“อาจารย์เฟิง ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเงาร่างของเฟิงจือสิงพลางหยุดฝีเท้าลงแล้วเอ่ยถามขึ้น
ที่นี่คือทางเดินเล็กที่นำไปสู่เรือนพัก ยามปกติก็มีผู้คนเดินผ่านน้อยมากอยู่แล้ว อีกทั้งตอนนี้ยังค่อนข้างเช้าอยู่ บนทางเดินจึงไม่มีคนเลย คิดไม่ถึงว่าเฟิงจือสิงจะมารอเธออยู่ที่นี่ได้
“มารอเจ้าอย่างไรเล่า” เฟิงจือสิงมองซือหม่าโยวเย่ว์ พูดอย่างเรียบเรื่อย
“มีเรื่องอันใดหรือขอรับ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองท่าทีราวกับสายลมอ่อนโชยของเฟิงจือสิง หัวใจอันฉุนเฉียวจากการสังหารคนเมื่อครู่นี้จึงสงบลงตามไปด้วย
“เมื่อวานโอวหยางเฟยมาพบข้า บอกว่าวันนี้พวกเจ้าจะออกไปจากวิทยาลัยกันแล้ว” เฟิงจือสิงพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าจะไปกันอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ แต่เมื่อนึกถึงว่าล่าช้ามาหลายวันแล้วเพราะตนเป็นเหตุ พวกโอวหยางเฟยก็ย่อมต้องร้อนใจแน่นอนอยู่แล้ว
“ขอรับ พวกเขาบอกว่าจะออกเดินทางกันเร็วหน่อย” เธอพยักหน้า
“ภารกิจของพวกเจ้าครั้งนี้ยากที่สุด ทั้งยังมีความอันตรายเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย เจ้าต้องระมัดระวังความปลอดภัยของตัวเองด้วย” เฟิงจือสิงพูด
“ข้าจะระวัง ขอบคุณท่านอาจารย์มากที่เป็นห่วง ถ้าหากไม่มีเรื่องใดแล้วข้าขอตัวก่อน พวกเขากำลังรอข้าอยู่” ซือหม่าโยวเย่ว์เกาแก้มพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไปเถิด” เฟิงจือสิงโบกไม้โบกมือ เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์จากไปแล้วจึงเอ่ยพึมพำว่า “มีกลิ่นคาวเลือดด้วย เจ้าเด็กผู้นี้ทำอะไรลงไปกันหนอ”
“เจ้านาย ท่านวางใจให้นางออกไปทำภารกิจกับคนพวกนั้นหรือ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมากลางอากาศ
“มีอะไรให้ต้องวางใจหรือไม่วางใจกันเล่า นางอยากทำก็ให้นางไปทำสิ ประสบการณ์น่ะเป็นผลดีกับการยกระดับพลังยุทธ์นะ” เฟิงจือสิงพูดแล้วก็ค่อยๆ เดินออกไปจากทางเดินเล็ก
ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับมาถึงเรือนพัก คนอื่นๆ อีกสี่คนก็เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอเพียงแค่ให้เธอกลับมาเท่านั้น
“จือฉี เจ้ามิได้บอกว่าจะรออีกสองวันหรอกหรือ เหตุใดจึงรีบร้อนถึงเพียงนี้เล่า” เมื่อเห็นคนทั้งสี่ที่เก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอจึงดึงตัวเว่ยจือฉีมาถาม
เว่ยจือฉีมองโอวหยางเฟยอย่างจนใจปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “เดิมทีคิดว่าเขาได้รับบาดเจ็บ จึงจะให้เขารักษาอาการบาดเจ็บสักสองวันก่อนแล้วค่อยไป แต่เขายังคงยืนกราน พวกเราก็เลยไม่รู้จะพูดอย่างไร แล้วเจ้าเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยหรือยัง”
“ข้าพกข้าวของติดตัวไว้แล้วล่ะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกแหวนเก็บวัตถุบนนิ้วมือพลางพูดอมยิ้ม
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด” เว่ยจือฉีตบบ่าซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดกับคนอื่นๆ อีกสามคน
แรงกดดันบนร่างของโอวหยางเฟยยังคงต่ำเช่นเดียวกันกับเมื่อวาน เมื่อได้ยินคำพูดของเว่ยจือฉี เขาก็เดินมุ่งหน้าออกไปจากลานบ้านโดยไม่มีแม้แต่เสียงกระแอมสักเสียงเลยด้วยซ้ำ
“ไปกันเถิด” เป่ยกงถังพูดอย่างเรียบเรื่อย จากนั้นก็เดินมุ่งหน้าตามออกไปข้างนอก
ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าอ้วนชวี รวมทั้งเว่ยจือฉีประสานสายตากัน ก่อนจะยักไหล่แล้วติดตามไปด้วย
“ใช่แล้ว จือฉี พวกเจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าที่แท้แล้วภารกิจของพวกเราคือสิ่งใดกันแน่!” จากนั้นพวกเขาก็มาถึงยังสมาคมปรมาจารย์วิญญาณ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงนึกขึ้นมาได้ว่าระยะนี้ตนมัวแต่ยุ่งอยู่กับการฝึกยุทธ์และการหลอมยาจนลืมถามถึงเรื่องเกี่ยวกับภารกิจไปอย่างสิ้นเชิง
เว่ยจือฉีตบหน้าผากทีหนึ่งแล้วพูดอย่างหงุดหงิดอยู่บ้างว่า “ดูสิ ข้าก็ลืมบอกเรื่องภารกิจของพวกเรากับเจ้าไปเสียสนิทเลย ภารกิจของพวกเราในครั้งนี้ก็คือการรวบรวมเครื่องยาจำนวนหนึ่ง”
“เครื่องยาหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ประหลาดใจ หากต้องการเครื่องยา ก็แค่ตรงไปซื้อที่ร้านขายยาก็ใช้ได้แล้วนี่นา เพราะเหตุใดจึงต้องให้พวกเขาไปเสาะหามาด้วยเล่า
“อันที่จริงการเสาะหาเครื่องยานี้เป็นเพียงแค่ภารกิจผิวเผินเท่านั้น” เจ้าอ้วนชวีพูด “วิทยาลัยอยากจะให้อาศัยตอนที่เสาะหาเครื่องยาในการฝึกฝนตนเอง เพราะเครื่องยาที่พวกเราต้องไปหากันนั้นมีแค่ที่เทือกเขาผู่สั่วเพียงที่เดียวเท่านั้น ซึ่งที่นั่นมีอสูรปีศาจอยู่มากมาย ถ้าหากได้พบพวกมันบ้างก็จะช่วยยกระดับจากประสบการณ์ตรงของตัวเองอีกด้วย”
เมื่อได้ยินว่าเทือกเขาผู่สั่ว ซือหม่าโยวเย่ว์ก็สะเทือนอารมณ์อยู่บ้าง ดูเหมือนว่าตนเพิ่งจะกลับมาได้เพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น ก็ต้องกลับไปที่นั่นอีกแล้ว
“ไปกันเถิด พวกเราจะไปที่เมืองใกล้ๆ เทือกเขาผู่สั่วผ่านทางค่ายกลนำส่ง” เมื่อถึงคราวของพวกเขา เว่ยจือฉีก็จ่ายค่าใช้งานสำหรับห้าคน ก่อนจะบอกชื่อเมืองแห่งหนึ่งแก่สาวใช้ผู้นั้น
“เมืองเหยียน ห้าคน” สาวใช้ผู้นั้นพูดพลางหยิบเอาป้ายสัญลักษณ์ห้าอันส่งให้แก่เว่ยจือฉี แล้วเว่ยจือฉีก็เอาป้ายสัญลักษณ์มาแจกจ่ายให้กับทุกคน
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูป้ายสัญลักษณ์ในมือพลางคิดว่าที่นี่ไม่เห็นจำเป็นต้องกรอกข้อมูลอันใดเลย คาดว่าคงเป็นเพราะที่นี่มีผู้คนผ่านไปมามากมายเหลือเกิน การกรอกข้อมูลจึงเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไป
“เมืองเหยียนนี้เป็นเมืองที่ข้าและโอวหยางตัดสินใจเลือกเองแหละ” เว่ยจือฉีเดินไปพลาง พูดอธิบายให้ซือหม่าโยวเย่ว์ฟังไปพลาง “พวกเราเคยได้ยินมาว่าสัตว์อสูรวิเศษทางตอนเหนือของเทือกเขาผู่สั่วนั้นมีจำนวนค่อนข้างน้อย คราวนี้พวกเราก็เลยจะไปทางด้านเหนือกัน และเมืองเหยียนก็เป็นเมืองใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือ”
เมื่อมาถึงห้องที่ค่ายกลนำส่งตั้งอยู่ พวกเป่ยกงถังก็ส่งป้ายสัญลักษณ์ให้กับคนที่อยู่ด้านข้าง หลังจากนั้นก็ไปยืนอยู่ภายในค่ายกลนำส่งแล้วมองพวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งสามคน
ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงตอนที่ใช้ค่ายกลนำส่งเมื่อคราวก่อนแล้วตนล้มลุกคลุกคลานเสียจนราวกับสุนัข พอเห็นค่ายกลนำส่งอีกครั้ง ดวงตาก็เปล่งประกายวาบ
รอจนทั้งห้าคนขึ้นไปกันครบแล้ว ค่ายกลนำส่งจึงเริ่มทำงาน เพียงไม่นานพวกเขาก็หายลับไปจากห้อง
หลังจากที่พวกเขาเพิ่งไปได้ไม่นาน คนอีกสองกลุ่มก็มาที่สมาคมปรมาจารย์วิญญาณเช่นเดียวกัน ดูจากสิ่งที่พวกเขาสวม ก็เป็นนักเรียนของวิทยาลัยเช่นเดียวกัน
“เมืองเหยียน” ตอนที่คนหนึ่งในนั้นยื่นป้ายสัญลักษณ์ออกไป ก็พูดกับผู้ดูแลสองคำ หลังจากนั้นก็เข้าไปยืนในค่ายกลนำส่ง
“พี่ใหญ่ ท่านว่าพวกเขาจะไปจากเมืองเหยียนถึงเทือกเขาผู่สั่วได้จริงๆ หรือ” คนที่มาถึงค่ายกลนำส่งเป็นคนที่สองถาม
คนที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่มองคนผู้นั้นปราดหนึ่งโดยไม่เอ่ยวาจา คนผู้นั้นจึงยักไหล่ก่อนจะเข้ามายืนอยู่ข้างๆ
ยามพลบค่ำ พวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็มาปรากฏตัวขึ้นที่สมาคมปรมาจารย์วิญญาณแห่งเมืองเหยียน
“พวกเราไปหาโรงเตี๊ยมสักแห่งพักผ่อนกันก่อนเถิด ระหว่างนั้นจะได้ฟังข่าวคราวเกี่ยวกับสถานการณ์ของเทือกเขาผู่สั่วไปพลางๆ ด้วย พวกเจ้าว่าไง” เว่ยจือฉีถาม
“ดีเลย!” เจ้าอ้วนชวีเห็นด้วยก่อนใคร อยู่ในค่ายกลนำส่งเนิ่นนานถึงเพียงนั้น ทำเอาปวดหลังปวดเอวไปหมดแล้ว
“ข้าไม่มีข้อโต้แย้ง” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอบ
เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยก็พยักหน้าเช่นกัน ตอนนี้ท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว หากเร่งรีบไปยังเทือกเขาผู่สั่วในตอนนี้ก็เป็นเรื่องค่อนข้างอันตรายเลยทีเดียว
จากนั้นตอนที่ทั้งห้าคนออกจากสมาคมปรมาจารย์วิญญาณ ก็แวะถามสถานที่ตั้งของโรงเตี๊ยมที่ใกล้ที่สุดไปด้วย ก่อนจะไปเปิดห้องพักห้าห้อง หลังจากกินอาหารเย็นแล้วก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน
หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในโรงเตี๊ยมได้ไม่นาน คนจำนวนหนึ่งก็เข้ามาพักด้วยเช่นกัน
ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปที่ห้องพักแล้วนอนแผ่หลาลงบนเตียง
ตอนกินมื้อเย็นเธอเห็นว่าสี่คนที่เหลือล้วนมีสีหน้าจริงจัง เธอรู้ว่าพวกเขากำลังกระวนกระวายเรื่องการเข้าไปยังเทือกเขาในวันพรุ่งนี้ แต่สำหรับเธอที่เคยอาศัยอยู่ในเทือกเขาผู่สั่วมาเป็นเวลานานเช่นนี้กลับมิได้กระวนกระวายแต่อย่างใดเลย
ต่อมา หลังจากล้างเนื้อล้างตัวอย่างง่ายๆ รอบหนึ่งแล้วเธอก็กอดผ้าห่มผล็อยหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาลงมารวมตัวกันกินอาหารเช้าที่ชั้นล่าง
“เมื่อคืนข้าได้รู้สถานการณ์ของเทือกเขาผู่สั่วจากเจ้าของโรงเตี๊ยมแล้วนะ” เว่ยจือฉีกินข้าวเช้าไปพลาง พูดกับอีกสี่คนที่เหลือไปพลาง “เทือกเขาผู่สั่วแห่งนี้แบ่งออกเป็นชั้นนอก ชั้นกลาง และชั้นใน…”
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สิ่งที่เว่ยจือฉีพูดหมดแล้ว แต่เมื่อได้ฟังเขาพูดอย่างละเอียดลออเช่นนั้น ก็ตะลึงไปกับความสามารถในการสืบหาข่าวสารของเขา
“ขอเพียงแค่พวกเราไม่ไปที่ชั้นกลางและชั้นใน ก็ไม่มีทางประสบกับอันตรายใหญ่หลวงหรอก” เว่ยจือฉีเอ่ยสรุปในที่สุด
“แต่ถ้าหากพวกเราจำเป็นต้องรวบรวมเครื่องยาที่มิได้อยู่ที่ชั้นนอกเล่า ก็คงได้แต่เสี่ยงอันตรายเข้าไปลองดูที่ชั้นกลางน่ะสิ” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ชั้นกลางอันตรายเกินไป หากหลีกเลี่ยงไม่ไปได้ ก็พยายามอย่าไปเลยดีกว่า” เว่ยจือฉีพูด
“ไปกันเถิด ข้าก็เพิ่งเคยมาที่เทือกเขาผู่สั่วนี่เป็นครั้งแรก แทบจะอดใจรอดูว่ามันหน้าตาเป็นเช่นไรไม่ไหวอยู่แล้ว”
………………