บทที่ 880 เทพมหาทัณฑ์และอริยะสวรรค์เกรียงไกร
“เจ้าอายุแสนปีแล้ว ยังกระโดกกระเดกแบบนี้อีก เมื่อไรจะสำรวม”
หานเจวี๋ยจ้องมองบุตรสาวเบื้องหน้าที่เติบโตเต็มที่แล้ว กล่าวอย่างจนใจ
สาวน้อยคนนี้ยังคงกระโดกกระเดกถึงเพียงนี้
ไม่เกี่ยวข้องกับอายุและการเติบโตเลย แต่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ชีวิต
หากไร้ซึ่งประสบการณ์ เติบใหญ่มานับแสนปี ก็ยังคงเป็นเด็กน้อย
หานชิงเอ๋อร์ข่มความขุ่นข้องไว้ เอ่ยอย่างน้อยใจ “ระยะเวลาแสนปี เทียบได้กับท่านขังข้าไว้! มีบิดาแบบนี้เสียที่ไหน!”
คำว่าขังนี้ใช้ได้ดีนัก หานเจวี๋ยฟังแล้วค่อนข้างรู้สึกผิด
เหตุผลที่หานเจวี๋ยสามารถเพียรบำเพ็ญได้ นั่นเป็นเพราะชาติก่อนตายไว ส่งผลกระทบต่อจิตใจ
ส่วนหานชิงเอ๋อร์แต่เล็กจนโต ไม่มีสหาย ไม่เคยเผชิญความยากลำบากอันใด กล่าวได้ว่าโชคดี อันที่จริงก็เป็นแบบนั้น แต่นอกจากไม่ต้องขวนขวายทำงานแล้ว ก็ไม่ต่างไปจากนักโทษเลย
หานเจวี๋ยเงียบไป
เขารับรู้ได้ว่าหานชิงเอ๋อร์น้อยใจอยู่จริงๆ
ตั้งแต่เล็กจนโตต้องฝึกบำเพ็ญอยู่กับมารดาตลอด หลังเติบใหญ่ก็ยังถูกขังไว้ที่นี่อีก หากเปลี่ยนเป็นตัวเขาในชาติก่อน คาดว่าคงรับไม่ได้เช่นกัน
เห็นหานเจวี๋ยเงียบไป หานชิงเอ๋อร์ตาแดงขึ้นมา น้ำตาร่วงดั่งไข่มุก โมโหจนตัวสั่น
เห็นบุตรสาวร่ำไห้ หานเจวี๋ยจึงเปิดปากถาม “เจ้าเป็นเซียนทองต้าหลัวแล้วหรือ”
พอหานชิงเอ๋อร์ได้ยิน พลันยิ้มทั้งน้ำตา เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ถูกต้อง ข้าร้ายกาจมากใช่หรือไม่”
“พอใช้ได้ แต่ก็สู้ข้าไม่ได้”
“เชอะ เช่นนั้นต่อท่านอายุแสนปีมีตบะระดับใด”
หานชิงเอ๋อร์ถูกหานเจวี๋ยเบี่ยงเบนความสนใจ ถามออกไปอย่างไม่พอใจ
หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “พูดไปเจ้าอาจจะไม่เชื่อ ตอนอายุแสนปีข้าพิสูจน์มรรคแล้ว”
“ก็ไม่น่าเชื่อจริงๆ นั่นแหละ”
หานชิงเอ๋อร์เบะปาก รู้สึกว่าบิดาช่างคุยโวนัก
ถึงแม้นางจะทราบดีว่าบิดาของตนร้ายกาจยิ่ง แต่ก็ไม่รู้ถึงฐานะของผู้เป็นบิดา ตั้งแต่ถือกำเนิดมา นางไม่เคยเห็นบิดาลงมือเลย ย่อมไม่ทราบถึงพลังของเขา
หานเจวี๋ยยิ้มให้ เอ่ยว่า “ฝึกบำเพ็ญอยู่กับพ่อที่นี่ รอจนเจ้าฝึกฝนความสามารถจนทรงพลังแล้ว เจ้าอยากไปที่ใด พ่อล้วนไม่ขัดขวาง เจ้าต้องรู้ไว้ด้วย นี่คือเรื่องที่สิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ล้วนไม่อาจหมายปองได้ ผู้บำเพ็ญอื่นๆ ตระเวนไปทั่วสารทิศ เนื่องจากฝึกบำเพ็ญแล้วพบสภาวะคอขวด จำเป็นต้องได้รับโอกาสวาสนา ต้องการเคล็ดวิชา ส่วนเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้เลย”
หานชิงเอ๋อร์แค่นเสียง “เซียนทองต้าหลัวในแดนเซียนก็นับว่าแกร่งยิ่งนักแล้ว ตัวตนที่อยู่เหนือกว่าเซียนทองต้าหลัวเหล่านั้น ขอเพียงข้าไม่ไปหาเรื่อง ก็ไม่เป็นไรแล้วกระมัง”
หานเจวี๋ยยิ้ม ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าสาวน้อยคนนี้ไร้เดียงสา
ในเวลานี้เอง แจ้งเตือนแถวหนึ่งเด้งขึ้นมาตรงหน้าเขา
[เทพมหาทัณฑ์ต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
ในที่สุดคนผู้นี้ก็นั่งไม่ติดแล้วหรือ
หานเจวี๋ยพูดคุยกับหานชิงเอ๋อร์พลางถามในใจว่า ‘หากข้ายอมรับการเข้าฝันของเทพมหาทัณฑ์ จะมีอันตรายหรือไม่’艾琳小說
เรื่องตายน่ะไม่ตายอยู่แล้ว
กลัวก็แต่คนผู้นี้จะลอบวางแผนเล่นงานเขา!
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ไม่มี]
ถือว่าไอ้หนุ่มคนนี้รู้ความ!
หานเจวี๋ยลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ทิ้งเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งไว้คุยกับหานชิงเอ๋อร์ ส่วนเจตจำนงหลักเข้าสู่ความฝัน
แดนความฝันคือห้วงอวกาศผืนหนึ่ง หานเจวี๋ยมองเห็นเทพมหาทัณฑ์แล้ว
เทพมหาทัณฑ์ดูไม่เหมือนผู้นำดวงจิตมหามรรคเลย แต่เหมือนเทพสังหารฝ่าออกมาจากขุมนรก สวมเกราะเปื้อนคราบโลหิต ผมสยายคลุมบ่า แววตาเฉียบคมอย่างยิ่ง
ทั้งสองพินิจดูกันและกัน เทพมหาทัณฑ์เป็นฝ่ายเปิดปากเอ่ยก่อน “สมกับเป็นอริยะสวรรค์เกรียงไกร ข้ามองเจ้าไม่ออกเลย ไม่แปลกเลยที่เจ้าจะสามารถบีบให้บรรพชนเทพปฐมกาลอับจนหนทางได้”
“บรรพชนเทพปฐมกาลคือผู้ใด”
“ผู้นำดวงจิตมหามรรคคนก่อน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ทว่าข้าเพียงบีบให้บรรพชนเทพปฐมกาลอับจนหนทางเท่านั้น กลับเป็นเจ้าที่สังหารบรรพชนเทพปฐมกาล”
เมื่อได้รับคำชื่นชมจากหานเจวี๋ย เทพมหาทัณฑ์กลับไม่ยอมหลงกล
เขาเอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม “ยังไม่ต้องเอ่ยถึงขุนพลศักดิ์สิทธิ์สองหมื่นคนเลย แค่หมื่นคนก็สะกดข้าได้แล้ว”
นอกจากขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะมีตบะเทียบเท่ากับอริยะมหามรรคชั้นยอดแล้ว เมื่ออยู่รวมกันยังสามารถใช้อำนาจศักดิ์สิทธิ์ได้ หรือก็คือพลังแห่งกฎระเบียบสูงสุด นึกถึงครั้งอดีต เทพมหาทัณฑ์ก็ถูกบรรพชนเทพปฐมกาลส่งหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์มาสะกดเช่นกัน
นั่นคือครั้งแรกที่ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ลงมือ สะกดเทพมหาทัณฑ์มานับล้านล้านยุค
จะว่าไป ที่เทพมหาทัณฑ์สามารถหนีออกมาได้ ก็ต้องขอบคุณหานเจวี๋ยที่ทำลายล้างสองหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์
ขุนพลศักดิ์สิทธิ์เป็นอมตะมิวางวาย แต่ก็จำเป็นต้องใช้พลังเวทของบรรพชนเทพปฐมกาล ขุนพลศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงพลังแห่งกฎเกณฑ์สูงสุดเท่านั้น หากไม่มีบรรพชนเทพปฐมกาล ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางถือกำเนิดขึ้นได้ ยิ่งไม่มีทางโจมตีสิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาล
หานเจวี๋ยถาม “ไม่ทราบว่าผู้นำดวงจิตมาหาข้าด้วยธุระใด”
เทพมหาทัณฑ์กล่าวว่า “ข้าอยากบอกเจ้าว่า ฟ้าบุพกาลที่อยู่ใต้การปกครองของข้าจะต่างไปจากในอดีต จะไม่พุ่งเป้ามาที่มรรคาสวรรค์อีก ดวงจิตมหามรรครุ่นเก่าที่อยู่ใต้การปกครองของบรรพชนเทพปฐมกาลกล่าวว่าจะถูกสรรพสิ่งก้าวข้าม ดังนั้นจึงคิดหาทางกดข่มชนรุ่นหลังไว้เสมอ แต่ข้าไม่เหมือนกัน ข้าหวังว่าฟ้าบุพกาลทั้งผืนจะก้าวหน้าขึ้น ยกระดับไปอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นที่ปรากฏโลกใหม่ขึ้น
“เจ้าก็น่าจะมองเห็นเช่นกัน ดินแดนเวิ้งว้างที่อยู่นอกฟ้าบุพกาล เมื่อเวลาผ่านนานไป ข้าพบว่าฟ้าบุพกาลขยายตัวอยู่ตลอด มองไม่เห็นขีดจำกัดชั่วขณะ ไม่มีผู้ใดทราบว่าดินแดนเวิ้งว้างกว้างใหญ่แค่ไหน ข้าก็อยากเห็นขีดจำกัดของฟ้าบุพกาลเช่นกัน”
เทพมหาทัณฑ์ยิ้มออกมา แววตาเต็มไปด้วยความสดใส
ต้องกล่าวเลยว่า วาจาของเขามีแรงดึงดูดยิ่งนัก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเองและความภาคภูมิใจ
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “นั่นย่อมเป็นเรื่องดี ฟ้าบุพกาลไม่พุ่งเป้ามายังมรรคาสวรรค์ มรรคาสวรรค์ย่อมไม่เป็นอริกับฟ้าบุพกาล อีกทั้งปกติแล้วข้าคิดเพียงเรื่องฝึกบำเพ็ญ หากไม่มีศัตรูมารุกรานถึงประตูบ้านข้า ข้าไม่มีทางลงมือ”
ถึงแม้หานเจวี๋ยจะไม่กลัวเทพมหาทัณฑ์ แต่มีเรื่องเพิ่มมาหนึ่งเรื่องมิสู้ลดลงหนึ่งเรื่องดีกว่าดฮณ๊ฯดฯฌซ,
ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน!
“หากข้าและเจ้าบรรลุแนวคิดในแนวทางเดียวกันได้ เช่นนั้นฟ้าบุพกาลก็จะสงบสุข นับเป็นโชคของสรรพสิ่ง” เทพมหาทัณฑ์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หานเจวี๋ยตอบว่า “ไม่บังอาจ ข้าไหนเลยจะสร้างผลกระทบต่อสรรพสิ่งฟ้าบุพกาลได้ ข้าเป็นเพียงนักพรตเต๋าคนหนึ่ง ไม่ฝักใฝ่ชื่อเสียงอำนาจ ทุ่มจิตใจให้มรรควิถี ฟ้าบุพกาลมีผู้นำดวงจิตอย่างเจ้าอยู่ ถึงจะเป็นโชคของสรรพสิ่ง”
เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว
เหตุใดต้องปอปั้นกันไปมาเช่นนี้ด้วย
หานเจวี๋ยไม่สะดวกจะชักสีหน้า ถึงอย่างไรก็ไม่ควรหักหน้าคนที่มาด้วยเจตนาดี
มองออกชัดเจนยิ่งว่าเทพมหาทัณฑ์ต้องการเอาใจเขา หากเป็นอย่างที่เขาว่าจริง เช่นนั้นก็สมบูรณ์แบบ
“บุตรชายของเจ้าได้รับเลือกจากบรรพชนเทพปฐมกาล เดิมทีคิดใช้วางแผนต่อตัวเจ้า แต่ข้าไม่ทำเช่นนั้น ความแน่วแน่ของบุตรชายเจ้าได้รับการยอมรับจากข้าแล้ว ไม่ช้าก็เร็วเขาจะบรรลุถึงระดับนี้ของพวกเรา เหตุผลที่ข้าแต่งตั้งห้าเทวทัณฑ์ขึ้น มิใช่เพื่อสอดส่องเหล่าดวงจิตมหามรรคเท่านั้น ข้าอยากให้การสนับสนุนชนรุ่นหลัง ฟ้าบุพกาลต้องการสายเลือดคนรุ่นใหม่ ต้องการบุตรแห่งสวรรค์มากยิ่งขึ้น ถึงจะรักษาความปลอดภัยของฟ้าบุพกาลได้”
เทพมหาทัณฑ์เอ่ยด้วยสีหน้าแน่วแน่จริงใจ หานเจวี๋ยฟังแล้วเกือบจะหลงเชื่อ
หานเจวี๋ยถาม “ความปลอดภัยของฟ้าบุพกาลหรือ ยังมีสิ่งใดที่คุกคามฟ้าบุพกาลได้อีก เทพมารอนธการหรือ”
เทพมหาทัณฑ์ส่ายหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เทพมารอนธการหรือ นั่นก็แค่ข่าวลือ เพียงแต่อนธการกลับมีอยู่จริง สิ่งที่คุกคามฟ้าบุพกาลย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตอนธการ อนธการวอดวาย ฟ้าบุพกาลถือกำเนิด สิ่งมีชีวิตอนธการทั้งปวงดับสูญ แต่จิตอาฆาตของพวกเขาคงอยู่เสมอมา แต่อยู่ในก้นบึ้งแห่งฟ้าบุพกาล ถูกฟ้าบุพกาลสะกดจองจำ ดังนั้นจึงไม่สามารถคุกคามฟ้าบุพกาลได้ ในอดีตข้าถูกบรรพชนเทพปฐมกาลสะกดไว้ในก้นบึ้งแห่งฟ้าบุพกาล เคยพบวิญญาณร้ายอนธการ ถึงแม้จะบอกว่าเป็นวิญญาณร้าย คุกคามข้าไม่ได้ แต่พวกมันไม่มีวันดับสิ้น นี่คือความเป็นไปได้สูงสุดที่อาจจะคุกคามฟ้าบุพกาล
“จริงสิ การถือกำเนิดของสิ่งอัปมงคล ก็มีต้นตอมาจากวิญญาณร้ายอนธการนี้ ในอดีตเมื่อนานแสนนานมาแล้ว เทพมารฟ้าบุพกาลสามพันตนก่อสงคราม ดวงชะตาฟ้าบุพกาลปั่นป่วน มีวิญญาณร้ายอนธการหนีออกมาได้ กลายร่างเป็นสิ่งอัปมงคล ดูดซับแรงกรรมและจิตอาฆาตอย่างต่อเนื่อง เพิ่มพูนขยายเผ่าพันธุ์”
………………………………………………………………