เจ้าวิญญาณน้อยคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะเปลี่ยนท่าทีแบบปุบปับ ดังนั้นจึงไม่ได้หลบหลีกฝ่ามือเธอ หลังจากถูกฟาดแล้วจึงกุมศีรษะพลางจ้องซือหม่าโยวเย่ว์
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นดวงตากลมโตของเจ้าวิญญาณน้อยจ้องมองตนอย่างแค้นเคือง ทันใดนั้นก็พ่ายแพ้ต่อความน่ารัก มือหนึ่งกอดมันเอาไว้ อีกมือลูบหัวมันพลางเอ่ยว่า “เอาละ ข้ารีบร้อนเกินไปน่ะ บอกมาสิว่ายังมีวิธีการใดอีก”
เจ้าวิญญาณน้อยสัมผัสความรักใคร่ทะนุถนอมของซือหม่าโยวเย่ว์ได้ เมื่อได้ฟังวาจาของเธอจึงเบะปากพูดว่า “เจ้าช่างโง่เง่านัก ยาวิเศษยกระดับพลังยุทธ์ของพวกเขาจากภายใน แต่เจ้ายังทำจากภายนอกได้ด้วยนี่”
“จากภายนอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตา “เจ้าจะบอกว่าให้เตรียมสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาให้พวกเขาอย่างนั้นหรือ”
เจ้าวิญญาณน้อยพยักหน้า “เจ้าลืมสิ่งที่หมัวซามอบให้เจ้าชิ้นนั้นแล้วหรือ นั่นเป็นสิ่งล้ำค่าเลยทีเดียวล่ะ”
“เจ้าหมายถึงเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงสิ่งที่เขียนเอาไว้ในนั้นว่า สัตว์อสูรวิเศษที่ใช้เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรทำให้เชื่อง ช่วยเพิ่มพูนพลังยุทธ์ให้กับทั้งสองฝ่ายในขณะที่ทำพันธสัญญาได้ ดวงตาทั้งสองก็เปล่งประกาย เธอบีบแก้มเจ้าวิญญาณน้อยแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว ข้าจัดเตรียมสัตว์อสูรวิเศษให้พวกพี่ๆ ทำพันธสัญญาด้วยได้ เจ้าวิญญาณน้อย ขอบใจเจ้าที่เตือนข้านะ”
พูดจบเธอก็หอมแก้มเจ้าวิญญาณน้อยทีหนึ่งก่อนจะจากไปอย่างพึงพอใจ
“ยังจะมาทิ้งน้ำลายเอาไว้บนหน้าข้าอีก!” เจ้าวิญญาณน้อยประท้วงใส่แผ่นหลังของเธอ ทว่าแววตากลับแฝงเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม
ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาแล้วเรียกเจ้าคำรามน้อยให้ปรากฏตัว
“เย่ว์เย่ว์ เจ้าคิดถึงข้าแล้วใช่หรือไม่” เจ้าคำรามน้อยออกมาแล้วก็พุ่งตัวเข้าใส่อ้อมแขนของซือหม่าโยวเย่ว์พลางพูดอย่างอวดดี
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยผู้แสนหลงตัวเองแล้วก็อดกลอกตามิได้
เหตุใดจึงมีสัตว์อสูรวิเศษที่หลงตัวเองถึงเพียงนี้อยู่ด้วยเล่า!
“เจ้าคำรามน้อย เจ้าทำให้สัตว์อสูรวิเศษพวกนั้นฟังคำเจ้าได้ใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ขึ้นอยู่กับระดับขั้นด้วยนะ” เจ้าคำรามน้อยพูด “หากเป็นสัตว์อสูรธรรมดาทั่วไปล้วนไม่มีปัญหา แต่ถ้าเจ้าไปหาสัตว์อสูรเหนือเทพมา ด้วยพลังยุทธ์ของข้าในตอนนี้ย่อมทำไม่ได้แน่”
“ไม่ต้องถึงขนาดสัตว์อสูรเหนือเทพหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกไม้โบกมือ ต่อให้เธออยากได้สัตว์อสูรเหนือเทพ ตอนนี้ก็ไม่มีให้อยู่ดี! “สัตว์อสูรวิเศษธรรมดาทั่วไปนั่นแหละ ข้าอยากเตรียมสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาให้พวกพี่ๆ ทั้งยังต้องเป็นสัตว์อสูรที่ข้าทำให้เชื่องได้ด้วย จึงมิอาจใช้ระดับขั้นสูงเกินไปได้”
“เช่นนี้ก็ง่ายเลย!” เจ้าคำรามน้อยพูด “ต้องการเท่าไหร่เล่า ข้าจะไปลักมาจากเทือกเขาผู่สั่วสักหลายๆ ตัวเลย”
ดีจริง ในที่สุดเจ้าคำรามน้อยก็ยอมรับแล้วว่าตนลักพาตัวสัตว์อสูรวิเศษมา
“พี่ชายสี่คน คนละตัวก็แล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “อ๊ะ ข้าว่าข้าไปพร้อมกันกับเจ้าด้วยดีกว่า จะได้ลองดูว่าข้าจะทำให้สัตว์อสูรเชื่องได้ถึงระดับใด แล้วพยายามเตรียมระดับที่สูงหน่อยมาให้พวกพี่ๆ”
“ดี แล้วพวกเราจะไปกันเมื่อใดหรือ” เจ้าคำรามน้อยเชี่ยวชาญการล่อลวงสัตว์อสูรวิเศษเป็นอย่างยิ่ง มันจึงตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อได้ยินว่าจะไปล่อสัตว์อสูรวิเศษ
“ไปตอนนี้เลยแล้วกัน พรุ่งนี้น่าจะออกเดินทางกลับเมืองหลวงแล้ว ลองดูว่าจะกลับมาก่อนถึงพรุ่งนี้เช้าได้หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“พรุ่งนี้เช้าหรือ พรุ่งนี้เช้าไม่ได้อย่างแน่นอน!” เจ้าคำรามน้อยพูด “เจ้าฝึกสัตว์อสูรวิเศษตนหนึ่งให้เชื่องยังไม่เท่าไหร่ แต่เจ้าต้องเลือกให้ดีด้วย นอกจากนี้ยังต้องทดสอบว่าเจ้าทำพันธสัญญาได้สูงถึงระดับขั้นใดด้วย จะต้องทำไปอย่างช้าๆ หากทำได้ภายในสิบวันก็ถือว่าไม่เลวแล้ว!”
ซือหม่าโยวเย่ว์ครุ่นคิด เจ้าคำรามน้อยพูดได้ไม่ผิดเลย ดูท่าทางเธอจะต้องหาข้ออ้างในการไปจึงจะใช้ได้
ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน เธอจึงทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ ก่อนจะอุ้มเจ้าคำรามน้อยออกไปจากโรงเตี๊ยม คิดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินออกนอกประตูใหญ่โรงเตี๊ยม ก็พบกับซือหม่าโยวหรานที่รออยู่นอกประตูเข้า
“ท่านพี่สาม ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ซือหม่าโยวหรานมองซือหม่าโยวเย่ว์ ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย
แต่ทว่า…
“พวกเขาออกไปที่ร้านค้ากันหมดแล้ว ข้ากำลังรอเจ้าอยู่ที่นี่” ซือหม่าโยวหรานพูดด้วยรอยยิ้ม
“รอข้าทำไมหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกผิดในใจอยู่บ้าง เจ้าคนผู้นี้คงจะมิได้รู้อะไรเข้าจริงๆ หรอกกระมัง
ซือหม่าโยวหรานเห็นสีหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์จึงเดินเข้ามาลูบหัวเธอพลางเอ่ยว่า “สนใจจะไปเดินเล่นกับพี่สามหรือไม่”
“ท่านพี่สามจะไปซื้อของหรือ”
“เปล่าหรอก ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับเจ้าหน่อยน่ะ” ซือหม่าโยวหรานพูด
“อ้อ ได้สิ เช่นนั้นพวกเราไปเดินเล่นกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เธอรู้มาตลอดว่าซือหม่าโยวหรานเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดที่สุดในบรรดาพี่ชายทั้งสี่ ตนแตกต่างจากก่อนหน้านี้มากมายนัก ก่อนหน้านี้เพราะมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อย ดังนั้นเขาจึงมิได้ค้นพบอะไร แต่ความใกล้ชิดกันตลอดหลายวันมานี้ทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาบ้างแล้ว
เธอก้มหน้าเดินไปกับซือหม่าโยวหราน คิดว่าจะพูดเรื่องของตนกับเขาอย่างไรดี ก็เข้ามาในโรงน้ำชาแห่งหนึ่งกับเขาโดยไม่รู้ตัว
“พวกเราขึ้นไปดื่มชากันสักหน่อยเถิด” ซือหม่าโยวหรานเดินนำซือหม่าโยวเย่ว์ขึ้นไปโดยไม่ถามความเห็นของเธอเลย
เขาให้เสี่ยวเอ้อร์เตรียมห้องส่วนตัวด้านหน้าถนนห้องหนึ่งเอาไว้ให้ ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงตรงข้ามซือหม่าโยวหราน รอให้เขาเอ่ยปาก
“ข้าได้ยินมาว่าน้ำชาที่นี่ไม่เลวเลย” ซือหม่าโยวหรานรินน้ำชาให้ซือหม่าโยวเย่ว์ถ้วยหนึ่งพลางเอ่ยขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์ยกถ้วยชาขึ้นดม หลังจากนั้นจึงจิบเบาๆ อีกหนึ่ง ก่อนจะวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยว่า “ไม่เลวเลยจริงๆ”
ซือหม่าโยวหรานมองซือหม่าโยวเย่ว์ลิ้มรสน้ำชา พลางหลุบตาลงเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้น้องห้าไม่เคยเข้าใจการดื่มชา ทุกครั้งที่ให้ชาชั้นเลิศแก่เจ้า เจ้าล้วนทำเสียของตลอดเลย”
“เป็นมนุษย์ก็ต้องรู้จักเรียนรู้อยู่ตลอดสิ” หัวใจซือหม่าโยวเย่ว์เต้นผิดจังหวะ มาแล้วจริงๆ ด้วยสิ
“การเรียนรู้นั้นมิใช่ของปลอม หากแต่มีหลายเรื่องที่ที่มิใช่ว่าเรียนรู้ครั้งเดียวแล้วจะทำได้เลย ข้าเห็นความเคลื่อนไหวยามที่น้องห้าช่วยรักษาท่านปู่ ช่างคล่องแคล้วเปี่ยมทักษะ นี่มิใช่สิ่งที่จะเรียนรู้กันได้ในชั่วข้ามคืนหรอกนะ” ซือหม่าโยวหรานพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์นิ่งเงียบ เขาพูดได้ไม่ผิดเลย ความรู้วิชาแพทย์ของเธอจะเรียนรู้ในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างไรกัน ตอนที่เธอฝังเข็มให้ซือหม่าเลี่ยได้แสดงให้เห็นว่าเธอเรียนรู้สิ่งนี้มานาน มิใช่ทักษะที่จะได้มาในสามวันห้าวัน
“ท่านพี่สามคิดจะพูดอะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยปากถามตรงๆ
ซือหม่าโยวหรานคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้จึงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าอยากรู้ว่าเจ้าเป็นใครน่ะสิ เพราะเหตุใดจึงต้องปลอมตัวเป็นน้องห้าของข้าด้วย แล้วตอนนี้น้องห้าของข้าอยู่ที่ไหน”
“ข้า…”
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดจะเอ่ยคำพูด แต่ซือหม่าโยวหรานยกมือขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องมาพูดว่าเจ้าคือน้องห้าของข้า ก่อนหน้านี้นางเป็นเช่นไร ตอนนี้เจ้าเป็นเช่นไร ในใจพวกเราล้วนรู้อย่างกระจ่างแจ้งยิ่งนัก เจ้าบอกว่าเจ้าคือนาง แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อลงหรือไม่เล่า”
ซือหม่าโยวเย่ว์เงียบงันแล้วก้มหน้าดื่มชาอึกหนึ่ง
“เจ้าอธิบายอย่างตรงไปตรงมาจะเป็นการดีที่สุด มิฉะนั้นหากข้าอยากจะจัดการเจ้าในตอนนี้ก็มิใช่เรื่องยากอะไรเลย บอกมาเร็วเข้า น้องห้าของข้าอยู่ที่ไหน”
ซือหม่าโยวเย่ว์ช้อนสายตาขึ้นมองก็เห็นแวววิตกกังวลในดวงตาของซือหม่าโยวหราน เธอถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “ท่านพี่สาม เป็นข้าจริงๆ นะ”
“เป็นไปไม่ได้” ซือหม่าโยวหรานปฏิเสธ
“ตอนอายุสี่ขวบ ข้าฉี่รดที่นอน ตอนที่ท่านมาปลุกข้าให้ตื่นก็เห็นข้ากำลังเก็บกางเกงเปียกชุ่มของข้าไปซ่อนใต้เตียงเข้าพอดี…”
ซือหม่าโยวหรานร่างกายสั่นสะท้าน เขาจ้องมองซือหม่าโยวเย่ว์
“ตอนอายุห้าขวบ ท่านพาข้าไปยังป่าเล็กนอกเมืองเพื่อเก็บน้ำผึ้ง พวกเราถูกผึ้งรุมต่อย ไม่รู้ว่าผึ้งตัวหนึ่งเข้าไปในกางเกงท่านได้อย่างไร แล้วต่อยของรักของท่าน…”
“ตอนอายุสิบขวบ ท่านไปชอบสตรีนางหนึ่งเข้า เป็นข้าเองที่สนับสนุนให้ท่านไปตามจีบ ถึงแม้ว่าท่านจะยอมแพ้ในที่สุด…”
“ยังมีอีก ตอนอายุสิบขวบนั่นแหละ ข้ามีรอบเดือนมาเป็นครั้งแรก ตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าตัวเองจะตายเสียแล้ว เป็นท่านนั่นเองที่ช่วยไปหาผ้าอนามัยมาให้ข้าจนเกือบจะถูกสาวใช้เข้าใจผิดว่าท่านมีงานอดิเรกอันพิสดารเสียแล้ว…”
“แค่กๆ ไม่ต้องพูดแล้ว” เมื่อพูดถึงเรื่องราวในอดีต ซือหม่าโยวหรานก็ขัดจังหวะคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์อย่างไม่เป็นธรรมชาติ
ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะ “เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเราสัญญากันเอาไว้ว่าจะเก็บเป็นความลับ ตลอดหลายปีนี้ข้าไม่เคยพูดกับใครเลย ตอนนี้ท่านเชื่อข้าแล้วหรือยังเล่า”
…………………