อูหลิงอวี่นั่งอยู่ภายในถ้ำ ให้วิญญาณของตนรวมตัวกันเล็กน้อย
อาจารย์ของเขาเคยบอกเอาไว้ว่าวิญญาณของเขาไม่สมบูรณ์ พูดได้ว่าหากเทียบกับคนอื่นเขามีวิญญาณเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ดังนั้นร่างกายของเขาอาจจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้นได้ เพราะว่าวิญญาณครึ่งเดียวนั้นไม่อาจรองรับร่างกายที่แกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ ของเขาได้
นอกจากร่างกายจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ แล้ว ยังมีข้อเสียอยู่อีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือเขาจะต้องหมดสติครั้งหนึ่งเป็นระยะๆ นอกจากนี้หลังจากที่หมดสติไปแล้วยังจะไม่อาจใช้พลังวิญญาณได้ไปอีกระยะเวลาหนึ่งด้วย จำเป็นจะต้องใช้ยาวิเศษที่อาจารย์ของเขาเตรียมให้สำหรับเขา ค่อยๆ ฟื้นฟูวิญญาณอย่างช้าๆ
แม้ว่าเขาบำเพ็ญไปเนิ่นนาน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยังไม่กลับมา เขาลุกขึ้นออกมานอกถ้ำก็พบว่าขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
“เจ้านาย นางคงจะมิได้เอายาวิเศษที่ท่านให้หนีไปแล้วกระมัง” สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาอีกตนหนึ่งของอูหลิงอวี่พูดขึ้นมาจากในมิติพันธสัญญา
อูหลิงอวี่ก็มีความคิดเช่นนี้อยู่ชั่วขณะหนึ่งเช่นกัน แต่หลังจากที่นึกถึงนัยน์ตาใสบริสุทธิ์คู่นั้นของเธอแล้วก็ส่ายหน้าก่อนจะพูดว่า “นางไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่”
เพิ่งเอ่ยวาจาออกไป เงาร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ก็ปรากฏขึ้นที่อีกฟากหนึ่งของแก่งหิน คล้ายกับคิดไม่ถึงว่าอูหลิงอวี่จะอยู่ที่ปากถ้ำ ตอนที่มองเห็นเขาเธอก็ยังสะดุ้งคราหนึ่ง
อูหลิงอวี่เห็นท่าทางการเดินของซือหม่าโยวเย่ว์ผิดปกติอยู่บ้างจึงถามอย่างเรียบๆ ว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ”
“แผลเล็กน้อยเท่านั้นเอง” มือขวาของซือหม่าโยวเย่ว์กุมแขนซ้ายเอาไว้ “เหตุใดท่านจึงมาอยู่ข้างนอกเล่า”
“ออกมาดูเวลาน่ะ อยากมาดูสักหน่อยว่าเหตุใดเจ้าจึงยังไม่กลับมา” อูหลิงอวี่เอ่ยตอบ
“ท่านวางใจเถิด บุรุษย่อมรักษาสัจจะ ในเมื่อข้านำสิ่งตอบแทนของท่านมาแล้วก็ย่อมไม่มีทางหนีไปตามลำพังอยู่แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็ผ่านตัวเขาเข้าไปในถ้ำ
“เจ้าเด็กผู้นี้ ช่างอ่อนไหวเสียเหลือเกิน” อูหลิงอวี่แย้มยิ้ม
ซือหม่าโยวเย่ว์กลับมาถึงถ้ำภูเขาแล้วก็เอนกายลงบนเตียง ถึงแม้ว่าจะกินยาวิเศษไปแล้ว แต่บาดแผลบนท่อนแขนก็ยังคงเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น เป็นเครื่องเตือนว่าวันนี้เธอประสบเหตุการณ์อันใดมา
ในเช้าวันนี้ตอนที่เธอต่อสู้กับกิ้งก่าอัคคี ต้องอาศัยทั้งร่างกายที่อ่อนแอและประสบการณ์การต่อสู้ที่สั่งสมมาจากการเป็นมือสังหารเมื่อชาติก่อนจึงสามารถเอาชนะได้
หลังจากที่ฆ่ากิ้งก่าอัคคีตายแล้วย่ากวงก็บอกเธอว่าหลังจากที่สังหารสัตว์อสูรวิเศษแล้วมนุษย์ทั่วไปก็จะเก็บซากเอาไว้ เพราะร่างกายของสัตว์อสูรวิเศษนั้นค่อนข้างแข็งแรง สามารถนำไปขายได้ นอกจากนี้ในสมองของสัตว์อสูรวิเศษยังมีแก้วผลึกมนตราอยู่ด้วย ซึ่งแก้วผลึกมนตราเป็นวัตถุดิบสำคัญในการหลอมยาหลอมอาวุธ ทั้งยังขายได้ราคาดีอีกด้วย
จากนั้นเธอก็เรียกหลิงหลงออกมา ให้นางแปลงร่างเป็นกริช เธอชำแหละกิ้งก่าอัคคีตรงจุดเดิมนั้นแล้วหาแก้วผลึกมนตราในสมองของมันจนพบ จากนั้นก็ตัดแยกเนื้อหนังของมันตามใจชอบ
ถึงแม้ว่าจะได้ของติดไม้ติดมือมาแล้วแต่ร่างกายของเธอก็เปรอะเปื้อนไปด้วยรอยเลือดเพราะเหตุนี้
กว่าจะทำสิ่งเหล่านี้เสร็จก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว เธอจึงทำอาหารกลางวันง่ายๆ กิน ยังกินไม่ทันเสร็จเสือดาวตัวหนึ่งก็เข้ามาเพราะกลิ่นคาวเลือด
เสือดาวตัวนี้มีระดับขั้นเดียวกันกับกิ้งก่าอัคคี แต่กลับว่องไวกว่ากิ้งก่าอัคคีมากมายนัก ความสามารถในการต่อสู้ก็สูงกว่าไม่น้อยเลย ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้พลังวิญญาณไปส่วนหนึ่งแล้วเมื่อเช้า จนถึงตอนนี้ก็ยังมิได้ฟื้นฟู ดังนั้นจึงเอาชนะเสือดาวได้อย่างยากลำบาก นอกจากนี้ยังถูกมันตะปบแขนในตอนท้าย ร่างกายก็ถูกกระแทกจนล้มลงบนพื้น แต่ก็ยังฆ่าเจ้านั่นตายได้ในตอนจบ
ต่อสู้กับสัตว์อสูรวิเศษถึงสองครั้งในวันเดียว ทั้งยังได้รับบาดเจ็บด้วย นี่ทำให้เธอรับรู้ถึงความสามารถในการต่อสู้อันแข็งแกร่งของสัตว์อสูรวิเศษเป็นครั้งแรก
แต่ถึงแม้ว่าเธอจะได้รับชัยชนะแล้ว แต่ร่างกายก็ยังอ่อนล้าเหลือทน เลือดบนแขนก็ยังไหลไม่หยุด เธอหยิบยาวิเศษภายในแหวนเก็บวัตถุออกมากิน แต่เพราะว่าเอายาวิเศษให้เจ้าอูหลิงอวี่ผู้นั้นกินไปแล้ว เธอจึงไม่อาจหายาวิเศษขั้นสูงกินได้ในขณะนั้น ก็ได้แต่หยิบออกมาส่งๆ ขวดหนึ่ง ดังนั้นผลลัพธ์จึงไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่นัก
เธอลุกขึ้นแล้วเก็บซากเสือดาวเข้าไปในมณีวิญญาณก่อนออกไปจากสถานที่ที่เพิ่งต่อสู้เสร็จหมาดๆ โชคดีที่มีแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เธอจึงชำระล้างคราบเลือดบนร่างกายที่ริมแม่น้ำนั้น หลังจากนั้นก็พักผ่อนอยู่นานพอสมควร รอให้บาดแผลคงตัวดีแล้วจึงค่อยเรียกย่ากวงออกมา
“เจ้านาย เมื่อครู่นี้อันตรายเหลือเกิน ท่านควรจะเรียกตัวพวกเราออกมาสิ” พอย่ากวงออกมาแล้วจึงพูดขึ้น
“อันตรายแค่นี้มิอาจนับเป็นอะไรได้หรอกน่า มิใช่รอยต่อความเป็นความตายเสียหน่อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“แต่ท่านได้รับบาดเจ็บนี่เจ้านาย” ย่ากวงพูดอย่างเจ็บปวดใจ
ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบหัวย่ากวงพลางพูดว่า “คนอยากจะพัฒนา ก็ต้องเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเอง ถ้าหากเพิ่งเริ่มต้นก็คิดจะอาศัยผู้อื่นแล้ว ตนเองก็คงยากที่จะพัฒนาได้”
ย่ากวงเงียบงันไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้านาย ข้าเข้าใจแล้ว”
“เอาละ วันนี้หมดแรงที่จะไปสู้กับใครแล้ว พวกเรากลับกันเถิด” พูดจบแล้วเธอก็ขึ้นไปนั่งบนหลังย่ากวงให้มันพาตนกลับไปยังแก่งหิน
เมื่อนึกย้อนไปถึงการต่อสู้เมื่อกลางวัน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่พอสมควร เธอค้นพบว่าตอนนี้เธอสามารถใช้พลังวิญญาณในร่างกายได้ดีกว่าเมื่อวานแล้ว ร่างกายที่ไม่ได้ต่อสู้มาเนิ่นนานก็โห่ร้องยินดี
แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รับรู้ได้ถึงข้อบกพร่องของร่างกายตนเอง ดังนั้นจึงได้รับบาดเจ็บในการต่อสู้
“ดูท่าทางจะมิได้ต้องการเพียงแค่การต่อสู้เท่านั้น แต่ยังต้องฝึกฝนร่างกายนี้ให้ดีๆ สักหน่อยด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็หลับตาลง
อูหลิงอวี่เดินไปมาในแก่งหินรอบหนึ่ง ตอนที่กลับมาก็เห็นว่าซือหม่าโยวเย่ว์หลับไปเรียบร้อยแล้ว
“ออกไปวันหนึ่ง ทั้งยังได้รับบาดเจ็บกลับมา วันนี้เจ้าออกไปทำอะไรมาทั้งวันกันแน่” อูหลิงอวี่พึมพำเสียงเบา
ตอนที่เขามาถึงข้างเตียง ซือหม่าโยวเย่ว์ที่เดิมทีหลับไปแล้วก็ลืมตาขึ้นมาในทันใด พอเห็นว่าเป็นเขาจึงหลับต่อไป
“ช่างเป็นเด็กที่ระมัดระวังตัวเหลือเกิน” อูหลิงอวี่ลอบรำพึงในใจ หลังจากนั้นก็ถอดรองเท้าแล้วมาที่ริมเตียงก่อนจะเอนตัวลงนอนด้วยกัน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวันนี้ไม่ได้กินข้าว หรือเพราะกำลังคิดอยู่ว่าวันนี้เธอไปไหนมา เขาจึงมิอาจหลับลงได้ แต่ดูคล้ายว่าตนเองจะเคยชินกับการมีเจ้าเด็กผู้นี้อยู่ข้างกายเสียแล้ว ต่อให้นอนอยู่บนเตียงเดียวกันก็มิได้ผลักไสเหมือนก่อนหน้านี้
แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาวางความสูงส่งลง สัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่นเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป
ตั้งแต่เขาจำความได้ก็ราวกับดวงจันทร์ท่ามกลางหมู่ดาว ต่อมาก็กลายเป็นผู้วิเศษแห่งตำหนักผู้วิเศษที่มีสถานะสูงส่ง ไม่ว่าจะไปแห่งหนใดก็มีแต่คนคอยสรรเสริญและรักษามารยาทด้วยอยู่ตลอด
การที่ถูกคนช่วย กินอยู่หลับนอนเหมือนกับคนทั่วไป หรือแม้กระทั่งการรอคอยให้คนผู้หนึ่งกลับมา พูดได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีวันเวลาเช่นนี้มาก่อนเลย
บางทีสภาพแวดล้อมอาจแตกต่างกันกระมัง เขาคล้ายจะพูดกับตนเอง
วันต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ บาดแผลเมื่อวานก็ดีขึ้นไม่น้อยแล้วด้วยผลจากยาวิเศษ เธอออกไปทำอาหารเช้าแล้วยกเข้ามาเตรียมจะวางเอาไว้ให้อูหลิงอวี่ แต่กลับพบว่าเขาลุกขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
“เหตุใดท่านจึงตื่นเช้าเช่นนี้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
“นอนไม่หลับ ก็เลยลุกขึ้นมาเสียเลย” อูหลิงอวี่พูด “เจ้าทำอาหารเช้าเสร็จแล้วหรือ”
“อืม” ซือหม่าโยวเย่ว์วางอาหารลงบนโต๊ะแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านตื่นขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นก็กินด้วยกันเสียเลยแล้วกันนะ”
อูหลิงอวี่นั่งลงที่โต๊ะ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงวางสำรับอาหารเช้าของเขาลงตรงหน้า
เหมือนกับที่เขาคาดเอาไว้ อาหารเช้าวันนี้ก็แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อีกแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงตรงข้ามเขาแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวโดยไม่เอ่ยวาจา
อูหลิงอวี่มองดูท่าทีของซือหม่าโยวเย่ว์ ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะดูมีรูปลักษณ์เป็นบุรุษ แต่เขากลับรู้สึกว่าคนตรงหน้าคือภรรยาผู้แสนดีอย่างอธิบายไม่ถูก
ภรรยาหรือ เมื่อนึกขึ้นว่าตนมีความคิดไปถึงคำนี้ ในใจของเขาก็สั่นระรัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
……………………………
Related