บทที่ 854 ชื่อเสียงของอริยะสวรรค์เกรียงไกร
ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ตำหนักเอกภพ
เหล่าอริยะมารวมตัวกันที่นี่ จอมอริยะเสวียนตูให้เหล่าตานออกไปแล้วเพื่อเลี่ยงข้อครหา อริยะแห่งสำนักซ่อนเร้นเห็นเช่นนี้ก็ออกไปเช่นกัน เหลืออยู่เพียงอริยะมรรคาสวรรค์
จอมอริยะเสวียนตูกวาดตามองอริยะทั้งหมด ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ทุกท่าน มหันตภัยมรรคาสวรรค์ยังไม่สิ้นสุดลง ระยะเวลาสิบล้านปีที่สหายเต๋าหานกล่าวไว้ ทุกท่านน่าจะได้ยินกันหมดแล้ว จากนี้ไปพวกเราต้องสร้างฐานอำนาจเพื่อสหายเต๋าหาน ขยายมรรคาสวรรค์ออกไป
“ศึกนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผู้อยู่เบื้องหลังขุนพลศักดิ์สิทธิ์ก็คือผู้นำดวงจิตมหามรรค พวกเราไม่อาจนั่งรอความตายได้ ต้องเตรียมการให้พร้อม จะเอาแต่พึ่งพาสหายเต๋าหานไม่ได้”
เหล่าอริยะพยักหน้ารับ
ศึกนี้ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ต้องออกโรง แต่ก็เพิ่มความสมานฉันท์ของมรรคาสวรรค์ได้มหาศาล
ได้เห็นหานเจวี๋ยพิฆาตสองหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์แล้ว จนถึงตอนนี้มรรคจิตของเขาก็ยังตื่นเต้นอยู่ ไม่อาจสงบลงได้
“สมควรแล้ว นับจากวันนี้ไป มรรคาสวรรค์นับว่าเป็นเอกราชจากฟ้าบุพกาลอย่างสมบูรณ์ ในเมื่อล่วงเกินไปแล้ว เช่นนั้นจะกลัวอันใดอีกเล่า”
“ถูกต้อง ถึงอย่างไรมรรคาสวรรค์ก็ไม่เคยพึ่งพาฟ้าบุพกาลเลย”
“ดวงจิตมหามรรคจะนับเป็นอันใดกัน ก็รู้จักแต่เล่นเล่ห์กลอยู่เบื้องหลังเท่านั้น”
“ขุนพลศักดิ์สิทธิ์สร้างความหวาดหวั่นต่อสรรพสิ่งฟ้าบุพกาล พวกเราสามารถใส่สีตีไข่ได้ บอกว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์เป็นกองกำลังที่อยู่ใต้การควบคุมของดวงจิตมหามรรค ดวงจิตมหามรรคกระทำการอุกอาจ เริ่มจากเทพมารฟ้าบุพกาลก่อน ต่อไปต้องราวีผู้ทรงพลังรายอื่นอีกแน่นอน คิดหาทางทำให้ดวงจิตมหามรรคกลายเป็นภัยร้ายต่อฟ้าบุพกาล”
“ข้าคิดว่าใช้ได้เลย อีกอย่างต้องประกาศให้ทราบถึงความแข็งแกร่งของอริยะสวรรค์เกรียงไกรด้วย อริยะสวรรค์พิทักษ์มรรคาสวรรค์ ไร้พ่ายต่ออำนาจศักดิ์สิทธิ์ เป็นอย่างไร”
เหล่าอริยะเริ่มหารือกัน ครั้งนี้จอมอริยะเสวียนตูไม่ได้กำหนดแผนการออกมา แต่ปล่อยให้อริยะทั้งหมดได้มีส่วนร่วมด้วย
เมื่อเห็นความคึกคักภายในตำหนัก จิตใจของจอมอริยะเสวียนตูพลุ่งพล่านขึ้นมาดฮณ๊ฯดฯฌซ,
คล้ายว่าเขาได้เห็นฉากที่มรรคาสวรรค์ผงาดรุ่งโรจน์ขึ้นมาแล้ว!
สักวันหนึ่ง มรรคาสวรรค์จะกลายเป็นศูนย์กลางของฟ้าบุพกาล!
จอมอริยะเสวียนตูก็นับว่ามีความเข้าใจในฟ้าบุพกาลเช่นกัน ฟ้าบุพกาลในปัจจุบันนี้มีคนที่ต่อกรกับหานเจวี๋ยได้อยู่แค่ไม่กี่คนจริงๆ
นับรวมผู้นำดวงจิตมหามรรคเข้าไป หานเจวี๋ยไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็นับเป็นอันดับสองในฟ้าบุพกาล!
อีกอย่าง หากผู้นำดวงจิตมหามรรคเอาชนะหานเจวี๋ยได้จริงๆ เหตุใดต้องกำหนดระยะเวลาสิบล้านปีด้วยเล่า
ยิ่งคิดจอมอริยะเสวียนตูก็ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งนับถือในตัวหานเจวี๋ยขึ้นกว่าเดิม
เขาตัดสินใจแล้ว จะติดตามหานเจวี๋ยตลอดไป
….
ภายในอารามเต๋า
หานเจวี๋ยนั่งสมาธิบนแท่นบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร เขากำลังทบทวนกระบวนการต่อสู้ในครั้งนี้ ทบทวนคำพูดและการกระทำของตน
เขาแสร้งทำเป็นโอหังมุทะลุไม่สนใจว่ามรรคาสวรรค์จะคงอยู่หรือล่มสลาย ไม่ทราบเช่นกันว่าบรรพชนเทพปฐมกาลและเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลจะเชื่อหรือไม่
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ระยะเวลาสิบล้านปีก็นับเป็นกันชนเป็นไปได้ช่วงหนึ่ง
อีกสิบล้านปีให้หลัง พลังของหานเจวี๋ยต้องบรรลุถึงระดับใหม่แล้วแน่นอน
แต่นี่ก็เป็นเพราะมีผานกู่ถ่วงคานอยู่ หากเขาเป็นผู้นำเหล่าดวงจิตมหามรรค ไหนเลยจะทนรอให้ครบสิบล้านปีได้
ต่อให้ต้องฆ่าก็เป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรหานเจวี๋ยก็แสดงพลังให้เห็นแล้ว อีกทั้งบรรพชนเทพปฐมกาลก็มีค่าความเกลียดชังต่อเขาถึงหกดาว
ต้องหาโอกาสสาปแช่งคนผู้นี้!
ไม่อาจทำตอนนี้ได้ เสี่ยงเผยตัวได้ง่ายๆ
รอให้ผ่านไปสักล้านปี คอยสาปแช่งเขาก็ได้
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
ต่อไปหากมีหินวิญญาณมรรคาสวรรค์ปรากฏขึ้นอีก เขาจะนำมายกระดับหนังสือแห่งความโชคร้ายแน่นอน ให้หนังสือแห่งความโชคร้ายแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ เขาเชื่อว่าขอเพียงหนังสือแห่งความโชคร้ายแข็งแกร่งมากพอ สักวันหนึ่ง จะไร้ซึ่งอุปสรรคขัดขวาง
หานเจวี๋ยเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ
ท้าสู้อริยะเทพอวี๋เจี้ยนระดับยอดมหามรรคแสนคน!
หลังสิ้นสุดแบบจำลองการทดสอบหนึ่งรอบ เขาใจเย็นลงมากนัก ตระหนักได้ถึงความอ่อนแอและขีดจำกัดของตน จิตใจที่ร้อนรุ่มกระสับกระส่ายก็สงบลงไปด้วย
เมื่อใจสงบนิ่งดั่งสายน้ำ เขาเริ่มฝึกบำเพ็ญ
หลังจากสำแดงอานุภาพแล้ว ยังคงต้องมานะฝึกบำเพ็ญต่อ艾琳小說
หานเจวี๋ยต้องการแข็งแกร่งขึ้น แข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ ต้องรักษาสภาวะนี้เอาไว้ไม่ว่าจะปรากฏศัตรูที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม เขาจะต้องเอาชนะต่อไปให้ได้
เรื่องราวอื่นใดล้วนลวงหลอกกันได้ แต่เรื่องตบะนั้นหลอกกันไม่ได้!
ขอเพียงมานะพากเพียร ก็สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้!
….
จักรวาลมืดมิด อุกกาบาตนับไม่ถ้วนล่องลอย
บนอุกกาบาตลูกหนึ่ง เงาร่างหลายต่อหลายร่างนั่งสมาธิอยู่ที่นี่ ในบรรดานั้นมีหลี่เต้าคง ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงและสือตู๋เต้า
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เอ่ยขึ้นว่า “ขุนพลศักดิ์สิทธิ์มอดม้วยแล้ว นับว่าพวกเราพ้นเคราะห์แล้ว”
เมื่อเหล่ามิ่งได้ยินต่างก็ลืมตาขึ้นมา
หลังจากเจ้าชะตาอันธการดับสูญ กลุ่มอิทธิพลมิ่งดั่งมังกรไร้หัว ซ้ำยังเผชิญการลาดตระเวนของขุนพลศักดิ์สิทธิ์ จำเป็นต้องหลบซ่อนตัว แต่ละคนรู้สึกไม่ปลอดภัย ถึงขั้นที่รู้สึกสิ้นหวัง
พวกเขาไม่อาจหลุดพ้นจากฐานะผู้กำหนดชะตาเคราะห์ได้ มีมิ่งที่ถูกขุนพลศักดิ์สิทธิ์ฆ่าไปแล้ว พวกเขาไหนเลยจะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้ ทำได้เพียงหลบนี้ไปเรื่อยๆ
เขาทราบสถานการณ์ศึกมรรคาสวรรค์จากหมื่นโลกาฉายชัดแล้ว ในใจตื่นเต้นอย่างยิ่ง
‘เริ่มอวดศักดาแล้วกระมัง สำแดงฤทธา!’
หลี่เต้าคงคิดเงียบ
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงกล่าวว่า “หมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์มุ่งโจมตีมรรคาสวรรค์ ถูกอริยะสวรรค์เกรียงไกรพิฆาต เสียงที่ก่อนหน้านี้พวกเจ้าก็น่าจะได้ยินแล้วกระมัง หาใช่คำอวดอ้างไม่ อริยะสวรรค์เกรียงไกรไม่ได้สังหารเพียงหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ ต่อมามีขุนพลศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นอีกสองหมื่นคน ยังคงถูกอริยะสวรรค์เกรียงไกรพิฆาตได้ในกระบี่เดียว”
ตูม!
มิ่งหลายสิบชีวิตล้วนแตกตื่นขึ้นมา ถึงขั้นที่ลุกขึ้นยืน ตัวสั่นไปหมด
“จริงหรือ”
“ไม่น่าเชื่อว่ามรรคาสวรรค์จะมีบุคคลเช่นนี้ด้วย!”
“ได้ยินว่าในอดีตมีดวงจิตมหามรรคโจมตีมรรคาสวรรค์ ก็ถูกอริยะสวรรค์เกรียงไกรจัดการเช่นกัน อริยะสวรรค์เกรียงไกรทรงอานุภาพเกินไปแล้ว เช่นเดียวกับผานกู่ในกาลก่อน”
“มิใช่เพียงเท่านี้ ผานกู่ที่ฟื้นคืนชีพก็ถูกขุนพลศักดิ์สิทธิ์สังหาร อริยะสวรรค์เกรียงไกรก้าวข้ามผานกู่ไปนานแล้ว กลายเป็นตำนานของยุคนี้”
“ขุนพลศักดิ์สิทธิ์มาจากระเบียบฟ้าบุพกาลไม่ใช่หรือ อริยะสวรรค์เกรียงไกรสามารถเมินเฉยต่อระเบียบฟ้าบุพกาลได้แล้วหรือ”
เหล่ามิ่งหลายสิบชีวิตตื่นเต้นอย่างยิ่ง ต่างชื่นชมหานเจวี๋ย
ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้จักอริยะสวรรค์เกรียงไกร แต่อริยะสวรรค์เกรียงไกรทำลายขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้ เท่ากับช่วยเหลือพวกเขาไว้ด้วย พวกเขาย่อมรู้สึกดีใจ
จะว่าไปแล้ว อริยะสวรรค์เกรียงไกรก็เคยมีข้อพิพาทกับมิ่งเช่นกัน เพียงแต่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยว่า “ไม่มีขุนพลศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่จากนี้ไปมิ่งก็ยังคงต้องระมัดระวังตัว ข้าจะวางแผนต่อไป และสมควรพัฒนากลุ่มอิทธิพลมิ่งขึ้นใหม่อีกครั้ง ส่วนด้านอริยะสวรรค์เกรียงไกร นับจากนี้เป็นต้นไป ถือว่ามิ่งติดค้างหนี้น้ำใจมรรคาสวรรค์หนึ่งครั้ง วันหน้าต้องพยายามไม่ไปล่วงเกิน พวกเราหาใช่ตัวตนชั่วร้ายดั่งที่ดวงจิตมหามรรคกล่าวไว้ไม่ พวกเราเพียงคิดจะปฏิวัติกฎเน่าเฟะที่เกินเยียวยานี้ของฟ้าบุพกาล”
มิ่งทั้งหลายได้ยินประโยคนี้ต่างพยักหน้ารับ หลี่เต้าคงยิ้มออกมา
สือตู๋เต้าเองก็ยิ้มเช่นกัน
‘สมกับเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ร้ายกาจโดยแท้ ทั้งสองตัวตนล้วนโดดเด่น วิธีการก็เลิศล้ำ’
สือตู๋เต้าคิดด้วยความเลื่อมใส
หลี่เต้าคงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “เจ้ายิ้มอะไร กลัวตายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“เช่นนั้นเจ้ายิ้มอันใด”
“อริยะสวรรค์เกรียงไกรคือเจ้าสำนักของข้า ข้าย่อมรู้สึกมีเกียรติร่วมกัน”
“ฮ่าๆ เจ้าทรยศต่อสำนักซ่อนเร้นแล้ว ยังจะมีเกียรติอันใดอีก”
“นั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เท่านั้น”
สือตู๋เต้าคร้านจะเถียงกับหลี่เต้าคงแล้ว
สายสัมพันธ์เก่าก่อนอันน้อยนิดของเจ้าจะเทียบกับข้าได้อย่างไร
เจ้าแดนต้องห้ามอันธการยอมรับในคุณสมบัติของข้าที่สุด!
สือตู๋เต้าคิดกับตัวเองเงียบๆ คิดว่าตัวเองในด้านขอบเขตพลังแตกต่างจากหลี่เต้าคงอย่างสิ้นเชิง
หลี่เต้าคงคิดว่าตนเป็นวงใน แต่เขากลับเป็นวงในยิ่งกว่า
เขามองออกแต่แรกแล้ว หลี่เต้าคงเป็นสายลับของอริยะสวรรค์เกรียงไกร แต่สายสัมพันธ์ของเขากับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ หลี่เต้าคงกลับไม่ทราบเรื่องเลย
นี่หมายความว่าอย่างไรเล่า!
แปลว่าในสายตาของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ เขาสิถึงจะเป็นคนสนิท หลี่เต้าคงเป็นเพียงตัวเบี้ยธรรมดาๆ เท่านั้น
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยว่า “เตรียมตัวเดินทาง แม้ว่ามิ่งจะเป็นดั่งมังกรไร้หัว เช่นนั้นพวกเราจะเข้าควบคุมมิ่งอีกครั้ง ยามนี้เทพมารฟ้าบุพกาลดับสูญไปเกือบหมดแล้ว นี่คือโอกาสของมิ่ง!”
………………………………………………………………