ก่อนหน้านี้คนที่ติดตามอยู่ด้านหลังซือหม่าโยวเย่ว์ยังสงสัยอยู่ว่าเธอเข้ามาทำอะไรที่ตรอกแห่งนี้ แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของเธอแล้วจึงรู้ว่าเธอจงใจนำทางพวกเขามาที่นี่
“คิดไม่ถึงว่าคนไร้ค่าอย่างเจ้าจะพบตัวพวกเราได้ด้วย” คนชุดดำคนหนึ่งออกมาจากด้านหลังเครื่องกำบังแล้วมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเยียบเย็น
อีกคนหนึ่งออกมาจากอีกฟากหนึ่งของตรอก กักตัวซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้ภายในตรอก
ซือหม่าโยวเย่ว์มองคนที่เพิ่งส่งเสียงเมื่อครู่แล้วจึงเอ่ยว่า “น่าหลานฉี สุนัขอย่างเจ้ายังมีหน้าคิดจะมาเล่นสะกดรอยตามผู้อื่นเขาอีกหรือ อย่าเล่นตลกไปหน่อยเลยน่า!”
“คนไร้ค่าอย่างเจ้า เงาหัวจะขาดอยู่แล้วยังมีหน้ามาตีฝีปากอีก!” น่าหลานฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์ นัยน์ตาเผยแววอาฆาตอย่างไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย “เจ้าทำให้พี่สาวข้าต้องถูกกักบริเวณตั้งเดือนหนึ่ง วันนี้ข้าจะต้องแก้แค้นแทนนางให้ได้!”
“คิดสังหารข้าอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์คุ้นเคยกับความอาฆาตเป็นอย่างดีที่สุด จึงหัวเราะเยียบเย็นเสียงหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าสังหารข้าได้หรือ”
“ฮ่าๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าเบื้องหลังเจ้ามีคนคุ้มกันที่เป็นปรมาจารย์วิญญาณระดับเดียวกันกับข้าอยู่ ข้าเองก็เป็นถึงผู้ฝึกวิญญาณขั้นแปด จะมิอาจจัดการคนไร้ค่าที่ทำไม่ได้แม้แต่การรับสัมผัสพลังวิญญาณอย่างเจ้าเลยเชียวหรือ” น่าหลานฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสายตาที่ราวกับมองคนโง่งม “คราวก่อนมิได้ตีเจ้าจนตาย วันนี้ข้าจะต้องส่งเจ้าไปพบท่านพญายมให้จงได้ การได้เห็นเจ้ากระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้ามันช่างเสียสายตาจริงๆ”
“อืม เจ้าพูดได้ไม่ผิดเลย การเห็นเจ้ากระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้ามันช่างเสียสายตาออกจะตายไป ในเมื่อพวกเรามีจุดประสงค์เดียวกัน เช่นนั้นก็อย่ามัวเปลืองน้ำลายกันอยู่เลย ลงมือเสียทีเถิด!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็หันหลังออกวิ่ง
“คิดจะวิ่งหนีหรือ สกัดนางเอาไว้!” น่าหลานฉีเห็นซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งก็คิดว่าเธออยากจะหนี จึงให้คนที่ขวางอยู่อีกฟากหนึ่งของตรอกปิดทางหนีเธอเอาไว้
คนคุ้มกันผู้นั้นเห็นซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งมาด้วยความรวดเร็วจึงสะดุ้งคราหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าคนไร้ค่าผู้นี้จะวิ่งจากกลางตรอกมาถึงตรงหน้าตนได้ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
ขณะที่เขากำลังฟังคำสั่งของน่าหลานฉี ก็เริ่มต้นรวบรวมปราณวิญญาณไปด้วย ตอนที่กำลังประหลาดใจอยู่นั้นก็ไม่ลืมที่จะโยนลูกพลังปราณวิญญาณเข้าใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ด้วย
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นลูกพลังวิญญาณที่พุ่งเข้ามาแล้วร่างกายก็ขยับไหว เธอวิ่งตามแนวกำแพงมาหลายก้าวใหญ่ หลบเลี่ยงการโจมตีของลูกพลังวิญญาณไปได้
“ปึง…”
ลูกพลังวิญญาณระเบิดออกบนผิวดิน ฝุ่นควันตลบไปรอบทิศ
ขณะที่คนคุ้มกันผู้นั้นคิดว่าตนทำสำเร็จแล้วนั้นเอง เงาร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ก็วิ่งออกมาจากบนกำแพง ในมือถือกริชเล่มหนึ่ง หลบเลี่ยงมาถึงตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็วพร้อมรอยยิ้มร้ายกาจ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเขา เธอตวัดกริชตรงไปที่ลำคอ หลังจากนั้นก็ถอยหลังออกมา
ตอนที่คนคุ้มกันผู้นั้นเห็นรอยยิ้มนั้นของซือหม่าโยวเย่ว์ เขาเกิดความหนาวเหน็บขึ้นมาในใจขุมหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าตนยังมิทันได้ตอบสนองก็รู้สึกชาที่ลำคอ จากนั้นก็มองเห็นเลือดของตัวเองพุ่งกระฉูดออกมาจากลำคอ
“โครม…”
ร่างกายของเขาล้มเอนไปด้านหลัง จนสิ้นลมก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคนไร้ค่าที่ร่ำลือกันผู้นี้สามารถหลบหลีกการโจมตีของตนไปได้อย่างไร และเพราะเหตุใดจึงรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้ แถมมีไอสังหารอันเข้มข้นอีก เหตุใดจึงมาปรากฏอยู่ในตัวของคนไร้ค่าที่ถูกฟูมฟักเลี้ยงดูมาอย่างสูงศักดิ์ผู้นี้ได้เล่า
น่าหลานฉีออกมานอกกลุ่มฝุ่นควัน รอจนฝุ่นควันจางลงแล้วจึงค่อยไปดูซากศพของซือหม่าโยวเย่ว์ แต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่ได้เห็นกลับเป็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่ยืนประจันหน้ากับตนอย่างไร้อาการบาดเจ็บใดๆ แม้แต่น้อย และคนคุ้มกันของตนก็นอนไร้วิญญาณอยู่ด้านหลังเธอ
“เจ้าไม่ตายหรือนี่!” เขาอุทานออกมาอย่างตกใจ
การโจมตีของคนคุ้มกันของตนเมื่อครู่นี้ ต่อให้เป็นตัวเขาเอง หากไม่ตายก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไม่มีแม้แต่อาการบาดเจ็บเลยด้วยซ้ำ นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!
ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มอย่างร้ายกาจ “เจ้ายังไม่ตายเลย แล้วข้าจะตายได้อย่างไรเล่า”
“เฮอะ ถึงแม้เมื่อครู่เจ้าจะโชคดีหลบได้พ้น แต่ตอนนี้เจ้าจะไม่โชคดีเช่นนั้นอีกแล้วล่ะ!” น่าหลานฉีพูดจบแล้วก็เริ่มต้นรวบรวมปราณวิญญาณภายในร่างกาย
“ความจริงแล้วเดิมทีข้ามิได้คิดจะเอาชีวิตเจ้าอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้หรอกนะ แต่เจ้ารนหาที่เอง ข้าจะให้เจ้าเสียความตั้งใจได้เช่นไร” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางเริ่มต้นรวบรวมปราณวิญญาณภายในร่างกาย
น่าหลานฉีมองการกระทำของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ “เจ้าก็เป็นปรมาจารย์วิญญาณเช่นกันหรือ!”
ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มไม่เอ่ยวาจา สำหรับศัตรูที่หมายเอาชีวิตตนหลายครั้งหลายครานั้นแต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่เคยใจอ่อนอยู่แล้ว
ณ ตระกูลน่าหลาน
น่าหลานหลานอยู่ภายในห้องของตนเอง ในใจรู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง คล้ายกับว่ามีเรื่องบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น
“หรือน้องชายจะไปหาเรื่องซือหม่าโยวเย่ว์จริงๆ เสียแล้ว” น่าหลานหลานพูดพึมพำกับตนเอง
ในตอนเช้าน่าหลานฉีวิ่งมาบอกว่าเมื่อคืนซือหม่าโยวเย่ว์กลับบ้านมาแล้ว วันนี้กำลังจะกลับไปที่วิทยาลัยเขาจึงคิดจะพาคนไปสังหารเขาระหว่างทาง
เดิมทีนางไม่เห็นด้วยเลย แต่น่าหลานฉียังคงยืนกรานและพาคนคุ้มกันออกไปในท้ายที่สุด
ตั้งแต่น่าหลานฉีออกไปเธอก็เริ่มกระวนกระวายใจ เป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็เป็นเพียงแค่คนไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น ด้วยพลังยุทธ์ของน่าหลานฉีและคนคุ้มกันแล้ว การจัดการกับนางก็เป็นเพียงเรื่องง่ายราวกับกระดิกนิ้วเท่านั้น เมื่อคิดเช่นนี้แล้วหัวใจของตนจึงค่อยสงบลงมา
“ซือหม่าโยวเย่ว์ มันก็น่าเสียใจอยู่บ้างที่มิอาจปลิดชีวิตเจ้าด้วยมือตัวเอง แต่ตายด้วยน้ำมือของน้องชายข้าก็เหมือนกันนั่นแหละ!” เมื่อนึกถึงว่าตนถูกไล่ออกจากวิทยาลัย น่าหลานหลานก็กำหมัดแน่น
ภายในตรอก ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงข้างกายน่าหลานฉี มองดูเขาถูกเปลวเพลิงปราณวิญญาณของตนเผาไหม้จนหน้าตาดูไม่ได้ ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตกใจ เธอเตะเขาทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ตกใจถึงเพียงนี้เพราะอะไรกัน เพราะว่าข้าฝึกยุทธ์ได้ หรือเพราะคิดไม่ถึงว่าตนจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วเช่นนี้กันเล่า”
น่าหลานฉีกะพริบตา พูดไม่ออกเลยแม้แต่ประโยคเดียว
เขาคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เพียงแค่ฝึกยุทธ์ได้เท่านั้น แต่ระดับขั้นยังสูงกว่าตนเสียอีก ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้ปราณวิญญาณจึงไม่มีดาวเดือนอันเป็นสัญลักษณ์ระดับขั้นปรากฏขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้า แต่เขากลับสัมผัสได้ว่าอย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับขั้นปรมาจารย์วิญญาณแล้ว
เมื่อเห็นแววอาฆาตในดวงตาของซือหม่าโยวเย่ว์ ในใจของเขาก็รู้สึกสำนึกเสียใจขึ้นมาในทันที ถ้าหากวันนี้ตนมิได้พาคนมาสังหารเขา หรือตนมิได้อวดเบ่ง พาคนมาให้มากอีกสักหน่อย ก็คงไม่ต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้หรอก
“แต่ไหนแต่ไรคนอย่างข้าก็พูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว ในเมื่อพูดไว้แล้วว่าวันนี้จะเอาชีวิตเจ้า ก็ต้องทำตามที่พูดเอาไว้ให้ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอากริชที่เป็นหลิงหลงแปลงกายมาแล้วเอ่ยว่า “ชีวิตนี้ของเจ้าช่างอำมหิตนัก น่าเสียดายที่พลังยุทธ์ไม่เพียงพอ ภาวนาว่าชาติหน้าอย่าได้พบเจอข้าอีกเลย”
พูดจบแล้วเธอก็แทงกริชในมือเข้าสู่หัวใจของน่าหลานฉี จบชีวิตของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ
เพื่อไม่ให้การค้นพบศพของน่าหลานฉีนำเรื่องยุ่งยากมาให้ เธอจึงนำศพของน่าหลานฉีและคนคุ้มกันเก็บเข้าไปไว้ในมณีวิญญาณ ยกให้เจ้าวิญญาณน้อยจัดการ
เจ้าวิญญาณน้อยเห็นศพที่ซือหม่าโยวเย่ว์โยนเข้ามาแล้วปรบมือสองสามครั้ง ซากศพทั้งสองก็กลายเป็นฝุ่นควัน จางหายไปกลางอากาศ
เมื่อจัดการเรื่องราวทางนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ค่อยๆ เดินออกจากตรอกอย่างช้าๆ แล้วเดินมุ่งหน้าไปยังวิทยาลัย
หลังจากนั้นเงาร่างสองสายก็ปรากฏตัวขึ้นภายในตรอก เมื่อมองเห็นรอยเลือดที่เหลืออยู่บนพื้นแล้วก็ประสานสายตากันแวบหนึ่ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความพรั่นพรึงอย่างมิอาจปิดบังได้
“คุณชายห้าถึงขนาดสังหารอีกฝ่ายได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าพลังยุทธ์จะมิได้อ่อนด้อยเลย! ข้าจะไปติดตามคุณชายห้าต่อ เจ้ากลับไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ให้ท่านแม่ทัพทราบเสีย”
“ได้…”
พูดจบแล้วทั้งสองคนก็แยกกันไปคนละทาง
ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงวิทยาลัย ยังมิทันกลับไปถึงเรือนพักก็พบกับคนที่มารออยู่ที่ทางเดินเล็กอันเงียบเชียบอยู่ก่อนแล้ว
……………………