ถ้าหากไม่ได้สู้กับหลี่เฉิงเมื่อคราวก่อนจนทำให้เธอมีความเข้าใจเกี่ยวกับการต่อสู้ของผู้ฝึกวิญญาณขึ้นมาบ้าง ตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์คงจะมิได้มั่นใจถึงขนาดนั้น แต่ว่าคราวก่อนตอนที่ต่อสู้เธอค้นพบแล้วว่าถ้าผู้ฝึกวิญญาณต้องการจะรวบรวมปราณวิญญาณออกมา จำเป็นจะต้องใช้เวลาชั่วขณะหนึ่ง และช่วงเวลาสั้นๆ นี้เอง คือช่วงเวลาวิกฤติที่เธอจะเอาชนะได้
คนที่ทำหน้าที่คล้ายกับกรรมการบนเวทีประลองคนหนึ่งบอกกับพวกเขาให้เริ่มต้นได้ เมิ่งถิงเริ่มต้นรวบรวมปราณวิญญาณในมือ
ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน คนเหล่านั้นต่างคิดว่าเธอถูกทำให้ตะลึงงันไปเสียแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นคนไร้ค่าคนหนึ่ง เมื่อเห็นปราณวิญญาณแล้วตะลึงงันไปก็เป็นเรื่องปกติ
“เหตุใดโยวเย่ว์จึงไม่เคลื่อนไหวเลยเล่า!” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างร้อนรน
“ถ้ายังไม่เคลื่อนไหวอีก ปราณวิญญาณของเมิ่งถิงก็จะรวมตัวกันเรียบร้อยแล้วนะ!” เว่ยจือฉีขมวดคิ้วเช่นกัน คิดไม่ออกว่าเหตุใดซือหม่าโยวเย่ว์จึงไม่เคลื่อนไหวเสียที
บนใบหน้าของเธอไร้ซึ่งความหวาดกลัว อีกทั้งยังอมยิ้มน้อยๆ อมยิ้มอย่างมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง!
ส่วนซือหม่าโยวเล่อก็ตื่นเต้นเสียจนเอ่ยวาจาไม่ออกแล้ว มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น ท่าทีเหมือนคิดจะขึ้นไปช่วยเธอตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น
หากเพียงซือหม่าโยวเย่ว์ได้รับบาดเจ็บ เขาก็จะรีบพุ่งตัวขึ้นไปในทันที!
คนจำนวนไม่น้อยคาดเดาถึงท่าทีตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกปราณวิญญาณทำร้ายจนบาดเจ็บเอาไว้แล้ว บนใบหน้าของทุกคนเผยรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ แต่ทว่าเพียงไม่นานรอยยิ้มของพวกเขากลับแข็งค้างอยู่บนใบหน้าไปเสียแล้ว!
ในขณะที่พลังวิญญาณของเมิ่งถิงกำลังจะรวมตัวสำเร็จนั้นเอง ร่างกายของซือหม่าโยวเย่ว์พลันเคลื่อนไหวในทันใด แล้ววิ่งตรงเข้าไปหาเมิ่งถิงด้วยความเร็วสูงสุดอย่างฉับพลัน เพียงไม่กี่วินาทีสั้นๆ เธอเคลื่อนตัวจากบริเวณที่ห่างออกไปสิบกว่าเมตรมาถึงด้านหลังของเมิ่งถิงเรียบร้อยแล้ว!
เมิ่งถิงเห็นซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วก็ไม่สนใจว่ายังรวบรวมปราณวิญญาณไม่เสร็จสมบูรณ์อีกต่อไป นางซัดมันออกไปทางซือหม่าโยวเย่ว์ เห็นว่ามันกำลังจะกระทบบนร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ แต่ร่างกายของเธอกลับขยับอย่างน่าประหลาดแล้วหลบเลี่ยงลูกพลังปราณวิญญาณไปได้!
โครม!
ลูกพลังปราณวิญญาณตกกระทบบนเวทีประลองแล้วส่งเสียงคล้ายระเบิดดังสนั่น
เมิ่งถิงคิดว่าตนโจมตีซือหม่าโยวเย่ว์ได้แล้ว แต่ว่านางยังไม่ทันได้ดีใจ ก็รู้สึกถึงความเยียบเย็นดุจน้ำแข็งที่บริเวณลำคอ
“เจ้าแพ้แล้วล่ะ!” เสียงของซือหม่าโยวเย่ว์ดังแว่วมาไกลๆ จากด้านหลังของนาง
ทุกคนในที่นั้นพากันตกตะลึงไปเสียแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้วิ่งไปถึงด้านหลังของเมิ่งถิงเสียได้นอกจากนี้ยังโอบแขนขวารอบไหล่ของนางแล้วใช้กริชที่ดูเหมือนจะถูกสนิมขึ้นจนผุกร่อนเล่มนั้นจ่อเอาไว้ที่ด้านซ้ายของลำคอนางอีกด้วย
“เจ้าวิ่งมาถึงด้านหลังข้าได้อย่างไรกัน!” เมิ่งถิงพูดอย่างประหลาดใจ
“ก็วิ่งมาทั้งอย่างนี้นี่แหละ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วเอามือตบบนร่างของนางเบาๆ สองครั้ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ถึงแม้ว่ากริชเล่มนี้จะมีสนิมอยู่บ้าง อีกทั้งยังทื่อเสียด้วย แต่ว่าเพียงแค่ข้าออกแรงสักหน่อย การตัดคอเจ้าก็เป็นเรื่องที่ทำได้อยู่แล้ว ต่อให้ตัดคอของเจ้าไม่ได้ แต่กรีดแผลเป็นบนหน้าเจ้าสักรอยหนึ่งก็น่าจะได้อยู่นะ!”
พูดจบแล้วเธอยังวาดกริชไปมาตรงหน้าเมิ่งถิงสองครั้งด้วย
เมิ่งถิงรู้สึกว่ากริชวนเวียนไปมาอยู่บนใบหน้าตนก็ตกใจกลัวจนกรีดร้องขึ้นมา
“ว้าย… อย่ากรีดหน้าข้าเลยนะ! ข้ายอมแพ้แล้ว!”
เมื่อได้ยินว่าเมิ่งถิงยอมแพ้ ผู้คนบนอัฒจันทร์ต่างพากันระเบิดเสียงอย่างไม่อยากจะเชื่อออกมา
“คุณหนูเมิ่งพ่ายแพ้แก่คนไร้ค่าคนหนึ่ง!”
“เจ้าคนไร้ค่าผู้นั้นวิ่งไปยังด้านหลังของคุณหนูเมิ่งได้อย่างไรกัน”
“มิใช่ว่าเขาเพียงแค่ฉวยโอกาสเท่านั้นหรอกหรือ ถ้าหากต่อสู้กับคุณหนูเมิ่งขึ้นมาจริงๆ ก็ต้องเอาชนะนางไม่ได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว”
“แต่ก็เอาชนะได้แล้วอยู่ดี”
“คนไร้ค่าผู้นั้นชนะแล้ว เช่นนั้นพวกเรายังต้องเรียนร่วมกันกับเจ้าคนไร้ค่านั่นน่ะสิ สวรรค์เอ๋ย…”
ซือหม่าโยวเย่ว์ปล่อยตัวเมิ่งถิงแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้ายอมแพ้แล้ว เช่นนั้นต้องทำตามข้อตกลงด้วยล่ะ ต่อจากนี้ไปเมื่อพบข้าก็ต้องหลีกไปให้ไกลหน่อย หากยังกล้ามาระรานอีกล่ะก็…”
เธอยังมิทันได้พูดประโยคหลังจนจบ แต่ความหมายนั้นก็ชัดเจนโดยไม่ต้องพูดอยู่แล้ว
เมิ่งถิงจ้องมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างไม่พอใจ เห็นเขาไปยังขอบเวทีประลองแล้วหยิบฝักกริชขึ้นมา ก่อนจะเดินลงไปอย่างสบายๆ
แต่ต่อให้ไม่พอใจยิ่งกว่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ชมดูอยู่ที่นี่ ถ้าหากนางไม่ทำตามที่ตกลงกันเอาไว้ เช่นนั้นนางก็จะกลายเป็นบุคคลที่ทุกคนรังเกียจ เพราะคนบนโลกนี้ดูแคลนผู้ที่ไม่รักษาสัจจะเป็นที่สุด
“เสร็จสิ้นลงอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ลงมาจากบนเวทีประลองแล้วเดินไปทางพวกเขา ยังรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นท่าทีทึ่มทื่อของเจ้าอ้วนชวีแล้วยื่นมือเขกหัวเขาทีหนึ่ง
ซือหม่าโยวเล่อมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์สงบลงแล้ว ปมที่ขมวดรัดแน่นในหัวใจจึงค่อยคลายลง เพลิงโทสะในใจที่คลายลงไปกลับปะทุขึ้นมา เขาพุ่งตัวเข้าไปก่นด่าเธอว่า “เจ้ารับคำท้าประลองของผู้อื่นตามใจชอบได้อย่างไรกัน! เจ้ารู้จักการรับผิดชอบความเป็นความตายของตนเองบนเวทีประลองหรือไม่ ถ้าหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดอันใดขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไรเล่า”
“ท่านพี่สี่ นี่ข้าก็มิได้ยังดีๆ อยู่หรือไร” ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวเข้าไปดึงมือของซือหม่าโยวเล่อเอาไว้แล้วพูดว่า “เอาน่า มีอะไรอยากจะพูด กลับไปแล้วก็ค่อยว่ากันเถิดนะ ที่นี่มีคนเยอะแยะไปหมดเลย”
“เฮอะ เจ้าก็รู้นี่ว่ายิ่งคนเยอะก็ยิ่งขายหน้า!” ซือหม่าโยวเล่อพูดพลางถลึงตามองเธอ
“อะแฮ่มๆ พวกเรากลับกันก่อนเถิดนะ” เว่ยจือฉีมองเห็นผู้คนไม่น้อยส่งสายตาแปลกประหลาดมาทางพวกเขาจึงเสนอแนะขึ้น
“ไปกันเถิด”
ระหว่างทางกลับ ซือหม่าโยวเล่อก็พร่ำบ่นซือหม่าโยวเย่ว์ตลอดทาง บอกว่าเธอไม่ควรจะไปรับคำท้าประลองโดยไม่สนใจว่าจะเป็นอันตรายอะไรกับตัวเอง หากมีเรื่องอันใดให้บอกพวกเขา พวกเขาจะช่วยเธอจัดการเอง
เมื่อได้ฟังคำพร่ำบ่นที่เต็มไปด้วยความห่วงกังวลของซือหม่าโยวเล่อ ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ท่านพี่สี่ ข้าโตแล้วนะ มิอาจพึ่งพาการคุ้มครองของพวกท่านอยู่ตลอดได้หรอก
พวกท่านให้ครอบครัวและความอบอุ่นใกล้ชิดกับข้า ข้าเองก็อยากจะปกป้องพวกท่านเช่นเดียวกัน ข้าอยากจะแข็งแกร่ง หากเป็นเช่นนั้นก็จะปกป้องคนที่ข้าอยากปกป้องได้ แต่ถ้าหากหวั่นกลัวแม้กระทั่งการท้าประลองแค่นี้ ใจข้าเองก็คงจะยอมแพ้แก่ตัวเองแล้ว คนที่ใจขี้ขลาดคนหนึ่งจะทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างไรกันเล่า”
“เจ้า… เฮ้อ… เจ้าโตแล้วจริงๆ นั่นแหละ” ซือหม่าโยวเล่อตบบ่าซือหม่าโยวเย่ว์ เขาพูดไม่ถูกว่าเมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ที่แท้แล้วในใจเกิดความรู้สึกเช่นไรขึ้นกันแน่
ควรจะรู้สึกตื่นเต้นยินดีไปกับการเติบโตของนาง หรือว่าจะรู้สึกเศร้าเสียใจเพราะเธอกำลังจะออกไปจากการปกป้องของพวกเขาแล้วดี
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ถึงความรู้สึกอันซับซ้อนในใจของเขา จึงดึงแขนของเขามาแล้วพิงศีรษะวางลงบนไหล่ของเขาพลางเอ่ยว่า “ไม่ว่าข้าจะเป็นเช่นไร ข้าเป็น ‘น้องชาย’ ของพวกท่าน ส่วนพวกท่านเป็นพี่ชายของข้าอยู่ดี พวกเราจะเป็นคนครอบครัวเดียวกันไปตลอดกาล!”
ซือหม่าโยวเล่อตบศีรษะซือหม่าโยวเย่ว์เบาๆ แล้วพูดว่า “อืม พวกเราจะอยู่ด้วยกันไปตลอดกาล”
“ไอ้หยา ข้าว่าพวกเจ้าไม่ต้องทำตัวเลี่ยนกันถึงเพียงนี้จะได้หรือไม่!” เจ้าอ้วนชวีลูบแขนของตัวเอง คล้ายกับรู้สึกขนลุกขนพอง
เมื่อครู่เขากับเว่ยจือฉียังรู้สึกซาบซึ้งกับคำพูดเหล่านั้นของซือหม่าโยวเย่ว์อยู่เลย แต่พอหันมาแล้วเห็นคนสองคนคลอเคลียอยู่ด้วยกัน ก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาในทันที
“ข้าว่านะ เจ้าคงจะไม่ตวัดกรงเล็บมารของเจ้าเข้าใส่พี่ชายของเจ้าหรอกกระมัง”
ซือหม่าโยวเย่ว์ผละออกจากร่างของซือหม่าโยวเล่อแล้วเตะขาข้างหนึ่งเข้าใส่เจ้าอ้วนชวีพลางคำรามว่า “เจ้าอ้วนชวี เจ้าตายให้ข้าเสียเถิด!”
เจ้าอ้วนชวีเบี่ยงตัวหลบหลีกการโจมตีของซือหม่าโยวเย่ว์ แน่นอนว่านี่เป็นเพราะซือหม่าโยวเย่ว์มิได้คิดจะโจมตีเขาอย่างจริงจัง มิฉะนั้นด้วยฝีมือของเขาจะหนีพ้นได้อย่างไรกัน
“เฮอะ! ถือว่าเจ้าหลบได้เร็วก็แล้วกัน!” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบท้องของตนเองพลางเอ่ยว่า “หิวเหลือเกิน พวกเรากลับไปทำกับข้าวกินกันดีกว่า”
หลังจากกลับไปแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็ทำกับข้าวง่ายๆ จำนวนหนึ่งให้กับทุกคน หลังจากกินมื้อกลางวันแล้วทุกคนจึงค่อยแยกย้ายกันกลับไป
ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปยังห้องของตนแล้วหยิบเอาหินลับมีดก้อนหนึ่งออกมาจากในมณีวิญญาณ เตรียมจะขัดสนิมทิ้งออกจากกริชเล่มนั้น
แต่เธอเพิ่งจะหยิบเอากริชออกมาวางบนหินลับมีดเท่านั้น ยังมิทันได้เริ่มต้นลับมีดเลย ก็ได้ยินเสียงร้องหวีดแหลมดังขึ้น อีกทั้งยังมีเสียงก่นด่าของเจ้าวิญญาณน้อยอีกด้วย
“เจ้าโง่ เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ!”
………………
Related