ยเริ่มสอบถามถึงบรรพชนเต๋าด้วยวิธีต่างๆ แต่ไม่ว่าจะถามอย่างไร ล้วนไม่สามารถวิวัฒนาการได้
ราวกับไม่เคยมีตัวตนของบรรพชนเต๋าอยู่!
เรื่องนี้น่าสนใจอยู่บ้าง
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าบรรพชนเต๋าอยู่ในจอค่าความสัมพันธ์ของเขามาตลอด เหตุใดถึงทำนายไม่พบเล่า
ดูเหมือนในช่วงเวลาที่ผ่านมา บรรพชนเต๋าจะไม่ได้อยู่ว่างๆ แต่มานะทำงานอย่างเงียบเชียบมาตลอด
หานเจวี๋ยส่ายหน้า ไม่คิดเรื่องนี้อีก
จากนั้น เขาก็จมจ่อมสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง
….
ณ อาณาเขตปฐมภพ เหล่าเทพมารชุมนุมกันอยู่ในตำหนัก
ข้างกายเทพมารปฐมภพมีเงาร่างบึกบึนกำยำร่างหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ เป็นผานกู่
ผานกู่ปล่อยผมสยายรุงรัง กลิ่นอายป่าเถื่อนแผ่ออกมาจากทั่วร่าง ยามที่หายใจเข้าไป ราวกับสูดกลิ่นควันเทียน
ในเวลานี้เอง ผานกู่พลันลืมตาขึ้น
เทพมารตนอื่นก็คล้ายจะสัมผัสถึงบางอย่างได้ พากันลืมตาขึ้น แต่ละคนมีสีหน้าตึงเครียด
เทพมารปฐมภพขมวดคิ้ว “จะมาแล้ว”
เทพมารตนอื่นๆ ก็พากันเปิดปากเอ่ย
“เหตุใดจู่ๆ ถึงเปลี่ยนทิศทางมายังอาณาเขตปฐมภพเล่า”
“ที่แท้ก็มีตัวตนลึกลับคอยชักใยอยู่เบื้องหลังขุนพลศักดิ์สิทธิ์ คงเกรงกลัวว่าอำนาจของพวกเราเหล่าเทพมารจะเพิ่มขึ้นอีก”
“น่าเสียดาย เดิมทียังคิดจะชักจูงผู้ทรงพลังบางส่วนมาเข้าร่วมเพิ่ม”
“มักจะมีคนรักตัวกลัวตายอยู่เสมอ ศึกครั้งนี้ หากพวกเราชนะ ภายหน้าฟ้าบุพกาลก็จะขึ้นอยู่กับพวกเราแล้ว!”
“ฮ่าๆๆ มาเถอะ ฟ้าบุพกาลเดิมทีก็เป็นของเทพมารฟ้าบุพกาลอยู่แล้ว ในอดีตครานั้นหากพวกเราลงสนามแย่งชิง ไหนเลยจะยังมีดวงจิตมหามรรคอันใด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงขุนพลศักดิ์สิทธิ์เลย”
เหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลแสดงความองอาจห้าวหาญออกมา ไร้ซึ่งความหวาดกลัว
พวกเขาเตรียมใจให้พร้อมนานแล้ว ก่อนจะออกศึกย่อมห้ามทำลายขวัญกำลังใจกันเอง
สิ่งสำคัญที่สุดคือ พวกเขาไม่เหลือทางถอยแล้ว!
ผานกู่เอ่ยขึ้นว่า “เตรียมออกศึกเถอะ”
เทพมารปฐมภพพยักหน้ารับ จากนั้นลุกขึ้นมา
มหาศึกบรรพกาลที่ยากจะพบเห็นได้ในรอบหลายล้านปีกำลังจะอุบัติขึ้นแล้ว!
….
ณ มรรคาสวรรค์
เวลาไหลผ่านไป
หลังจากหานเจวี๋ยปิดด่านครบห้าหมื่นปี ก็ปิดด่านต่อไป ไม่หยุดพักเลย
ถึงอย่างไรมรรคาสวรรค์ก็พัฒนาไปอย่างราบรื่น อีกทั้งมีอริยะมหามรรคและยอดมหามรรคคอยเฝ้าอยู่นอกมรรคาสวรรค์ มีเพียงขุนพลศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นปัญหาในอนาคต
เขาปิดด่านฝึกบำเพ็ญเช่นนี้มาตลอด โลกอนธการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปราณอนธการที่ผสานรวมอยู่ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พลังยอดมหามรรคของเขาเพิ่มพูนแข็งแกร่งขึ้น
ไม่ทราบเช่นกันว่าผ่านไปนานแค่ไหน
ทันใดนั้นหานเจวี๋ยรับรู้ถึงบางอย่างได้ ลืมตาขึ้นทันที
เขารับรู้ได้ว่ามีสงครามใหญ่อุบัติขึ้นในฟ้าบุพกาล!
เขาสงบใจลงพลางคำนวณเวลาดู การปิดด่านครั้งนี้เพิ่งผ่านไปเก้าหมื่นกว่าปี ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไปถึงอาณาเขตปฐมภพแล้วหรือ
เร็วไปหน่อยแล้ว!
กล่าวอีกนัยคือ ขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะมาถึงมรรคาสวรรค์เร็วกว่ากำหนด!
หานเจวี๋ยสูดลมหายใจ เขาพร้อมจะต่อสู้มานานแล้ว จึงไม่หวาดกลัว
เขาทอดสายตามองไปยังอาณาเขตปฐมภพ เทพมารฟ้าบุพกาลหลายสิบตนถูกหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ปิดล้อมไว้ นอกสนามรบ สิบสองบรรพชนจอมเวทนำเผ่าจอมเวทมุ่งหน้ามา แต่ลังเลไม่กล้าเข้าไป
ไม่ใช่แค่เผ่าจอมเวท ยังมีเผ่าพันธุ์อื่นๆ มาสังเกตการต่อสู้ด้วย พร้อมลงมือทุกเมื่อ คาดว่าล้วนมีสายสัมพันธ์กับเทพมารฟ้าบุพกาลทั้งสิ้น
สถานการณ์ต่อสู้ดุเดือดอย่างยิ่ง ผานกู่เด่นสะดุดตาที่สุด ต่อสู้กับขุนพลศักดิ์สิทธิ์นับพันด้วยตัวคนเดียว ไม่ตกเป็นรองเลยสักนิด
ส่วนขุนพลศักดิ์สิทธิ์หลังจากถูกสังหาร จะฟื้นคืนชีพในชั่วพริบตา ราวกับเป็นอมตะ
ยังมองไม่ออกชั่วคราวว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายมีชัย
แต่หานเจวี๋ยคิดว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะเป็นฝ่ายชนะ
นอกจากเทพมารปฐมภพและผานกู่แล้ว เทพมารตนอื่นๆ ไม่ได้ร้ายกาจเช่นเดียวกับอริยะเทพอวี๋เจี้ยน เทพมารส่วนใหญ่ต่อสู้กับขุนพลศักดิ์สิทธิ์คนเดียวก็เต็มกลืนแล้ว
ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ที่ฆ่าไม่ตายจะเป็นฝ่ายมีชัยในไม่ช้า
หานเจวี๋ยรับชมอย่างได้อรรถรส
ศึกนี้ไม่มีทางสิ้นสุดลงภายในระยะเวลาสั้นๆ รับชมไปได้สักพัก หานเจวี๋ยก็หมดความสนใจ
‘อีกนานแค่ไหนกว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะมาถึงมรรคาสวรรค์’ หานเจวี๋ยถามในใจ
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ห้าแสนปี]
หานเจวี๋ยเข้าใจดี นี่เป็นเพียงขอบเขตที่กำหนดไว้ เวลาอาจจะร่นเข้ามาเร็วขึ้นได้
เขาสร้างผลกระทบต่อการพัฒนาของบ่วงกรรมได้ คนอื่นก็ทำได้เช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวตนที่มีตบะแข็งแกร่งกว่าเขาเลย
มาเถอะ!
ผู้เฒ่ารอพวกเจ้าอยู่!
หานเจวี๋ยคิดอย่างกระตือรือร้นอยากลงสนาม
ฝึกบำเพ็ญอย่างเงียบเชียบมาสามล้านปี สมควรลองแสดงฝีมือแล้ว!
หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงหาจอมอริยะเสวียนตู ให้เขาเตรียมการโดยเร็ว เลี่ยงไม่ให้ถึงเวลาแล้วจะวุ่นวายเกินควบคุม
จอมอริยะเสวียนตูเรียกรวมตัวเหล่าอริยะทันที
ภายในวังเยือนอริยะ
หลังจากเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยออกไป อริยะเทพอวี๋เจี้ยนลืมตาขึ้น จ้องมองไปในฟ้าบุพกาล ชมการต่อสู้ที่อยู่ไกลโพ้นออกไป
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนขมวดคิ้ว
สองมือของเขากำแน่นอยู่ในแขนเสื้อ พยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้อย่างสุดกำลัง
ความแข็งแกร่งของขุนพลสวรรค์ทำให้เขาไม่สบายใจ
ผานกู่กลายเป็นจิตมารของเขาไปแล้ว เพียงแต่จิตมารที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ก็ยังถูกขุนพลศักดิ์สิทธิ์สะกดข่มได้
อารมณ์ของอริยะเทพอวี๋เจี้ยนซับซ้อนนัก ทั้งรู้สึกหวาดกลัวทั้งรู้สึกโชคดี
ดูเหมือนขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะเชี่ยวชาญผนึกต้องห้ามบางอย่าง ปิดผนึกอาณาเขตปฐมภพเอาไว้ เทพมารบางส่วนที่ถูกการต่อสู้ทำให้ขวัญหนีดีฝ่อคิดจะหลบหนี ทว่ากลับถูกปิดกั้นไว้
ทางตัน!艾琳小說
มีเทพมารฟ้าบุพกาลดับสูญลงแล้ว
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนไม่มองการต่อสู้อีก ทอดสายตาไปในแดนเซียน
เขากำลังคิดว่าตอนนี้หานเจวี๋ยคิดอะไรอยู่
ไปเข้าฝันแจ้งให้หานเจวี๋ยรู้ดีหรือไม่
ไม่ได้!
หานเจวี๋ยต้องทราบถึงมหาศึกที่อุบัติขึ้นแล้วแน่นอน หากข้าไปเข้าฝัน จะไม่ดูตื่นตูมหรอกหรือ
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนปรับอารมณ์ให้สงบลง แววตาเปี่ยมด้วยเจตนาต่อสู้อีกครั้ง
“หมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์แล้วอย่างไรเล่า
“มรรคกระบี่ของข้าจะใช้พวกเจ้าต่างหินลับมีด!”
แววตาอริยะเทพอวี๋เจี้ยนวาวโรจน์ สง่างามองอาจขึ้นมาอีกครั้ง
….
หลายพันปีต่อมา ระหว่างที่หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญอยู่ พลันมีตัวเลือกเด้งขึ้นมาตรงหน้า
[ตรวจสอบพบว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์กำลังจะเข้าโจมตีมรรคาสวรรค์ ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง เตรียมพร้อมรับมือขุนพลศักดิ์สิทธิ์ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]
[สอง หลบหนีออกจากมรรคาสวรรค์ทันที หลีกเลี่ยงข้อพิพาท จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน]
เมื่อเห็นตัวเลือกตรงหน้า หานเจวี๋ยเลือกข้อแรกอย่างไม่ลังเลเลย
เลือกตัวเลือกข้อแรกอย่างที่หาได้ยาก!
[ท่านเลือกรับมือขุนพลศักดิ์สิทธิ์ ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]
[ยินดีด้วยท่านได้รับสมบัติเลิศมรรคา…เสื้อคลุมเลิศธุลีแดง]
[เสื้อคลุมเลิศธุลีแดง: ยอดสมบัติเลิศมรรคาสายป้องกัน ดูดซับพลังธุลีผันแปรสู่ยอดสมบัติ ไร้รูปไร้สี ป้องกันการโจมตีจากระดับผู้สร้างมรรคาได้หนึ่งครั้ง]
หานเจวี๋ยเบิกตากว้าง ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นมา
ป้องกันการโจมตีจากระดับผู้สร้างมรรคาได้หนึ่งครั้ง!
ถึงแม้จะแค่ครั้งเดียวก็ตาม!
แต่ก็เพียงพอจะทำให้หานเจวี๋ยตื่นเต้นได้!
มีความมั่นใจแล้ว!
สมกับที่เป็นระบบ ห่วงใยใส่ใจตรงจุด!
หานเจวี๋ยนำศิลาก่อวิญญาณออกมา ผสานรวมกับปราณเทพมารกลุ่มหนึ่ง จากนั้นนำเสื้อคลุมเลิศธุลีแดงออกมา ทำให้มันจดจำเจ้าของ
เสื้อคลุมเลิศธุลีแดงที่อยู่ในมือหานเจวี๋ยเป็นปราณสีแดงกลุ่มหนึ่ง ดูไม่เหมือนอาภรณ์เลย
………………………………………………………………