“ยังมีสิ่งใดแปลกประหลาดอีกหรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม
“เจ้าอ้วน เจ้าไม่รู้สึกหรือ ตอนที่คนผู้นั้นยังมาไม่ถึงตัวพวกเรา ความเร็วไม่ได้ต่างจากฝูงหมาป่าเลย แต่หลังจากโยนลูกหมาป่าให้เจ้าแล้ว ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นมากอย่างฉับพลัน เพียงครู่เดียวกลับไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว ความเร็วก่อนหลังแตกต่างกันมากมายถึงเพียงนี้ เจ้าไม่รู้สึกว่าแปลกประหลาดอย่างยิ่งหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าว่าดูเหมือนเขาล่อฝูงหมาป่ามาหาพวกเราที่นี่หรือไม่เล่า”
“เจ้า… เจ้าจะบอกว่าคนผู้นั้นจงใจล่อฝูงหมาป่ามาหาพวกเราที่นี่อย่างนั้นหรือ คนผู้นั้นคิดจะทำร้ายพวกเราอย่างนั้นหรือ” เจ้าอ้วนชวีร้องออกมาอย่างตกใจ
ซือหม่าโยวเย่ว์แสดงสีหน้าว่าเจ้ายังไม่ได้โง่เง่าถึงเพียงนั้นใส่เขา
“บัดซบ เจ้าคนผู้นั้นเป็นใครกัน คิดทำร้ายพวกเราด้วยเหตุใด” เจ้าอ้วนชวีตะโกนเสียงดังลั่น
“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องรู้ให้จงได้ ตอนนี้คาดเดาไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” โอวหยางเฟยพูด
“ถูก ตอนนี้เดาไปก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อเขายังอยู่ในเทือกเขาแห่งนี้ พวกเรายังมีโอกาสได้พบกับเขาอีก” เว่ยจือฉีพูด “วันนี้ทุกคนเหนื่อยกันมากแล้ว ข้าคิดว่าพวกเราตั้งที่พักแล้วพักผ่อนกันก่อนดีกว่านะ”
“ดีเลย”
ทั้งห้าคนพักผ่อนกันหนึ่งวันเต็ม ตลอดเวลาหนึ่งวันนี้มีผู้คนเดินผ่านบริเวณที่พักของพวกเขาไปไม่น้อย
“โยวเย่ว์ เจ้าดูสิ เป็นกลุ่มคนของตระกูลใหญ่ผ่านมาอีกแล้ว” เจ้าอ้วนชวีนั่งอยู่ข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ มองดูผู้คนที่เดินผ่านมาแล้วพูดขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูผู้คนที่เดินผ่านไปด้วยท่าทียโสโอหังเหล่านั้นแล้วมิได้เกิดความประทับใจอันดีแต่อย่างใดเลย
“แต่จะว่าไปแล้วจือฉีก็เป็นคนตระกูลใหญ่ เหตุใดจึงไม่หยิ่งยโสเทียมฟ้าเหมือนคนพวกนี้เลยเล่า” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างสงสัย
“เจ้าเองก็เหมือนกันมิใช่หรือ” เว่ยจือฉีพูดยิ้มๆ
“ตระกูลของข้าจะไปเปรียบกับตระกูลเว่ยของเจ้าได้อย่างไรกัน” เจ้าอ้วนชวีส่ายหน้า “นี่ จะว่าไปแล้วพวกเรายังไม่รู้จักตระกูลโอวหยางกับตระกูลเป่ยกงเลยนี่นา”
“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น” เว่ยจือฉีพยักหน้า
ตอนแรกที่รู้จักกัน โอวหยางเฟยและเป่ยกงถังต่างมิได้พูดถึงเรื่องของตัวเองเลย แต่ในเวลานั้นยังไม่สนิทสนมคุ้นเคยกัน พวกเขาจึงมิได้ไถ่ถามรายละเอียดซอกแซก ต่อมาเมื่อทุกคนสนิทสนมกันแล้วก็ลืมถามไปเสียสนิท
โอวหยางเฟยยักไหล่พูดว่า “ข้าเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีญาติใกล้ชิดหรอก”
เขาพูดอย่างผ่อนคลายยิ่ง แต่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับรู้สึกได้ถึงความชิงชังสายหนึ่งในน้ำเสียงของเขา
“ข้ามีเพียงแค่ท่านแม่กับน้องชายคนหนึ่งเท่านั้น แต่พวกเขาอยู่ ณ สถานที่อันไกลแสนไกล” เป่ยกงถังพูดด้วยแววตาพร่าเลือน จ้องมองท้องฟ้า บนร่างแผ่รังสีแห่งความเจ็บปวดและความคับข้องใจออกมา
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูคนทั้งสองแล้วหรี่ตาลง ดูท่าทางคนทั้งคู่จะต้องมีเรื่องที่มิอาจให้ผู้ใดล่วงรู้ซ่อนเร้นอยู่อย่างแน่นอน!
เว่ยจือฉีตบบ่าโอวหยางเฟยพลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรนะ ต่อจากนี้ไปพวกเราก็คือครอบครัวของเจ้าแล้วล่ะ”
“ถูกต้อง พวกเราเป็นคนในเรือนพักเดียวกัน ทั้งยังเป็นพรรคพวกเดียวกันอีกด้วย ต่อจากนี้ไปพวกเราคือครอบครัวของเจ้า” เจ้าอ้วนชวีก็พูดขึ้นเช่นกัน
โอวหยางเฟยหันหน้าไปเห็นสายตาจริงใจของเว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวี สายตาที่เย็นชามาโดยตลอดอ่อนโยนลงไปไม่น้อย
“ดี ต่อจากนี้ไปพวกเราก็คือพี่น้องกันแล้วนะ!”
“ใช่แล้ว พี่น้องกัน!” เจ้าอ้วนชวีลุกขึ้นไปนั่งข้างกายโอวหยางเฟยก่อนจะตบมือเข้าด้วยกัน
อันที่จริงแล้วมิตรภาพระหว่างบุรุษนั้นบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงแค่แน่ใจแล้ว เจ้าก็คือพี่น้องของข้า ผ่านการคลุกคลีกันมาหลายเดือน โอวหยางเฟยก็รู้จักลักษณะนิสัยของพวกเขา และค่อยๆ ยอมรับพวกเขาอย่างช้าๆ หัวใจที่เยียบเย็นดุจน้ำแข็งนั้นก็ค่อยๆ อบอุ่นขึ้นทีละเล็กละน้อย
ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มยิงฟันมองดูคนทั้งสามแล้วพูดว่า “เฮ้ๆๆ นับข้าเข้าไปด้วยสิ!”
“ฮ่าๆ ขาดเจ้าไปไม่ได้หรอกน่า!” เจ้าอ้วนชวีพูดแล้วหัวเราะเสียงดัง
เป่ยกงถังมองดูพวกเขาที่สนุกสนานเฮฮากันแล้วความโดดเดี่ยวก็เคลื่อนผ่านนัยน์ตา คล้ายกับว่าทนรับแรงกระตุ้นของเหตุการณ์ที่เห็นตรงหน้ามิได้ จึงลุกขึ้นเดินจากไป
“เป่ยกงเป็นอะไรไปน่ะ”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา นัยน์ตาแสดงความไม่เข้าใจ
“ข้าไปดูนางสักหน่อยดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เป่ยกงถังจากไป
เป่ยกงถังมาถึงยังริมลำธารเล็กพลางเหม่อมองผิวน้ำ เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวด้านหลังจึงหันหน้าไปมองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นซือหม่าโยวเย่ว์จึงถามว่า “เจ้ามาทำไม”
“ควรจะเป็นข้าที่ถามเจ้ามากกว่านะ เจ้าวิ่งออกมาคนเดียวทำไมกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์มายังข้างกายเป่ยกงถัง เตะก้อนหินก้อนหนึ่งลงน้ำไปอย่างส่งๆ ก่อให้เกิดระลอกคลื่นน้ำ
“ข้าเป็นอะไรเสียที่ไหนกัน” เป่ยกงถังส่ายหน้า
“เจ้ากำลังจงใจปลีกตัวห่างจากทุกคน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เป่ยกงถังตกตะลึงแล้วเอ่ยปฏิเสธ “ข้าเปล่านะ”
“เจ้าทำ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเป่ยกงถัง “พวกเราก็รู้จักกันมาตั้งหลายเดือนแล้ว เจ้าวางตัวไม่ใกล้ชิดไม่ห่างเหินกับทุกคนมาโดยตลอด เมื่อครู่เห็นพวกโอวหยางกับจือฉีเป็นเช่นนั้นกันแล้วก็ยังจากมาอีกหรือ”
เป่ยกงถังไม่พูดไม่จา เพียงแค่มองผิวน้ำเท่านั้น
“เจ้ากำลังกังวลใจใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดต่อไป “เป็นกังวลถึงท่านแม่และน้องชายของเจ้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ กลิ่นอายบนร่างเป่ยกงถังก็แปรเปลี่ยนไปในทันใด เป่ยกงถังมองเธออย่างระแวดระวังแล้วถามอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่”
ทว่าซือหม่าโยวเย่ว์กลับมิได้ตกใจเพราะท่าทีเช่นนี้ของนาง เธอแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องกระวนกระวายไปหรอกนะ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าประสบพบเจอกับอะไรมา แล้วยิ่งไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงอ่อนไหวง่ายถึงเพียงนี้ แต่ข้าเพียงแค่มองความกังวลใจออกจากสายตาของเจ้าเท่านั้นเอง”
“จริงหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่ “ตอนข้าอยู่ที่เมืองหลวงก็นับได้ว่าเป็นบุคคลที่ทุกคนรู้จักกันดีคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าชื่อเสียงข้าจะมิได้ดีสักเท่าใดนัก ตัวตนของข้าก็ไม่เคยเป็นความลับแต่อย่างใดเลย”
เป่ยกงถังจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงค่อยคิดสิ่งใดขึ้นมาได้แล้วหมุนตัวไปมองจ้องผิวน้ำ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่กลับมิได้แผ่กลิ่นอายเยียบเย็นตลอดร่างดังเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเช่นนี้จึงรู้ว่านางไม่ได้ระวังเนื้อระวังตัวกับตนเช่นนั้นอีกแล้ว จึงยกมุมปากยิ้มก่อนเอ่ยว่า “ถึงแม้ก่อนหน้านี้ข้าจะไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด แต่ระยะหลังมานี้ข้าเพิ่งค้นพบว่าความรู้สึกที่มีคนอยู่ด้วยก็ไม่เลวเลยทีเดียว ไม่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าจะเป็นเช่นไร ในภายภาคหน้าจะพบเจอกับอะไร แต่ในขณะนี้พวกเราอยู่ด้วยกัน อย่าได้ลืมไปเสียล่ะว่าพวกเราคือสหายที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ตอนนี้พวกเราคือคนที่สามารถฝากชีวิตเอาไว้ได้ ถ้าหากเจ้าอยากจะหาคนหารือด้วย พวกเราก็พร้อมอยู่ด้วยเสมอนั่นแหละ”
“อืม” เป่ยกงถังพยักหน้าเป็นเชิงว่าตนเข้าใจในความหมายของซือหม่าโยวเย่ว์แล้ว
“เอาละ พวกเรากลับกันเถิด พวกเขาเห็นเจ้าจากมาโดยไม่พูดจาสักคำ เป็นห่วงเจ้ากันแทบแย่แล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางตบบ่าเป่ยกงถัง
ทั้งคู่กลับมายังที่พัก พวกเว่ยจือฉีจึงค่อยถอนหายใจแล้วสนทนาสัพเพเหระกันต่อไป
ถึงแม้ว่าเป่ยกงถังจะมิได้พูดสอดแทรกอะไรสักเท่าใดนัก แต่ตอบในสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันเป็นระยะๆ
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูพวกเขาแล้วก็ค้นพบว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ทำให้พวกเขาใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้นไม่น้อย ถ้าหากบอกว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่กลุ่มก้อนหนึ่งแล้วละก็ เช่นนั้นตอนนี้ทุกคนก็คือสหายร่วมการต่อสู้
ยามราตรี ทุกคนพากันแยกย้ายกลับไปพักผ่อนยังกระโจมของตน เป่ยกงถังเอนตัวนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงเล็กของตน สองตาเบิกกว้าง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสุขอย่างมิอาจควบคุมได้
“เมิ่งจี เจ้าฟื้นแล้วหรือ”
“เจ้านาย คราวก่อนข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป ตอนนี้เพียงแค่ฟื้นขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้นเอง” น้ำเสียงผู้หญิงเสียงหนึ่งดังขึ้นในห้วงสมองของเป่ยกงถัง
“เมิ่งจี ที่เจ้าบาดเจ็บจนอยู่ในสภาพนี้ ก็เพื่อคุ้มกันให้ข้าหลบหนีมาได้ ผ่านมานานปีถึงเพียงนี้แล้ว เจ้าก็ยังต้องพึ่งการนิทราเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บอยู่เลย” เป่ยกงถังเอ่ยอย่างโทษตัวเอง
“เจ้านายอย่าได้โทษตัวเองไปเลย การปกป้องท่านเป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว” เมิ่งจีพูด
“เจ้านาย ระยะเวลาที่ข้าจะตื่นขึ้นมาในครั้งนี้มิได้ยาวนานนัก ข้าขอบอกจุดประสงค์ที่ข้าตื่นขึ้นมาในครั้งนี้กับท่านตรงๆ เลยแล้วกัน ข้าสัมผัสได้ว่าภายในเทือกเขามีเครื่องยาชนิดหนึ่งที่กำลังจะเจริญขึ้น ถ้าหากใช้ได้ ข้าก็จะสามารถฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์ เจ้านาย ถ้าหากทำได้…”
เสียงของเมิ่งจีเบาลงเรื่อยๆ ยังพูดคำสุดท้ายไม่จบก็หลับใหลลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้งเสียแล้ว
“เมิ่งจี ถ้าหากเครื่องยาชนิดนั้นมีประโยชน์ต่ออาการบาดเจ็บของเจ้า ข้าจะช่วงชิงมาให้เจ้าอย่างแน่นอน!” เมื่อนึกถึงเมิ่งจีที่หลับใหลไม่ฟื้น เป่ยกงถังก็ผูกรัดเสื้อผ้าบริเวณเอวแน่น
………………………