บทที่ 853 กำหนดเวลาสิบล้านปี
สละตนเพื่อมรรคาสวรรค์อย่างนั้นหรือ
ไม่มีทาง!
หานเจวี๋ยไม่ใช่คนประเภทนั้น!
เขาใช้พลังยอดมหามรรคตอบกลับอีกฝ่ายไปทันที “น่าขัน เช่นนั้นเจ้าก็ทำลายมรรคาสวรรค์เสียเถอะ ขอเพียงทำลายไป ข้าจะจดจำความแค้นนี้ไว้แน่นอน สักวันหนึ่งจะล้างแค้นแก่มรรคาสวรรค์ให้ได้!”
หานเจวี๋ยและเสียงลึกลับสื่อสารกันผ่านกระแสจิต เหล่าอริยะในตำหนักเอกภพล้วนไม่ได้ยิน ต่างเฝ้ารอด้วยความอดทนอยู่
หานเจวี๋ยไม่รอคอยการตอบกลับอีก
เขาเตรียมพร้อมรับมือกับขุนพลศักดิ์สิทธิ์หนึ่งแสนคนแล้ว
ต่อให้เป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ก็ต้องสู้ดูสักตั้ง ถึงอย่างไรก็ทิ้งเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งไว้ในอาณาเขตเต๋าแล้ว ไม่ต้องกลัวตาย
หานเจวี๋ยด่าในใจ
ผานกู่กำลังทำอะไรอยู่กัน
พูดไว้ดิบดีว่าสกัดหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไว้ให้ได้ก็พอ เหตุใดตอนนี้ยังไม่จบอีก
หานเจวี๋ยเพิ่งนึกถึงผานกู่ ข้อความแถวหนึ่งก็เด้งขึ้นมาตรงหน้า
[ผานกู่ต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
ยอมรับ!
หานเจวี๋ยเข้าสู่แดนความฝัน ขณะเดียวกันเขาได้ทิ้งเจตจำนงครึ่งหนึ่งไว้ในกายเนื้อด้วย เผื่อขุนพลศักดิ์สิทธิ์เข้ามาโจมตีอีกครั้ง
ในแดนความฝัน หานเจวี๋ยพบกับผานกู่
ผานกู่มีสีหน้าตึงเครียด เอ่ยว่า “เรื่องนี้เกิดตัวแปรขึ้น หากต้องการให้จบลงอย่างสิ้นเชิง มีตัวเลือกอยู่สองทาง”
“หนึ่ง เจ้าเสียสละตัวเอง ให้กฎระเบียบสูงสุดสะกดจองจำ แลกเปลี่ยนกับความสงบสุขของมรรคาสวรรค์”
“สอง เจ้านัดหมายต่อสู้กับผู้นำดวงจิตมหามรรค หากเจ้าชนะ มรรคาสวรรค์และเจ้าล้วนจะปลอดภัย”
หานเจวี๋ยไม่ได้ตอบอะไร
ผานกู่รอคอยด้วยความอดทน
ผ่านไปหลายลมหายใจ หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “นี่คือผลลัพธ์ที่ท่านต่อสู้แลกมาอย่างนั้นหรือ”
ผานกู่เอ่ยว่า “ผู้ควบคุมกฎระเบียบสูงสุดตัวจริงคือตัวตนที่อยู่เหนือกว่ายอดมหามรรค แม้แต่ข้าก็ไม่อาจกล่าวนามของเขาได้ ไม่อาจถ่ายทอดรูปลักษณ์ของเขาได้ หากเขาลงมือเอง มรรคาสวรรค์จะล่มสลายอย่างแท้จริง”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
เขาผิดหวังในตัวผานกู่อยู่บ้าง
มองจากจุดนี้ ผานกู่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลเลย ขนาดเจรจาก็ล้วนตกเป็นรอง
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “หากนัดหมายต่อสู้กับผู้นำดวงจิตมหามรรค ต้องเริ่มตอนนี้เลยหรือไม่”
ถึงแม้เขาจะสู้กับอริยะเทพอวี๋เจี้ยนหนึ่งหมื่นคนได้ แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะบรรพชนเทพปฐมกาลได้
บรรพชนเทพปฐมกาลเป็นตัวตนระดับยอดมหามรรคระยะสมบูรณ์ ซ้ำยังเป็นผู้นำดวงจิตมหามรรค ตบะแข็งแกร่งแน่นอน
“ข้าจะพยายามช่วยยื้อเวลาให้เจ้าอย่างเต็มที่” ผานกู่เอ่ยอย่างเคร่งขรึม
หานเจวี๋ยเงียบงัน
ผ่านไปอีกสักพัก
ผานกู่เอ่ยขึ้นว่า “ข้าช่วยยื้อเวลามาให้เจ้าได้มากที่สุดสิบล้านปี อีกสิบล้านปีให้หลัง เจ้าต้องสู้ตัวต่อตัวกับผู้นำดวงจิตมหามรรค หากชนะ กฎระเบียบสูงสุดจะไม่พุ่งเป้ามาที่มรรคาสวรรค์อีก หากพ่ายแพ้…”
หานเจวี๋ยแสร้งกล่าวอย่างลำบากใจ “แค่สิบล้านปีหรือ”
ผานกู่ถอนหายใจ เอ่ยว่า “ความเร็วในการเติบโตของเจ้าเร็วเกินไป สิบล้านปีเป็นขีดจำกัดแล้ว หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น พันล้านปีก็ไม่มีปัญหา ผู้นำดวงจิตมหามรรคปิดด่านหนึ่งครั้ง ล้วนใช้เวลาหลักร้อยล้านปี เพียงพอจะแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาหวั่นเกรงเจ้ามากนัก”
หานเจวี๋ยก็ถอนหายใจเช่นกัน เอ่ยว่า “ตกลง”
“กำหนดกันตามนี้”
เมื่อสิ้นเสียงของผานกู่ แดนความฝันก็พังทลาย
หานเจวี๋ยไม่ได้แจ้งเรื่องนี้ต่อเหล่าอริยะทันที แต่เฝ้ารอต่อไป
ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไม่ปรากฏตัวขึ้นอีก บรรพชนเทพปฐมกาลก็ไม่ได้ถ่ายทอดเสียงหาหานเจวี๋ยอีก
ทุกอย่างเงียบสงบ
ผ่านไปนานพักใหญ่
ผานซินถามอย่างระมัดระวัง “จบแล้วหรือ ไม่มีความเคลื่อนไหวนานขนาดนี้…”
อริยะคนอื่นๆ ล้วนจ้องมองหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยถามในใจ ‘มหันตภัยมรรคาสวรรค์ครั้งนี้สิ้นสุดหรือยัง’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[สิ้นสุดลงชั่วคราว]
หานเจวี๋ยแอบโล่งใจกับตัวเอง ดูเหมือนผานกู่จะเจรจาสำเร็จแล้วจริงๆดฮณ๊ฯดฯฌซ,
เขามองเหล่าอริยะ เอ่ยขึ้นว่า “นับว่าสิ้นสุดลงชั่วคราว อีกสิบล้านปีให้หลัง ข้ามีศึกตัดสินกับผู้นำดวงจิตมหามรรค ยุติข้อพิพาทของมหันตภัยครั้งนี้ ก่อนจะถึงวันนี้ ให้มรรคาสวรรค์พัฒนาไปตามเดิม ขอฝากทุกอย่างไว้กับทุกท่านแล้ว”
พอเอ่ยจบ หานเจวี๋ยก็กลับไปที่เขตเซียนร้อยคีรี
จากนั้นมีเสียงไชโยโห่ร้องระเบิดขึ้นมาในตำหนักเอกภพ คำว่าอริยะสวรรค์เกรียงไกรปรากฏออกมามากที่สุด
….
ณ อาณาเขตลึกลับ หมอกหนาอบอวล
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายมองฉากมายาเบื้องหน้า ผ่านไปนานก็ยังไม่เห็นวี่แววของขุนพลศักดิ์สิทธิ์ เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “มหันตภัยนี้สิ้นสุดลงแล้วหรือ”
เขาข่มความตื่นเต้นไว้ ไม่กล้ามองเงาร่างลึกลับ
เงาร่างลึกลับตอบว่า “สิ้นสุดลงชั่วคราว อีกสิบล้านปีให้หลัง หานเจวี๋ยต้องต่อสู้กับผู้นำดวงจิตมหามรรค หากชนะ มรรคาสวรรค์รอด หากแพ้ มรรคาสวรรค์ล่ม”
สิบล้านปีหรือ
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายฉงนอยู่ในใจ ผู้นำดวงจิตมหามรรคลำพองตนถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“ผานกู่ออกหน้าให้ ถึงได้กำหนดนัดหมายเป็นอีกสิบล้านปีให้หลัง แต่นี่ก็นับว่าเป็นการมอบทางลงให้กฎระเบียบสูงสุดด้วย ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหานเจวี๋ยจริงๆ อีกทั้งผู้นำดวงจิตมหามรรคไม่สะดวกจะเผยตัวออกมา” เงาร่างลึกลับเอ่ยเรียบๆ
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายถาม “หากว่าหานเจวี๋ยรับปาก แต่อีกสิบล้านปีให้หลังกลับไม่ยอมสู้เล่า”
เงาร่างลึกลับกล่าวว่า “เขาต้องสู้แน่ ไม่มีทางที่จะไม่สู้”
วาจานี้ทำให้จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายฉงนยิ่งกว่าเดิม รีบซักถามต่อ แต่เงาร่างลึกลับกลับไม่ยอมตอบอีกต่อไป
“เจ้าสมควรไปได้แล้ว”
เสียงของเงาร่างลึกลับล่องลอยว่างเปล่า
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายค้อมคำนับ จากนั้นก็หันหลังจากไป
เขาเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงของเงาร่างลึกลับก็แว่วตามมา “จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย อย่าได้ลืมชะตากรรมที่เจ้ากำหนดขึ้นด้วยตัวเอง”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายไม่ได้หันหลังกลับ เดินหน้าต่อจนกระทั่งเลือนหายไป
….
มหันตภัยมรรคาสวรรค์สิ้นสุดลง หมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ย่อยยับทันทีที่เข้าใกล้มรรคาสวรรค์!
นามอริยะสวรรค์เกรียงไกรสั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าบุพกาล แม้แต่ในมรรคาสวรรค์ก็มีผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนกำลังพูดถึงเรื่องนี้อยู่
ข่าวค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วแดนเซียน อริยะสวรรค์เกรียงไกรกลายเป็นตำนานให้สรรพสิ่งเล่าขานบูชาอีกครั้ง
ณ โลกพุทธะ
พุทธสัจจะยุทธนั่งตรงข้ามฉู่ซื่อเหริน เงียบงันกันอยู่นาน
ฉู่ซื่อเหรินเอ่ยถาม “อาจารย์ปู่ของข้าเป็นเช่นไรบ้าง”
พุทธสัจจะยุทธเอ่ยออกมาเพียงสองคำ “ไร้พ่าย”
เขาดูเหมือนจะสุขุมเยือกเย็น แต่ในใจกลับมีคลื่นความตกตะลึงถาโถมบ้าคลั่ง!
นั่นคือหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ที่กวาดล้างเทพมารฟ้าบุพกาลอย่างทรงพลัง ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกหานเจวี๋ยพิฆาตในกระบี่เดียว ไม่ได้สัมผัสแม้แต่ชายขอบมรรคาสวรรค์ด้วยซ้ำ!
ก่อนจะมายังมรรคาสวรรค์ พุทธสัจจะยุทธมีความคาดหวังในตัวหานเจวี๋ยจริงๆ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าหานเจวี๋ยจะไม่เพียงแต่สกัดต้านหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้เท่านั้น ยังสังหารพวกเขาในกระบี่เดียวด้วย!
น่าเหลือเชื่อนัก!
พุทธสัจจะยุทธมีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ ทว่าเป็นครั้งแรกที่ตกตะลึงเช่นนี้ เขาบังเกิดความเคารพเลื่อมใสที่ยากจะอธิบายได้ต่อหานเจวี๋ยขึ้นมา
ได้เข้าร่วมกับมรรคาสวรรค์ อาจจะเป็นโชควาสนาอันยิ่งใหญ่!
เสียงป่าวร้องก้องฟ้าบุพกาลของหานเจวี๋ยก่อนหน้านี้ เขาก็ได้ยินชัดเจน ยามนี้คลี่คลายมหันตภัยได้ มรรคาสวรรค์ต้องรุ่งโรจน์ดั่งติดปีกแน่นอน ถึงขั้นที่อาจกลายเป็นดินแดนที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูที่สุดในฟ้าบุพกาลด้วย!
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งตื่นเต้น ในที่สุดก็ทนต่อไปไม่ไหวแย้มยิ้มออกมา
….
นภากว้างไพศาล มหาสมุทรกว้างไกลไร้ขอบเขต
เงาร่างเจิดจ้าเปล่งประกายร่างหนึ่งยืนอยู่บนไหล่ของเทวีตราวินัย
“อีกสิบล้านปีให้หลัง เด็กคนนี้ต้องแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน ท่านมีความมั่นใจหรือไม่” เทวีตราวินัยถาม
เงาร่างเปล่งประกายแค่นเสียง “ให้เวลาเขาสิบล้านปีแล้วอย่างไรเล่า คุณสมบัติของเขายอดเยี่ยม บรรลุยอดมหามรรคได้ แต่คิดจะไล่ตามข้าให้ทันภายในสิบล้านปี เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือ
“เหตุผลที่กำหนดเวลาไว้เช่นนี้ เพียงเพราะขุนพลศักดิ์สิทธิ์จนปัญญาต่อมรรคาสวรรค์จริงๆ จำนวนสองหมื่นคนคือขีดจำกัดแล้ว ซ้ำข้ายังต้องเสียค่าตอบแทนไปไม่น้อยด้วย ในเมื่อผานกู่ยื่นทางลงให้ ข้าย่อมต้องรับไว้”
เทวีตราวินัยเอ่ยว่า “อีกสิบล้านปีให้หลัง ท่านจะทำให้เขายอมรับศึกอย่างไร”
เงาร่างเปล่งประกายกล่าวว่า “เจ้ารอดูเถิด เขาจะยอมสู้แน่นอน ปัจจุบันนี้เทพมารฟ้าบุพกาลถูกกำจัดไปแล้ว เหลืออยู่เพียงหยิบมือเท่านั้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ จะต้องมีผู้มีดวงชะตายิ่งใหญ่คนใหม่ออกมาปรากฏตัวโลดแล่นแน่ ข้าจะสร้างแรงกดดันให้อริยะสวรรค์เกรียงไกร ทำให้ภายในสิบล้านปีนี้เขาไม่อาจสงบใจฝึกบำเพ็ญได้ ส่วนวันต่อสู้ตัดสิน ข้าวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว เขาจะต้องสู้ และเขาจะต้องตายอย่างน่าอนาถยิ่งนักด้วย”
………………………………………………………………