“พวกเจ้ากลับกันก่อนเถิด ข้าอยากจะอยู่ในหุบเขานี่อีกสักหลายๆ วันหน่อย” เป่ยกงถังเอ่ยปากพูดขึ้นก่อน
“ทำไมเล่า เป่ยกง เจ้าจะไม่ไปพร้อมกับพวกเราหรือ” เว่ยจือฉีถาม
เป่ยกงถังมองไปยังทิศทางของพื้นที่ชั้นในแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “ข้ายังมีธุระอีก ไม่ไปพร้อมกับพวกเจ้าหรอก”
“เป่ยกง ภายในเทือกเขาแห่งนี้อันตรายยิ่งนัก เจ้าไปคนเดียว…” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างไม่วางใจ
“ข้ามีเรื่องที่จำเป็นจะต้องไปทำน่ะ” เป่ยกงถังขัดจังหวะคำพูดของเจ้าอ้วนชวี
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีแน่วแน่ของเป่ยกงถังจึงนึกคาดเดาไปว่านางต้องคิดจะไปแย่งชิงผลอสรพิษทองคำเช่นกัน เห็นนางเป็นเช่นนั้นก็น่าจะเป็นเพราะมีเหตุผลที่ไม่ทำไม่ได้อยู่เช่นเดียวกันกระมัง
“เจ้าอยากจะไปแย่งชิงสิ่งล้ำค่านั่นสินะ” โอวหยางเฟยพูด
“จริงหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองเป่ยกงถังพลางเอ่ยถาม
เป่ยกงถังสะดุ้งคราหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเพียงครู่เดียวโอวหยางเฟยก็เดาได้แล้ว จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่”
“เป่ยกง เมื่อวานพวกเราเพิ่งได้ยินคนที่เดินผ่านทางมาพูดว่าสิ่งล้ำค่านั่นอยู่ในพื้นที่ชั้นใน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพื้นที่ชั้นในอันตรายมากเพียงใด ในระยะนี้มีผู้แข็งแกร่งมากมายเพียงใดแห่กันมาที่นี่ คิดจะช่วงชิงสิ่งล้ำค่ามาจากกำมือพวกเขานั้นจะต้องมีพลังยุทธ์มากพอจึงจะทำได้” เว่ยจือฉีพูดอย่างจริงจัง
“ข้ารู้” เป่ยกงถังพูด “แต่ข้าจะต้องชิงของสิ่งนั้นมาให้ได้”
“เพราะเหตุใดหรือ” โอวหยางเฟยถาม
เป่ยกงถังเงียบงันไปชั่วครู่ก่อนจะพูดว่า “ข้ามีเหตุผลของข้า พวกเจ้ากลับกันไปก่อนเถิด ไม่ต้องรอข้าหรอก”
“ไม่ได้ เจ้าไม่ยอมบอกเหตุผล พวกเราก็ปล่อยให้เจ้าไปไม่ได้หรอกนะ!” เว่ยจือฉีพูดอย่างเด็ดขาด “พวกเราเป็นสหายร่วมการต่อสู้ มิอาจทอดทิ้งเจ้าเอาไว้คนเดียวได้หรอก ทั้งยังมิอาจให้เจ้าไปเผชิญอันตรายตามลำพังได้ด้วย!”
“ถูกต้อง เป่ยกง พวกเราไม่มีทางทิ้งเจ้าเอาไว้ที่นี่คนเดียวแน่” เจ้าอ้วนชวีพูดผสมโรง
เป่ยกงถังได้ยินแล้วก็สะดุ้งพลางอ้าปากค้าง แต่กลับมิได้พูดอะไรออกมาเลย
ซือหม่าโยวเย่ว์มายังข้างกายเป่ยกงถังแล้วตบบ่านางพลางเอ่ยว่า “สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของเจ้าได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” เป่ยกงถังพรั่นพรึงไม่น้อย ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้บอกความคิดที่แท้จริงของตนออกมาได้ทุกครั้งเลยทีเดียว
“ข้าเดาเอาน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เป่ยกง เป็นเช่นนี้จริงหรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม
เป่ยกงถังพยักหน้าแล้วพูดว่า “เมื่อหลายปีก่อนข้าประสบอันตราย เพื่อช่วยเหลือข้า สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของข้าจึงได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องอยู่ในห้วงนิทราเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บตลอดหลายปีมานี้ ไม่กี่วันมานี้มันบอกข้าว่าหากได้สิ่งล้ำค่านั้นมามันก็จะสามารถตื่นขึ้นมาได้ มันต้องอยู่ในห้วงนิทราก็เพราะช่วยเหลือข้า ตอนนี้พอรู้ว่ามีสิ่งที่รักษาอาการบาดเจ็บของมันให้หายดีได้ ข้ามิอาจวางเฉยได้หรอก”
นางพูดจบแล้วทุกคนต่างพากันนิ่งงัน ซือหม่าโยวเย่ว์โอบบ่านางเอาไว้พลางเอ่ยว่า “เดิมทีข้าเองก็คิดจะไปดูสิ่งล้ำค่านั่นด้วยตัวเองสักหน่อย แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะไปพร้อมกันกับเจ้าด้วยเลยดีกว่า”
“เจ้าจะไปด้วยหรือ” เว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีร้องออกมาพร้อมกัน แม้กระทั่งโอวหยางเฟยยังมองคนทั้งสองอย่างไม่เห็นด้วย
“ใช่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า “ข้าและเป่ยกงไปด้วยกัน พวกเจ้าสามคนกลับ…”
“อย่าพูดว่าให้พวกเรากลับกันไปก่อนเชียวนะ!” เจ้าอ้วนชวีพูด “หากพวกเจ้าจะไป ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วยเช่นกัน!”
เว่ยจือฉีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “แม้จะไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นคือสิ่งใดกันแน่จึงได้ดึงดูดพวกเจ้าสองคนถึงเพียงนี้ แต่ในเมื่ออยากจะไป เช่นนั้นก็นับข้าเข้าไปด้วยอีกคนแล้วกัน มีคนเพิ่มอีกคนก็มีพลังเพิ่มขึ้นมาอีกส่วนหนึ่งนะ”
“ข้าไม่มีทางจากไปคนเดียวหรอก” โอวหยางเฟยพูด
“พวกเจ้า…” เป่ยกงถังมองพวกเว่ยจือฉีแล้วมองรอยยิ้มที่มุมปากซือหม่าโยวเย่ว์ ทันใดนั้นก็รู้สึกแสบจมูกขึ้นมา ในใจเกิดความรู้สึกอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว ตลอดมาเธอรู้สึกว่าตัวเองกับพวกเขามิอาจนับได้ว่าสนิทสนมกัน แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะดีต่อนางเช่นนี้
“เอาละ ในเมื่อทุกคนจะไปกันหมด ถึงเวลานั้นจะให้สิ่งล้ำค่ากับเจ้าคนเดียวมิได้หรอกนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีซาบซึ้งของเป่ยกงถังแล้วจึงพูดยิ้มๆ
“หืม โยวเย่ว์หมายความว่าอย่างไรหรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม
“ในเมื่อทุกคนตัดสินใจจะไปด้วยกัน เช่นนั้นข้าจะเล่าสถานการณ์ที่นั่นให้ทุกคนฟังสักหน่อย รอจนข้าเล่าจบแล้วพวกเจ้าค่อยตัดสินใจกันอีกทีว่าจะไปหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“โยวเย่ว์ เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”
“ไม่ต้องถามหรอกว่าข้ารู้ได้อย่างไร ฟังสิ่งที่ข้าพูดให้ดีก็พอแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “สิ่งล้ำค่านั้นก็คือผลอสรพิษทองคำที่ยากจะพบเจอได้บนโลกใบนี้”
“ผลอสรพิษทองคำคือสิ่งล้ำค่าอันใดกันหรือ”
สีหน้าโอวหยางเฟยและเป่ยกงถังเต็มไปด้วยตื่นตระหนก ส่วนสีหน้าของเจ้าอ้วนชวีกับเว่ยจือฉีเต็มไปด้วยความสงสัย
ถึงแม้ว่าเป่ยกงถังจะรู้ว่าสิ่งล้ำค่านั้นต้องไม่ธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นผลอสรพิษทองคำ มิน่าเล่าเมิ่งจีถึงได้ตื่นขึ้นมาบอกเรื่องนี้แก่นาง
“ผลอสรพิษทองคำ เจ็ดร้อยปีจึงผลิดอก เจ็ดร้อยปีจึงออกผล เจ็ดร้อยปีจึงสุกงอม ครั้งหนึ่งออกผลเพียงเจ็ดร้อยผลเท่านั้น การใช้ผลอสรพิษทองคำโดยตรงสามารถยกระดับการฝึกฝนของมนุษย์ได้ หากหลอมเป็นยาวิเศษก็จะยิ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงเป็นสิ่งล้ำค่าที่ทั้งคนและสัตว์อสูรวิเศษต่อสู้แย่งชิงกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอธิบาย
“บ้าจริง ช่างร้ายกาจอะไรเช่นนี้!” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างตกใจ
“ดังนั้นจึงดึงดูดผู้คนมามากมายถึงเพียงนี้อย่างไรเล่า!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะมาถกกันเรื่องมูลค่าของผลอสรพิษทองคำหรอกนะ พวกเจ้าก็รู้ว่าบริเวณรอบๆ ของล้ำค่าแห่งฟ้าดินจะต้องมีสัตว์อสูรวิเศษที่ร้ายกาจอยู่อย่างแน่นอน ผลอสรพิษทองคำนี้ก็มีสัตว์อสูรเทพตนหนึ่งคอยอารักขาอยู่เช่นเดียวกัน”
“สัตว์อสูรเทพ!”
คนอื่นๆ อีกสี่คนต่างพากันสูดลมหายใจเข้าปากลึก สัตว์อสูรเทพนี้คือสิ่งมีชีวิตที่เทียบเคียงได้กับจ้าววิญญาณเลยทีเดียว จัดเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดแห่งแดนดิน พวกเขาคิดจะชิงผลอสรพิษทองคำเจ็ดผลนั้นมาจากคมเขี้ยวของสัตว์อสูรวิเศษ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่ายากเย็นเพียงใด
“ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้นนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดต่อ “ยามที่ผลอสรพิษทองคำสุกงอมจะส่งกลิ่นหอมขจรไกลนับหมื่นลี้ ดึงดูดสัตว์อสูรวิเศษบริเวณรอบๆ เข้าไป ระยะหลังๆ มานี้พวกเราแทบไม่ได้พบเจอสัตว์อสูรวิเศษที่ร้ายกาจเลย เพราะผลอสรพิษทองคำใกล้สุกงอมแล้ว สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นจึงพากันเข้าไปยังพื้นที่ชั้นในกันหมด ดังนั้นนอกจากสัตว์อสูรเทพตนนั้นแล้ว พวกเรายังอาจจะพบเจอกับสัตว์อสูรวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วน”
“โห…”
ทุกคนถูกคำพูดของเธอทำเอาตกตะลึงจนพูดไม่ออกกันหมดแล้ว
“ยังมีอีกนะ…” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีของพวกเขาแล้วเริ่มคิดว่าการบอกเรื่องเหล่านี้กับพวกเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือไม่
“ยังมียอดฝีมือที่พากันหลั่งไหลเข้ามาตลอดหนึ่งเดือนให้หลังนี้ด้วยใช่หรือไม่” โอวหยางเฟยพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ตลอดช่วงครึ่งเดือนกว่าๆ ในเทือกเขาแห่งนี้ พวกเขาได้เห็นคนของขุมอำนาจจำนวนไม่น้อยเข้าไปยังพื้นที่ชั้นใน เรื่องนี้ไม่ต้องให้เธอพูด ทุกคนต่างก็เข้าใจกันดีอยู่แล้ว
“ข้าตกใจแทบแย่ การต่อสู้นี้ช่างชวนให้คนประหวั่นพรั่นพรึงเกินไปแล้ว!” เนิ่นนานกว่าเจ้าอ้วนชวีจะหาเสียงของตัวเองกลับมาได้แล้วอุทานออกมา
“ดังนั้นพวกเจ้าต้องคิดใคร่ครวญกันให้ดีๆ นะ ยังอยากจะไปกันอยู่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้ากับเป่ยกงต่างมีเหตุผลที่ไม่ไปไม่ได้ แต่พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงอันตรายก็ได้นะ ถึงอย่างไรแม้ว่าของสิ่งนั้นจะยอดเยี่ยม แต่ก็มีอันตรายใหญ่หลวงเช่นเดียวกัน”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเธอ พวกเว่ยจือฉีก็พากันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงพูดอย่างจริงจังว่า “ในเมื่อมันอันตรายถึงเพียงนี้ แล้วพวกเจ้าไปกันตามลำพังจะไม่อันตรายเข้าไปใหญ่หรอกหรือ พวกเราไปดูพร้อมกันเถิด ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ พวกเจ้าก็อย่าฝืนแล้วกัน!”
“ข้ารับปากคุณชายโยวเล่อเอาไว้แล้วว่าจะดูแลเจ้าให้ดี หากเจ้าไม่กลับแล้วข้าจะกลับไปได้อย่างไรเล่า” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ข้าสนใจเจ้าสิ่งล้ำค่านั่น” โอวหยางเฟยพูด
เป่ยกงถังสูดจมูกพลางระงับความซาบซึ้งในใจนั้นเอาไว้ก่อนจะมองพวกเขาพร้อมพูดว่า “ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร เป่ยกงจะไม่มีวันลืมเลือนมิตรภาพจากพวกเจ้าไปตลอดกาล!”
“แต่ข้าอยากจะไปเอง เจ้าไม่ต้องนับรวมข้าเข้าไปด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่พูด
เมื่อเห็นท่าทีอันธพาลเช่นนั้นของเธอ เป่ยกงถังก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจเป็นครั้งแรก
………………………