บทที่ 856 สายลับของหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วนิดๆ เมื่อเผชิญกับการยกยอปอปั้นของหวงจุนเทียน
หวงจุนเทียนสังเกตเห็นว่าสีหน้าเขาเปลี่ยนไป จึงหุบปากลงทันที
หานเจวี๋ยยังไม่ทันพูดอะไร เขาก็เริ่มทบทวนตัวเองแล้ว
ตนกล่าวตรงไหนผิดไปกัน
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างลุ่มลึกมีนัย “ไม่ว่าฐานะจะสูงส่งแค่ไหน ประสบความสำเร็จเพียงใด ก็ต้องทำตัวติดดินไว้เสมอ รักษาความถ่อมตัวและตื่นตัวไว้ ในอดีตตอนอยู่ในโลกมนุษย์ เจ้าก็หลงลำพองเกินไป ถึงได้เดินไปสู่จุดจบ ส่วนหลายปีมานี้ เจ้าระวังตัวดั่งเหยียบย่างบนพื้นน้ำแข็งเปราะบางเสมอมา อาจจะเหน็ดเหนื่อย แต่นี่ก็เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จของเจ้า
“เจ้าลองมองข้าเถิด ข้าเคยทำตัวหยิ่งยโสหรือ”
หวงจุนเทียนฟังแล้วรู้สึกละอาย เขาได้รับการเตือนสติจริงๆ
เพราะลองคิดดูอย่างละเอียด ตอนนี้เหลิงไปแล้วจริงๆ ปฏิบัติต่อผู้คนและเรื่องราวด้วยท่าทีเย่อหยิ่งวางตัวสูงส่ง ลืมนึกถึงความคิดของคนในปกครอง เผชิญหน้ากับผู้ที่สูงศักดิ์กว่าก็ไม่ได้ใคร่ครวญให้ถ้วนถี่เช่นในอดีต
หวงจุนเทียนรีบเอ่ยว่า “ข้าน้อยโอหังเกินไปจริงๆ ขอรับ ขอบพระคุณนายท่านที่เตือนสติ ข้าจะรักษาแนวคิดเช่นในอดีตไว้แน่นอน ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้อีกต่อไป แต่ข้าจะพิสูจน์ด้วยการกระทำขอรับ”
คำพูดนี้ใช้ได้เลย ไม่เพียงแต่เป็นการรับประกันเท่านั้น ยังน้อมรับคำติชมของหานเจวี๋ยด้วยความจริงใจ
หานเจวี๋ยได้ฟังแล้วสบายใจยิ่ง
มิน่าเล่าไม่ว่าคนผู้นี้จะไปอยู่ที่ไหนล้วนปรับตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมได้
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ไม่มีจุดใดที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ น่ะหรือ ยกตัวอย่างเช่นอยากเรียนรู้พลังวิเศษก็ใช้ได้เช่นกัน”
หวงจุนเทียนกล่าวว่า “ไม่จำเป็นจริงๆ ขอรับ ในสถานการณ์ทั่วไปข้าไม่ต้องลงมือเอง เรียนรู้มากไปกลับจะเผยจุดอ่อนได้ง่ายๆ ข้าได้ครอบครองพลังวิเศษชะตามหามรรคแล้ว เพียงพอจะใช้รักษาชีวิตในยามคับขันได้ขอรับ”
หานเจวี๋ยพยักหน้ารับ จากนั้นจึงสลายแดนความฝัน
หวงจุนเทียนมีพัฒนาการยอดเยี่ยมนัก ทำให้เขาวางใจได้
หานเจวี๋ยเข้าฝันสือตู๋เต้าต่อ ใช้รูปลักษณ์ของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
ครั้งนี้ เขามอบหมายภารกิจอย่างหนึ่งให้สือตู๋เต้า
“กระจายข่าวออกไปเงียบๆ บอกว่าดวงจิตมหามรรคนำขุนพลศักดิ์สิทธิ์มาใช้เพื่อจำกัดควบคุมกองกำลังในฟ้าบุพกาล หาใช่กฎระเบียบธรรมดา เจ้าจงหาทางทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ช่วยแพร่กระจายข่าวนี้ออกไป อย่าได้เป็นตัวตั้งตัวตี จะถูกทำนายถึงได้ง่ายๆ”
หานเจวี๋ยกำชับ
ข่าวนี้มีประโยชน์ไม่มาก แต่เขาก็อยากเกริ่นนำเอาไว้ก่อน
หากว่าได้ผลขึ้นมาเล่า
ไม่ง่ายเลยกว่าสือตู๋เต้าจะได้รับภารกิจ ย่อมตอบรับด้วยความตื่นเต้น
ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ เขาไม่เอ่ยถึงเรื่องศึกที่มรรคาสวรรค์เลย ยิ่งอยู่ในฟ้าบุพกาลไปนานเท่าไร เขาก็ยิ่งทราบถึงความน่ากลัวของตัวตนบางจำพวก เรื่องบางอย่างแค่พูดลับหลัง ก็ก่อให้เกิดหายนะร้ายแรงได้เช่นกัน
“ข้าจะถ่ายทอดพลังวิเศษให้เจ้า”
หานเจวี๋ยจ้องมองสือตู๋เต้าพลางเอ่ยออกมา สือตู๋เต้าคารวะขอบคุณทันที
สือตู๋เต้าต่างไปจากหวงจุนเทียน เขาไม่ได้เผชิญโอกาสวาสนามากมายนัก
หานเจวี๋ยถ่ายทอดพลังวิเศษสามชนิดที่ตนแทบไม่ได้ใช้งานเลยให้เขา หลังจากสือตู๋เต้าคารวะขอบคุณเสร็จ หานเจวี๋ยก็สลายแดนความฝัน
เขาเข้าฝันหลี่เต้าคงต่อ ใช้รูปลักษณ์จริงของตน เพียงแต่หลี่เต้าคงไม่ต้องการพลังวิเศษ หมื่นกระบี่ก่อกำเนิดเพียงพอให้เขาศึกษาเจาะลึกแล้ว
หานเจวี๋ยก็ไม่ได้มอบภารกิจใดๆ ให้เขาเช่นกัน หวังให้เขาดูแลตัวเองดีๆ ก็พอ
จากนั้นก็ถึงตาของจิ่งเทียนกง
เมื่อพูดถึงจิ่งเทียนกง คนผู้นี้ตระเวนไปทั่วฟ้าบุพกาลอยู่ตลอด แต่ยังไม่เคยสร้างชื่อลือชาเลย หานเจวี๋ยถ่ายทอดพลังวิเศษชนิดหนึ่งให้จากนั้นก็สลายแดนความฝัน แต่สำหรับจิ่งเทียนกงแล้ว กลับรู้สึกตกใจอยู่บ้างที่ได้รับความเมตตา
เหลือเพียงจอมเทพข่งเซวี่ย หานเจวี๋ยเรียกดูรูปประจำตัวของจอมเทพข่งเซวี่ยที่อยู่ในจอค่าความสัมพันธ์ พบว่าคนผู้นี้ยังไม่พิสูจน์อริยะมหามรรค เขาจึงไม่คิดจะไยดีชั่วคราว
ไม่ได้เรื่อง!
รอเขาพิสูจน์อริยะมหามรรคได้เมื่อไรค่อยว่ากันอีกที!
หานเจวี๋ยสอดส่องดูมรรคาสวรรค์ หนึ่งแสนปีผ่านไป มรรคาสวรรค์คึกคักยิ่งขึ้น เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลทั้งสองสายยังอยู่ระหว่างซ่อมแซม คาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าพันปีถึงจะฟื้นฟูกลับมา
ช่วงนี้มรรคาสวรรค์มีตำแหน่งอริยะเพิ่มขึ้นมาสองที่
แปลว่ามรรคาสวรรค์พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ
ไม่เลวเลย
หานเจวี๋ยหลับตาลงด้วยความพอใจ ฝึกบำเพ็ญต่อ
….
ในห้องนภาสีม่วงสลัวพร่างพราวด้วยดารา เงาร่างสายหนึ่งเคลื่อนไปด้านหน้าอย่างเงียบเชียบ เป็นหลิวเป้ยร่างแยกวัฏจักรของหานเจวี๋ย
หลิวเป้ยกวาดสายตามองไปรอบด้านอยู่ตลอด ประหม่าอย่างยิ่ง
ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว เขายังตามหาสถานที่สำหรับตั้งอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามไม่พบเลย
‘แถบนี้พอใช้ได้ ไม่มีสิ่งมีชีวิต ขนาดเพียงผนึกต้องห้ามเท่านั้น’
หลิวเป้ยคิดเงียบๆ ในใจหดหู่อยู่บ้าง
อาจเป็นเพราะในอดีตเขาเคยสร้างมาตรฐานกับเกาะสำนักซ่อนเร้นเอาไว้สูงยิ่ง ดังนั้นเมื่อต้องออกตามหาสถานที่ตั้งอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามเขาจึงมีข้อกำหนดพิเศษ อย่างน้อยก็ไม่ควรมองเห็นอาณาเขตเต๋าได้ด้วยตาเปล่า
หลิวเป้ยเดินทางต่อไป
หลายเดือนต่อมา
เบื้องหน้าปรากฏดาวเคราะห์สีแดงเข้มใหญ่มหึมาดวงหนึ่ง ดึงดูดสายตาของหลิวเป้ย
บนดาวเคราะห์ดวงนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายลึกลับ มิใช่ปราณฟ้าบุพกาล และไม่ใช่พลังวิญญาณ แต่กลับดึงดูดเขายิ่ง
เขาเข้าใกล้อย่างเงียบเชียบ
ขณะที่กำลังจะใช้จิตรับรู้สอดส่องดาวเคราะห์ดวงนี้ กลับถูกปราณลึกลับนั้นปิดกั้น艾琳小說
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงเลือกร่อนลงไปสำรวจดูเล็กน้อย
บางทีที่นี่อาจจะเป็นสถานที่ที่ตรงกับความต้องการของเขา
หลังร่อนลงบนดาว หลิวเป้ยรับรู้ถึงความร้อนลวกที่แผ่ขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า แต่ไม่มีความเจ็บปวด ความร้อนสูงของที่นี่หลอมละลายจักรพรรดิเซียนได้ในชั่วพริบตา แต่สำหรับเขาแล้ว ไม่นับเป็นอันใดเลย
หลิวเป้ยเริ่มท่องไปทั่ว สำรวจดาวเคราะห์ดวงนี้
ความเร็วของเขารวดเร็วยิ่งนัก อย่างไรก็ตามดาวเคราะห์นี้กลับใหญ่โตยิ่งนัก
หลายชั่วยามต่อมา
จู่ๆ หลิวเป้ยก็หยุดนิ่ง สายตาจ้องมองไปที่เนินเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านหน้า เนินเขาโล่งเตียน พื้นผิวเต็มไปด้วยลาวา มีเงาร่างหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่บนเนินเขา
คนผู้นี้สวมอาภรณ์เก่าคร่ำคร่า ผมร่วงไปกว่าครึ่ง ใบหน้าเหมือนเปลือกไม้แห้งกร้าน สองตาปิดสนิท แต่ดวงตาในแนวดิ่งดวงหนึ่งที่อยู่ตรงหว่างคิ้วกำลังจ้องมองหลิวเป้ยอยู่
หลิวเป้ยตกใจแทบตายแล้ว เหงื่อตกทันที
ถูกดวงตาข้างนั้นจับจ้อง เขาขนลุกไปหมด
นิ่งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง หลิวเป่ยก็ค่อยๆ ถอยหลัง
“หยุด”
น้ำเสียงเลื่อนลอยผันผวนเสียงหนึ่งแว่วดังขึ้น หลิวเป้ยได้ยินก็ชะงักทันที เขาคุกเข่าลงก่อนตะโกนว่า “ผู้อาวุโส ข้าไม่มีเจตนามารบกวน บังเอิญผ่านทางมา ข้าก็ต้องการตามหาสถานที่ฝึกบำเพ็ญสักแห่งเช่นกัน หาได้มีเจตนาร้ายไม่ ข้าจะลืมเรื่องนี้ไปเสีย ไม่เอ่ยถึงเป็นอันขาด!”
จากนั้นหลิวเป้ยก็เริ่มโขกศีรษะให้
น้ำเสียงผันผวนแว่วขึ้น “เจ้าเป็นเพียงร่างแยกเท่านั้น ร่างต้นคือผู้ใด”
หลิวเป้ยตอบว่า “ร่างต้นของข้าคือเฉาเชา มาจากมรรคาสวรรค์ขอรับ”
“เฉาเชาหรือ มรรคาสวรรค์ห่างไกลจากที่นี่ยิ่งนัก”
หลิวเป้ยก้มหน้าลง ในใจกระวนกระวายไม่สงบ
“ไม่ต้องไปแล้ว อยู่ฝึกบำเพ็ญที่นี่เถอะ”
“ห๊า ข้า…”
“หืม”
“ขอรับ!”
หลิวเป้ยได้แต่ตอบรับด้วยความคับข้องหม่นหมอง
….
ท้องนภาคราม เขาเขียวธารใส สายนทีใหญ่ไหลผ่านขุนเขา ดั่งเมฆล่องลอย
หานทั่วและอี๋เทียนนั่งสมาธิอยู่ในป่า
แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งลงมาจากฟ้า ร่วงลงตรงหน้าทั้งสอง ทำให้ทั้งคู่ตกใจลืมตาขึ้นมา
แสงสีดำสลายไป ปรากฏร่างของบรรพชนมารลู่หยวน
เมื่ออี๋เทียนเห็นเขา ก็เอ่ยหยอกเย้าว่า “ท่านยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ หลงนึกว่าท่านประสบชะตาเดียวกับเทพมารฟ้าบุพกาลไปแล้ว…”
บรรพชนมารลู่หยวนมองเขาจากมุมสูงกว่า เอ่ยว่า “ตอนนี้มีภารกิจจะมอบหมายให้พวกเจ้า”
อี๋เทียนเม้มปาก
หานทั่วเอ่ยถาม “ภารกิจใด”
“ผู้นำดวงจิตมหามรรคเรียกรวมตัวดวงจิตมหามรรค พวกเจ้าจงมุ่งหน้าไปในทันที”
“แต่พวกเราเพิ่งหนีรอดจากเงื้อมมือเขามาได้…”
“วางใจเถอะ ข้าเจรจากับเขาเรียบร้อยแล้ว ไม่ถือโทษเรื่องที่ผ่านมา งามชุมนุมดวงจิตมหามรรคครานี้ นับเป็นโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่ หากพวกเจ้าทำสำเร็จ ภายหน้าอริยะมหามรรคย่อมไม่ใช่ขีดจำกัดสูงสุด”
บรรพชนมารลู่หยวนเอ่ยอย่างเฉยชา ไม่ยอมรับความเห็นต่าง
หานทั่วขมวดคิ้ว
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เขาสัมผัสได้ถึงเค้าลางแห่งแผนร้าย
เขาเอ่ยถาม “จริงสิ ขุนพลศักดิ์สิทธิ์เล่า ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่าหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ต้องการโจมตีมรรคาสวรรค์…”
………………………………………………………………