พวกซือหม่าโยวหรานย่อมไม่ทราบเรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์มีความรู้วิชาแพทย์ ดังนั้นจึงคิดไม่ถึงว่าเธอสร้างของสิ่งนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง
“อาศัยความเร็วเท่านี้ เพียงไม่กี่วันพวกเราก็ออกไปได้แล้วล่ะ” เว่ยจือฉีเบี่ยงประเด็นอย่างแนบเนียน
“เย้ ในที่สุดพวกเราก็จะได้ออกไปกันเสียที อยู่ในป่าเขากันเนิ่นนานถึงเพียงนี้ จนรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นสัตว์อสูรวิเศษไปแล้ว!” เจ้าอ้วนชวีอมยิ้มพูด
“ข้าว่าคนบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างเจ้าต้องอยู่ที่นี่ตลอดไปจึงจะถูกต้อง!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้ม
“คนบ้านป่าเมืองเถื่อนอะไรกัน หึๆ คุณชายเช่นข้าคิดถึงโลกอันหรูหราของเมืองหลวงเสียแล้ว ถ้าหากให้ข้าอยู่ในป่าเขานี่ครึ่งค่อนปีจริงๆ ข้าจะต้องเป็นบ้าตายอย่างแน่นอน” เจ้าอ้วนชวีพูด
“เจ้านี่ จิตใจไม่สงบเอาเสียเลย เจ้าถึงได้ห่างชั้นกับโอวหยางและเป่ยกงอีกมาก” ซือหม่าโยวเย่ว์ตบศีรษะเจ้าอ้วนชวีฉาดหนึ่งพลางเอ่ยขึ้น
เมื่อนึกได้ว่าตนเป็นผู้ที่มีพลังยุทธ์ต่ำสุดในบรรดาพวกเขาทั้งห้าคน เจ้าอ้วนชวีก็มองพลางยักไหล่ โดยมิได้ปฏิเสธคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ แต่ก็ลอบสาบานในใจว่ามิอาจล้าหลังกว่าซือหม่าโยวเย่ว์ได้ และเพราะคำสาบานนี้เองทำให้เขาใส่ใจกับการฝึกยุทธ์มากขึ้นในเวลาต่อมา ทำให้เขาก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การเดินทางออกจากภูเขานั้นราบรื่นตลอดทาง เมื่อเผชิญกับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำ อาศัยพลังยุทธ์ของพวกเขาสิบกว่าคนก็มิได้เป็นปัญหาอะไรมากนัก
สามวันต่อมา ในที่สุดพวกเขาที่ขี่สัตว์อสูรวิเศษเป็นพาหนะออกมาจากอาณาเขตของเทือกเขาผู่สั่วได้สำเร็จ
สัตว์อสูรวิเศษพาพวกเขามุ่งหน้าไปยังเมืองเหยียนกันต่อ ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่บนหลังสัตว์อสูรวิเศษของซือหม่าโยวหราน เธอหันหน้ากลับไปมองทิวเขาอันสลับซับซ้อนภายใต้ท้องฟ้าสีครามด้วยความรู้สึกทอดถอนใจไม่น้อย
เป่ยกงถังผู้นั่งอยู่บนหลังสัตว์อสูรวิเศษของเว่ยจือฉี เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์หันไปมอง พวกเขาจึงหันไปมองด้วยเช่นกัน และเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกันกับเธอ
ทุกคนต่างคิดไม่ถึงว่าการเคลื่อนไหวในครั้งนี้จะเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายเช่นนี้ หลายครั้งที่เดินผ่านชายแดนระหว่างความเป็นความตาย ด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทำให้พวกเขาที่แต่เดิมเป็นเพียงแค่ผู้ที่มาอยู่ด้วยกันเพราะข้อกำหนดของวิทยาลัย เกิดมิตรภาพจากการร่วมเป็นร่วมตายขึ้นมา จนกลายเป็นสหายร่วมกลุ่มกันอย่างแท้จริง!
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นพวกเป่ยกงถังหันหน้าไปมองเช่นกันจึงเบนสายตามามองพวกเขาแทน ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะหันกลับมามองเธอพอดี ทั้งสามคนประสานสายตากัน จึงยิ้มอย่างรู้ใจ
เมื่อสัมผัสถึงการโต้ตอบระหว่างพวกเขาก่อนหน้านี้ได้ โอวหยางเฟยกับเจ้าอ้วนชวีจึงมองมา ทุกคนล้วนเห็นรอยยิ้มในดวงตาซึ่งกันและกัน ความอบอุ่นสายหนึ่งหลั่งไหลเข้าไปในหัวใจของแต่ละคน ทำให้พวกเขาพบความอบอุ่นที่แตกต่างออกไปในกลุ่มเพื่อนนี้
สัตว์อสูรวิเศษพาคนทั้งกลุ่มไปถึงเมืองเหยียนอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงนอกเมือง พวกเขาจึงเก็บตัวสัตว์อสูรวิเศษกลับเข้าไป หลังจากเข้าเมืองแล้วก็ไปยังโรงเตี๊ยมที่ซือหม่าเลี่ยพักแรมอยู่ซึ่งบังเอิญเป็นสถานที่ที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์พักในตอนนั้นพอดี
ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมกำลังนั่งคำนวณบัญชีอยู่ที่โต๊ะยาว เมื่อได้ยินว่ามีคนเข้ามาจึงเงยหน้าขึ้นมองพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “โอ้ ขออภัยแขกทุกท่านจริงๆ ขอรับ โรงเตี๊ยมเล็กจ้อยของพวกเรามีคนเหมาเอาไว้แล้ว มิอาจเข้าพักได้ชั่วคราว พวกท่านลองไปดูที่อื่นกันก่อนดีไหมขอรับ”
“พวกเรามาหาคนน่ะ” ซือหม่าโยวหรานพูด
“มาหาคนหรือขอรับ แขกท่านนั้นมิได้บอกเอาไว้ว่าจะมีคนมาพบเขาเลยนี่นา!” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมพูดอย่างสงสัย “ขออภัยทุกท่านด้วยนะขอรับ คนเหล่านั้นสั่งเอาไว้ว่าหากไม่มีคำสั่งจากพวกเขา พวกเราก็ห้ามไปรบกวนน่ะขอรับ”
ในขณะนั้นเอง ก็มีทหารยามคนหนึ่งเดินลงมาจากชั้นบนเมื่อเห็นพวกซือหม่าโยวหรานก็รีบเดินลงมาที่ข้างกายพวกเขาก่อนจะทำความเคารพแล้วพูดว่า “คุณชายสาม คุณชายสี่ คุณชายห้า ในที่สุดพวกท่านก็มาเสียที”
“เส่าหลิง ท่านปู่ล่ะ” ซือหม่าโยวหรานถาม
“นายท่านอยู่ข้างบนขอรับ พวกเรากำลังเตรียมตัวกลับเมืองหลวงกันอยู่ ข้าจึงลงมาคืนห้องน่ะขอรับ” เส่าหลิงเอ่ยตอบ
เส่าหลิงคือทหารยามที่ติดตามอยู่ข้างกายซือหม่าเลี่ย เมื่อเห็นเขามีสีหน้าผิดปกติซือหม่าโยวเย่ว์จึงถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับท่านปู่ใช่หรือไม่”
เส่าหลิงนึกไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะความรู้สึกไวจนเดาได้ในพริบตาเดียวเช่นนี้ เขาสะดุ้งคราหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ใช่ขอรับ ท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บ พวกเรากำลังเตรียมพาเขากลับไปหาปรมาจารย์ศิลาที่เมืองหลวงน่ะขอรับ”
“จะกลับไปหาเขาอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นท่านปู่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจ “เกิดอะไรขึ้นกับท่านปู่น่ะ”
“พวกเราก็ไม่ทราบเช่นกันขอรับ เมื่อวานตอนที่ท่านแม่ทัพออกไป มิได้ให้พวกเราติดตามไปด้วย หลังจากนั้นเช้าวันนี้ตอนกลับมาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว ตอนนี้หมดสติไปครึ่งวัน พวกเราได้ไปตามหมอยาประจำถิ่นมาดู พวกเขาล้วนมิอาจช่วยเหลืออะไรได้ จะหาตัวนักหลอมยามาก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นพวกเราจึงวางแผนกลับเมืองหลวงไปพบปรมาจารย์ศิลาน่ะขอรับ” เส่าหลิงเอ่ยตอบ
“เจ้าอย่าเพิ่งคืนห้องนะ ข้าจะไปดูท่านปู่สักหน่อยก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วจึงวิ่งขึ้นบันไดไป
“เส่าหลิง เจ้าให้ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมจัดห้องให้ทุกคนที” ซือหม่าโยวหรานพูดจบแล้วจึงวิ่งตามไป
ซือหม่าโยวเล่อวิ่งตามขึ้นไปอย่างร้อนรนโดยไม่พูดอะไร
เส่าหลิงไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซือหม่าโยวเย่ว์จึงมิให้เขาคืนห้อง แต่ในเมื่อซือหม่าโยวเย่ว์ออกคำสั่งมาแล้วจึงหันไปพูดกับผู้ดูแลโรงเตี๊ยมว่า “เจ้าช่วยจัดการห้องให้ทุกคนที”
พูดจบแล้วเขาก็ตามขึ้นไปด้วย
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ต้องถามหาห้องของซือหม่าเลี่ยเลย พอขึ้นไปแล้วก็วิ่งตรงไปยังห้องที่มีทหารยามยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
“คุณชายห้า” เมื่อทหารยามมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แล้วต่างพากันประหลาดใจว่าเหตุใดเธอจึงอยู่ที่นี่ได้ แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ผลักประตูตรงเข้าไปโดยไม่ให้เวลาแก่พวกเขาเลย
ซือหม่าโยวหรานและซือหม่าโยวเล่อรีบตามขึ้นไปติดๆ แล้วผ่านทหารยามทั้งหลายเข้าไปในห้อง
ห้องแห่งนี้คือห้องชุดที่ซือหม่าโยวเย่ว์เคยพักก่อนหน้านี้นั่นเอง เธอเข้าไปในห้อง มองแวบหนึ่งก็เห็นซือหม่าเลี่ยซึ่งนอนอยู่ในห้องนอน
“ท่านปู่ ”
เธอวิ่งเข้าไปก็เห็นสองตาของซือหม่าเลี่ยปิดสนิท หัวคิ้วขมวดขึ้นมา ริมฝีปากสั่นระริกอยู่ตลอดเวลาคล้ายกับว่ายากจะทนรับได้ บนใบหน้ามีกลิ่นอายดำทะมึนลอยวนเวียนคล้ายกับถูกพิษ
เธอรีบคว้ามือของซือหม่าเลี่ยมาเพื่อคลำชีพจร
เมื่อซือหม่าโยวหรานและซือหม่าโยวเล่อเห็นท่าทางของซือหม่าเลี่ยก็ตื่นตระหนกไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์กำลังคลำชีพจรก็ลืมเรื่องที่เธอไม่รู้วิชาแพทย์ไปครู่หนึ่งจึงหลุดปากถามไปว่า “โยวเย่ว์ ท่านปู่เป็นเช่นไรบ้าง”
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ตอบ หลังจับชีพจรเรียบร้อยจึงวางมือของซือหม่าเลี่ยลงแล้วพูดว่า “ภายในร่างกายของท่านปู่มีสารพิษกำลังกัดกร่อนอยู่ ทว่าไม่เหมือนกันกับพิษทั่วไปเลย”
ซือหม่าโยวเย่ว์สงสัยอยู่บ้าง เธอดูร่างของซือหม่าเลี่ยอยู่ครู่ใหญ่ ทันใดนั้นก็คว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้แล้วดึงออก เผยทรวงอกดำทะมึนของเขาออกมา
“นี่… นี่มันอะไรกัน” ซือหม่าโยวเล่อเห็นสิ่งที่อยู่บนแผ่นอกของซือหม่าเลี่ยแล้วจึงร้องออกมาอย่างตกใจ
ส่วนหมัวซาที่กำลังฟื้นฟูวิญญาณอยู่ข้างต้นผลอสรพิษทองคำก็ลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน นัยน์ตาฉายแววสงสัย
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นไอดำบนแผ่นอกของซือหม่าเลี่ยแล้วสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง สีหน้าเคร่งเครียดหาใดเปรียบ
“โยวเย่ว์ นี่เจ้า…” ซือหม่าโยวหรานถามพลางมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างสงสัย
“นับว่ารู้ก็แล้วกัน ก่อนหน้านี้เคยเห็นในหนังสือน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เช่นนั้นเจ้าก็รู้แล้วสิว่าจะช่วยท่านปู่ได้อย่างไร ถ้าหากไม่ได้ พวกเราจะใช้ค่ายกลนำส่งกลับเมืองหลวงกันเดี๋ยวนี้เลย” ซือหม่าโยวเล่อพูด
“ไม่ทันแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้า “ใช้ค่ายกลนำส่งไปยังเมืองหลวงต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งวัน ถ้าหากไอพิษในร่างกายท่านปู่ยังไม่ออกไปล่ะก็ ภายในครึ่งวันเขาก็คงจบชีวิต!”
“เจ้าว่าอะไรนะ!”
ทั้งซือหม่าโยวหรานและซือหม่าโยวเล่อถูกคำพูดนี้ทำให้ตะลึงค้าง ยังดีที่ซือหม่าโยวหรานได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็วแล้วคว้าหัวไหล่ซือหม่าโยวเย่ว์มาพลางเอ่ยว่า ”น้องห้า ในเมื่อเจ้ารู้ว่ามันคือสิ่งใด เช่นนั้นเจ้าถอนพิษมันออกได้หรือไม่”
……………………