“เป่ยกง หนีเร็วเข้าสิ!”
เมื่อพวกเว่ยจือฉีทั้งสามคนเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็พากันตะโกนอย่างร้อนรนด้วยสายตาแดงก่ำ
เป่ยกงถังมองหางขนาดยักษ์ที่ฟาดลงมาใส่ตนเองอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง เมื่อครู่นางได้เรียนรู้ความร้ายกาจของมันแล้ว ถ้าหากถูกมันฟาดใส่เต็มๆ ตนจะต้องได้ไปพบท่านพญายมจริงๆ แน่นอน
ทว่านางขยับตัวไม่ไหว ขาของนางเพิ่งหักไป ตอนนี้จะขยับสักทีก็ยากลำบากยิ่งนัก นางจึงได้แต่หลับตาลงอย่างจนใจ รอคอยวาระสุดท้ายของชีวิต
“เมิ่งจี ขอโทษด้วย ข้ามิอาจอยู่รอเจ้าตื่นขึ้นมาได้แล้ว ท่านแม่ น้องชาย ขอโทษนะ ข้ามิอาจรักษาสัญญา ที่ว่าจะกลับไปพบทุกคนได้แล้ว…”
ทว่าความเจ็บปวดที่คาดคิดเอาไว้กลับมิได้มาถึง แต่กลับได้ยินเสียงโครมครามเสียงหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงหางงูฟาดใส่พื้นดินข้างกาย
“โยวเย่ว์!”
น้ำเสียงยินดีลอยมาเข้าหูเป่ยกงถัง เธอลืมตาขึ้นมองก็เห็นแผ่นหลังอันแน่วแน่ของซือหม่าโยวเย่ว์ ส่วนอาวุธที่เธอถือเอาไว้นั้นก็คือกระทะก้นแบนใบหนึ่ง!
ซือหม่าโยวเย่ว์หันหน้ามามองนางแล้วพูดว่า “เป่ยกง ข้ามาแล้ว”
ถ้าหากมิใช่เพราะอาวุธในมือน่าขำเกินไป เป่ยกงถังจะต้องรู้สึกว่าซือหม่าโยวเย่ว์ในขณะนี้สง่างามมากอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เจ้าอาวุธอันน่าขันนั้นทำลายภาพลักษณ์ของเธอไปจนหมดสิ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นสายตาของเป่ยกงถังจับจ้องอยู่ที่กระทะก้นแบนในมือจึงหัวเราะเยาะเสียงหนึ่งแล้วพูดว่า “สถานการณ์คับขัน จึงได้แต่ด้นสดน่ะสิ”
เธอเองก็หมดคำพูดกับกระทะก้นแบนในมือเช่นกัน ตอนที่เข้ามาเห็นเจ้างูเหอฮวานนั่นกำลังจะฟาดหางลงบนร่างเป่ยกงถัง เธอจึงเรียกหลิงหลงออกมาโดยไม่ทันคิดใคร่ครวญ แต่เธอคิดไม่ถึงว่าหลิงหลงกำลังแปลงร่างเป็นกระทะก้นแบนอยู่โดยบังเอิญ แล้วถูกเธอหยิบออกมาพอดี
หยิบกระทะก้นแบนมาช่วยคน เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในอดีต และคงไม่มีใครทำในอนาคตแน่
สำหรับความรังเกียจต่อซือหม่าโยวเย่ว์นั้น หลิงหลงก็มีความแค้นอันไร้ที่สิ้นสุด เพราะภาพลักษณ์ของนางถูกซือหม่าโยวเย่ว์บดขยี้แหลกลาญไปหมดแล้ว
ทุกคนได้สติกลับคืนมาจากความตกตะลึงแล้วจึงค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร
“โยวเย่ว์ เจ้ารีบหนีเร็วเข้า นี่คืออาณาเขตของงูเหอฮวาน เพียงแค่สูดกลิ่นที่มันปล่อยออกมา บุรุษล้วนต้องสิ้นไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง!” เป่ยกงถังตะโกนอย่างกระวนกระวาย
ซือหม่าโยวเย่ว์มองงูเหอฮวานที่ถูกตนตีส่วนเจ็ดนิ้วจนได้รับบาดเจ็บนอนดิ้นอยู่บนพื้นปราดหนึ่ง ด้านหนึ่งคือเป่ยกงถังที่ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งพวกเว่ยจือฉีทั้งสามคนและย่ากวงที่ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บแต่นอนปวกเปียกอยู่บนพื้น แล้วจึงเข้าใจว่าเพราะเหตุใดพวกเขาถึงติดอยู่กับงูเหอฮวานที่เพิ่งเลื่อนระดับเป็นสัตว์อสูรทิพย์ตนนี้
ซือหม่าโยวเย่ว์ก้มตัวลงไปอุ้มเป่ยกงถังขึ้นมา แล้วพยุงนางไปถึงข้างกายพวกเว่ยจือฉี ก่อนจะหยิบยาวิเศษขวดหนึ่งออกมามอบให้นางพลางเอ่ยว่า “ยังกินยาวิเศษเองได้อยู่หรือไม่”
เป่ยกงถังพยักหน้าก่อนจะคว้ามือเธอเอาไว้พลางพูดว่า “โยวเย่ว์ เจ้ามิใช่สตรี อีกประเดี๋ยวอาจถูกพิษเข้าได้ เจ้าอาศัยจังหวะที่เจ้างูเหอฮวานนั่นยังไม่เข้ามารีบหนีไปเสียดีกว่า!”
“ใช่แล้ว โยวเย่ว์ เจ้ารีบหนีไปเร็วเข้าสิ!” เจ้าอ้วนชวีนอนนิ่งไม่อาจขยับเขยื้อนอยู่บนตัวย่ากวงพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดขึ้น
ถึงแม้ว่าเว่ยจือฉีและโอวหยางเฟยจะไม่ได้เอ่ยคำพูด แต่สายตาที่พวกเขามองเธอก็แสดงความหมายออกมาอย่างชัดเจนแล้ว
“นี่! เจ้ามนุษย์สมควรตาย ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!” งูเหอฮวานค่อยได้สติกลับคืนมา แล้วพ่นพิษงูเข้าใส่ซือหม่าโยวเย่ว์
ส่วนเจ็ดนิ้วเป็นบริเวณที่อ่อนแอที่สุดของพวกมันเผ่าพันธุ์งู เมื่อถูกเธอโจมตีอย่างรุนแรงทำให้มันต้องใช้เวลาสักพักจึงจะกลับสู่สภาวะปกติ
“โยวเย่ว์…” เป่ยกงถังผลักตัวซือหม่าโยวเย่ว์ให้เธอรีบหนีไป
ซือหม่าโยวเย่ว์ตบหลังมือนางเบาๆ พลางเอ่ยว่า “วางใจเถิด ของเหล่านั้นของมันใช้กับข้ามิได้หรอก”
พูดจบเธอก็หยิบกระทะก้นแบนอันน่าอายใบนั้นขึ้นมาแล้วยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ประจันหน้ากับงูเหอฮวาน
“แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยรู้ว่ามีงูอย่างเจ้าอยู่มาก่อนเลย สิ่งมีชีวิตเพศผู้ล้วนทำอะไรเจ้ามิได้ทั้งสิ้น ทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่มาได้จนถึงบัดนี้ วันนี้ข้าอยากกินน้ำแกงงูอยู่พอดี เจ้าก็สละตัวเองเสียหน่อยสิ!”
งูเหอฮวานหัวเราะเยียบเย็นเสียงหนึ่งกับคำยั่วยุของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “ช่างเป็นเด็กที่โอหังนัก เจ้าอยู่ที่นี่มาเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว อีกประเดี๋ยวก็จะสูญเสียพละกำลังไปเหมือนกับเพศผู้พวกนั้นแหละ จนถึงตอนนี้ยังมีหน้ามาเกรี้ยวกราดเช่นนี้อยู่อีก!”
ซือหม่าโยวเย่ว์กุมกระทะก้นแบนในมือแน่นแล้วพูดว่า “ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า ของของเจ้าไม่มีประโยชน์กับข้าหรอก มิฉะนั้นเหตุใดจนถึงตอนนี้ข้าจึงยังไม่สูญเสียพละกำลังไปอีกเล่า”
“เป็นไปไม่ได้!” งูเหอฮวานเชื่อมั่นในความสามารถของตนเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์มิได้เป็นสิ้นเรี่ยวแรงล้มลงไปก็เกิดความลังเลอยู่บ้าง
“มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าบอกตั้งแต่เมื่อใดเล่าว่าข้าเป็นบุรุษ”
พูดจบแล้วเธอก็อาศัยจังหวะที่มันกำลังตะลึงงันพุ่งตัวเข้าไป
ตอนนี้สัตว์อสูรทิพย์มิใช่สิ่งที่เธอจะสู้ตามลำพังคนเดียวได้ เธอต้องอาศัยจังหวะที่มันยังไม่ทันตั้งตัวโจมตีส่วนเจ็ดนิ้ว เช่นนี้จึงจะมีโอกาสชนะได้
งูเหอฮวานตอบสนองกลับมาอย่างรวดเร็ว มันตวัดหางแล้วโจมตีเข้าใส่ซือหม่าโยวเย่ว์
ซือหม่าโยวเย่ว์เบี่ยงร่างไปทางซ้ายอย่างรวดเร็ว หลบเลี่ยงการโจมตีอย่างชาญฉลาด ทั้งยังฉวยโอกาสเข้าใกล้อีกหลายก้าว ร่นระยะห่างระหว่างงูเหอฮวาน
พวกเจ้าอ้วนชวีต่างก็ตะลึงงันเพราะคำพูดประโยคสุดท้ายของซือหม่าโยวเย่ว์เช่นเดียวกัน พวกเขามองเธอที่ต่อสู้กับงูเหอฮวานอยู่อย่างงงงัน ในหัวยังมีคำพูดประโยคนั้นของเธอสะท้อนก้องอยู่
“ข้าบอกตั้งแต่เมื่อใดเล่าว่าข้าเป็นบุรุษ”
หากเขามิใช่บุรุษ จะบอกว่าเป็นอิสตรีอย่างนั้นหรือ
คนทั้งสี่ต่างไม่เชื่อ แต่เธอมิได้ถูกกลิ่นหอมของงูเหอฮวานทำร้าย จนบัดนี้ก็ยังมีเรี่ยวแรงต่อตีกับมันอยู่ ดูจากการกระโจนขึ้นลง หลบหลีกซ้ายขวานั้นก็มองออกแล้วว่าพลังจิตของเธอยังสมบูรณ์ดียิ่ง
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงยอมรับความจริงอันชวนให้คนพรั่นพรึงนี้อย่างรวดเร็ว…
ซือหม่าโยวเย่ว์เป็นอิสตรีจริงๆ เสียด้วย!
“ปรมาจารย์วิญญาณขั้นห้า!”
คลื่นความพรั่นพรึงลูกก่อนยังไม่หายไป เพราะการใช้พลังวิญญาณจึงทำให้พวกเขารู้พลังยุทธ์ที่แท้จริงของซือหม่าโยวเย่ว์ ซึ่งทำให้พวกเขาตกตะลึงอย่างรุนแรงอีกครั้ง
“ข้ามิได้ตาฝาดไปกระมัง” เจ้าอ้วนชวีคิดจะเอื้อมมือไปขยี้ตา แต่กลับพบว่ามิอาจขยับเขยื้อนได้ จึงได้แต่กะพริบตาแรงๆ เพื่อให้รู้ว่าตนเองมิได้ตาฝาดไป
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพลังยุทธ์ของโยวเย่ว์จะไปถึงระดับปรมาจารย์วิญญาณขั้นห้าแล้ว” เว่ยจือฉีอุทานออกมา
“ปรมาจารย์วิญญาณขั้นห้าต่อกรกับสัตว์อสูรทิพย์…” โอวหยางเฟยยังพูดไม่ทันจบประโยค แต่ทุกคนต่างก็เข้าใจความหมายของเขา
ผู้ฝึกวิญญาณ ปรมาจารย์วิญญาณ และมหาปรมาจารย์วิญญาณต่อกรกับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำได้ มหาปรมาจารย์วิญญาณระดับสูง ราชาวิญญาณ และบรรพวิญญาณต่อกรกับสัตว์อสูรทิพย์ได้ ตอนนี้งูเหอฮวานไปถึงระดับสัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่งแล้ว อย่างน้อยก็ต้องเป็นมหาปรมาจารย์วิญญาณจึงจะอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับมันได้
แต่ตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งจะเป็นเพียงปรมาจารย์วิญญาณขั้นห้าเท่านั้น คิดอยากเอาชนะสัตว์อสูรทิพย์สักตน ไม่ต้องพูดก็รู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว
“ข้าเชื่อว่าโยวเย่ว์มิใช่คนหุนหันพลันแล่น ในเมื่อนางลุกยืนขึ้นมาได้ ก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก” เจ้าอ้วนชวีมองแผ่นหลังซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยสายตาแน่วแน่ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเริ่มเชื่อมั่นในตัวนางถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด
“ข้าก็เชื่อในตัวนางเช่นกัน” เป่ยกงถังพูด
เมื่อกินยาวิเศษที่ซือหม่าโยวเย่ว์ให้ลงไปเรียบร้อยแล้ว อาการบาดเจ็บที่หน้าอกก็บรรเทาลงไปไม่น้อย เวลาพูดจาก็มิได้เหนื่อยหอบถึงเพียงนั้นอีกต่อไปแล้ว
“วันนี้โยวเย่ว์ทำให้พวกเราพรั่นพรึงกันไม่น้อยเลยจริงๆ แต่ปรมาจารย์วิญญาณคนหนึ่งคิดจะต่อสู้เอาชนะสัตว์อสูรทิพย์นั้นดูเหมือนว่าคงจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ” เว่ยจือฉีพูด
“ไม่แน่ว่านางอาจจะสร้างปาฏิหาริย์ก็เป็นได้!” เป่ยกงถังมองตรงไปยังซือหม่าโยวเย่ว์
นางเชื่อว่าซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ใช่คนพูดจาเรื่อยเปื่อย เมื่อครู่ตอนที่นางพูดกับตน นางได้เห็นแววตาเชื่อมั่นในตัวเองในดวงตาของโยวเย่ว์ แววตานั้นทำให้ตนเชื่อมั่นว่าวันนี้นางจะต้องสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
โอวหยางเฟยมองซือหม่าโยวเย่ว์ เขาเองก็อยากจะเชื่อว่านางจะต้องเอาชนะงูเหอฮวานตนนั้นได้
แต่ความแตกต่างระหว่างระดับพลังยุทธ์นี้มากมายเกินไป นางจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้จริงๆ น่ะหรือ
…………………