“น้องห้า เจ้าจะบอกว่าเจ้าใช้เวลาเพียงครึ่งปีกว่าก็สำเร็จเป็นนักหลอมยาแล้วอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเล่อมองซือหม่าโยวเย่ว์ สงสัยในคำพูดของเธอเป็นอย่างยิ่ง
ซือหม่าโยวหรานมองยาวิเศษแล้วมองเธอ เมื่อนึกถึงเรื่องที่จู่ๆ เธอก็รู้วิชาแพทย์ขึ้นมา คิดว่าการหลอมยาวิเศษนี้เป็นความทรงจำแต่เดิมของเธอ ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้ว ความตกตะลึงของเขาจึงน้อยกว่ามาก
“ฮ่าๆๆ” ซือหม่าเลี่ยเข้ามาข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์พลางหัวเราะเสียงดังก่อนจะตบบ่าเธอแล้วพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้ารู้ว่าสวรรค์ไม่มีทางทำร้ายพวกเราตระกูลซือหม่าหรอก! ตอนนั้นที่เจ้าบอกว่าอยากเป็นนักหลอมยา คิดไม่ถึงว่าจะทำได้แล้วจริงๆ ไม่เลว ไม่เลวเลย!”
ซือหม่าโยวเย่ว์เม้มปากกัดฟันทนรับแรงของซือหม่าเลี่ย พอเขาตื่นเต้นขึ้นมาก็ไม่รู้จักหนักเบาเลย เมื่อฝ่ามือนี้ตบลงบนบ่าเธอก็เกือบจะฟาดให้เธอทรุดลงไปเลยทีเดียว
“ตอนนี้มียาวิเศษมากมายถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีน้องห้าที่หลอมยาได้อีก เกรงว่าจุดประสงค์ของตระกูลน่าหลานที่นึกอยากจะใช้ยาวิเศษคว่ำพวกเราลงคงจะพังพินาศไปแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวฉีพูด
“น้องห้า คราวนี้ต้องขอบคุณเจ้าแล้ว!” ซือหม่าโยวหมิงพูด
“ขอเพียงแค่ช่วยได้ก็พอ” ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้ม “เอาพวกนี้ไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน ต้องการยาวิเศษชนิดใดก็บอกข้า ข้าจะหลอมมาอีก แล้วข้าจะหลอมยาวิเศษที่ใช้บ่อยมาเพิ่มให้อีกสักหน่อย ด้วย หลอมเสร็จแล้วจะให้พวกชุนเจี้ยนส่งมาให้พวกท่านแล้วกัน”
“ดีเลย” ซือหม่าโยวฉีเก็บยาวิเศษขึ้นมา “ใช่แล้ว เจ้าต้องการเครื่องยาชนิดใดในการหลอมยา ข้าจะให้คนไปจัดเตรียมมาให้”
“ไม่ต้องหรอก ข้าจัดการเรื่องเครื่องยาเองได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เจ้ามีวิธีการใดหรือ” ซือหม่าเลี่ยพูด “พวกเราไม่มียาวิเศษก็จริง แต่เครื่องยานั้นยังมีอยู่มากมายเลยทีเดียว”
“คราวก่อนตอนไปที่เทือกเขาผู่สั่ว ข้าเก็บแหวนเก็บวัตถุได้วงหนึ่ง ภายในมีเครื่องยาอยู่มากมาย เพียงพอให้ข้าเอามาหลอมยาแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “อย่าบอกเรื่องที่ข้าหลอมยาได้ออกไปเป็นอันขาด ดังนั้นเครื่องยาของพวกเราก็ไม่ต้องมีความเคลื่อนไหวใหญ่โตมากนัก พี่ใหญ่พี่รอง ยาวิเศษกับเครื่องยานี้ไม่ต้องคำนวณราคาเลยก็ได้ พวกท่านอยากจะตั้งราคาเช่นไรก็ตั้งได้เลยนะ พวกเขาตระกูลน่าหลานคิดจะใช้วิธีนี้มาฉุดรั้งพวกเรา พวกเราก็ทำได้เช่นกัน”
“เยี่ยมเลย!” ซือหม่าโยวหมิงและซือหม่าโยวฉีประสานสายตากันแล้วยิ้มออกมา
ก่อนหน้านี้ตระกูลน่าหลานล้วนเป็นฝ่ายลงมือ ตอนนี้ถึงเวลาเอาคืนพวกเขาแล้ว!
“ในเมื่อตอนนี้มียาวิเศษแล้ว โยวหมิง โยวฉี พวกเจ้าไปจัดการกันก่อนเถิด” ซือหม่าเลี่ยพูด
“ขอรับ เช่นนั้นพวกเราขอตัวไปที่ร้านกันก่อน” ซือหม่าโยวหมิงและซือหม่าโยวฉีลุกขึ้นทำความเคารพซือหม่าเลี่ยก่อนจะหมุนกายจากไป
“โยวหราน โยวเล่อ พวกเจ้าทั้งสองต้องกลับไปที่วิทยาลัยหรือไม่” ซือหม่าเลี่ยถาม
“ตอนนี้ที่วิทยาลัยยังไม่มีชั้นเรียน ข้าขออยู่บ้านดีกว่า คอยดูว่ามีเรื่องอะไรที่พอจะช่วยได้บ้างหรือไม่” ซือหม่าโยวหรานพูด
“ดีจริง”
“ท่านปู่ หากไม่มีธุระอะไรแล้ว พวกเราขอตัวกลับก่อนนะขอรับ” ซือหม่าโยวเล่อพูด
“ไปเถิด” เมื่อจัดการเรื่องใหญ่ที่กดทับหัวใจอยู่เสร็จเรียบร้อย ซือหม่าเลี่ยจึงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง “โยวเย่ว์ เจ้าอยู่ที่นี่ก่อนประเดี๋ยวหนึ่งสิ”
ซือหม่าโยวเย่ว์เตรียมตัวจะจากไปพร้อมพวกเขาอยู่พอดี เมื่อได้ยินคำพูดของซือหม่าเลี่ย จึงกลับมาประจำยังที่นั่งของตน
พวกซือหม่าโยวเล่อมองเธอปราดหนึ่งก่อนจะออกไป
ภายในห้องเหลือปู่และหลานอยู่กันเพียงสองคนเท่านั้น ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเอ่ยถามว่า “ท่านปู่ มีเรื่องอันใดหรือ”
“สัตว์อสูรวิเศษที่เจ้าพากลับมาเมื่อคราวก่อนเหล่านั้น ข้าได้แบ่งให้กับคนในบ้านเรียบร้อยแล้วนะ” ซือหม่าเลี่ยพูด
“เช่นนั้นตอนที่พวกเขาทำพันธสัญญา ได้เลื่อนระดับกันหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ที่ข้าเรียกตัวเจ้าเอาไว้ก็เพราะจะคุยเรื่องนี้นี่แหละ” ซือหม่าเลี่ยพูด “คนที่ทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรทิพย์เหล่านั้น ดูเหมือนว่าจะเลื่อนระดับไปสองถึงสามระดับขั้นย่อย ส่วนผู้ที่ทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำ ก็เลื่อนไปหนึ่งระดับ”
“เลื่อนระดับได้จริงๆ เสียด้วย!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างยินดี ในเมื่อเลื่อนระดับได้จริงๆ เช่นนั้นที่ในตำราบอกเอาไว้ว่าในภายภาคหน้ายามที่การบำเพ็ญของพวกเขาเลื่อนระดับ สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาจะเลื่อนระดับไปด้วยก็เป็นความจริงน่ะสิ!
“อื้ม” ซือหม่าเลี่ยพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ตอนนี้พลังยุทธ์ของตระกูลเราก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อยอย่างเงียบๆ ตอนนี้บวกกับที่เจ้าหลอมยาได้ พวกเราก็มีความมั่นใจในการต่อสู้กับตระกูลน่าหลานมากยิ่งขึ้นแล้ว”
“ท่านปู่ ข้ายังมีจุดที่ไม่เข้าใจอยู่เล็กน้อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“อะไรหรือ”
“ท่านปู่มิได้เป็นแม่ทัพแห่งอาณาจักรตงเฉินหรอกหรือ เช่นนั้นคนของตระกูลน่าหลานมาทำเช่นนี้กับพวกเรา เหตุใดราชวงศ์จึงไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดความสงสัยภายในใจออกมา
“หลักๆ เป็นเพราะตระกูลน่าหลานมิใช่ครอบครัวธรรมดาสามัญ นอกจากนี้พวกเขาก็มิได้ใช้กำลังกับพวกเราเลยด้วย ราชวงศ์จึงมิอาจออกหน้าห้ามปรามได้น่ะสิ” ซือหม่าเลี่ยพูด “แต่ข้าว่าเหตุผลสำคัญที่สุดน่าจะเป็นเพราะฝ่าบาทคลางแคลงพระทัยในตระกูลเรา จึงทรงคิดจะยืมมือตระกูลน่าหลานมาทำให้พวกเราอ่อนแอลง”
“เพราะเหตุใดเล่า เป็นเพราะพลังยุทธ์ของท่านปู่ทวีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างนั้นหรือ”
“มิได้เป็นเพราะข้าเท่านั้นหรอก” ซือหม่าเลี่ยพูด “ในสายตาคนนอก พี่ชายทั้งสี่ของเจ้าล้วนมีพรสวรรค์สูงส่งยิ่ง บวกกับที่ข้ามีอำนาจบารมีในอาณาจักรตงเฉินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ฝ่าบาทคงทรงกลัวว่าพวกเราจะมีอิทธิพลมากเกินไปกระมัง”
ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก “ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นฝ่าบาทอะไรนั่นก็คงจะมิใช่คนมีวิสัยทัศน์กว้างไกลสักเท่าไหร่นักหรอก”
ตระกูลซือหม่าไม่ได้มีความคิดร้ายอะไรกับคนในตำแหน่งกษัตริย์อะไรนั่นเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าหากเกิดความแคลงใจเพียงเพราะพลังยุทธ์ของซือหม่าเลี่ยทวีความแข็งแกร่งมากเกินไป และพี่น้องซือหม่าโยวหมิงทั้งหลายมีพรสวรรค์เหนือธรรมดาแล้วละก็ ฝ่าบาทผู้นั้นก็มิใช่คนมีวิสัยทัศน์กว้างไกลนัก
“ใช่แล้ว อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาท ทรงอนุญาตให้พวกเราทุกคนไปเข้าร่วมงานได้ ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะได้เห็นฝ่าบาทแล้ว” ซือหม่าเลี่ยพูด
“เอ่อ… พอถึงเวลานั้นค่อยมาดูว่าอยากไปหรือไม่ก็แล้วกัน หากไม่มีเรื่องอันใดแล้วข้าขอตัวก่อนนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วจึงลุกออกไป
ขณะที่เดินผ่านลานบ้านหลัก เธอจึงค่อยนึกถึงเจ้าอ้วนชวีที่ยังดื่มชาอยู่ในโถงรับแขกขึ้นมาได้ จากนั้นจึงเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปยังโถงรับแขกแทน
นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เจ้าอ้วนชวีได้เข้ามายังจวนแม่ทัพ หลังจากพ่อบ้านให้คนยกชามาให้เขาแล้วก็ไปจัดการธุระต่อ เขาดื่มชาไปหลายถ้วยแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยังไม่มา เขาจึงคิดจะออกไปเดินเล่นข้างนอก เพิ่งเดินไปถึงประตูก็ชนกับคนที่เดินเข้ามา
“โยวเย่ว์ เหตุใดเจ้าจึงเดินเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง!”
“แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่าว่าเจ้าอยู่ที่ประตูน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ”
“ข้ากำลังคิดจะออกไปเดินเล่นในลานบ้านอยู่ แล้วเจ้าก็เข้ามาพอดี” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ดีเลย เจ้าคงยังไม่เคยมาที่จวนแม่ทัพกระมัง ไป ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่นรอบๆ เอง”
“ก่อนจะไปเดินเล่นข้าขอไป เออ… ไปเข้าห้องน้ำก่อนแล้วกัน” เจ้าอ้วนชวีนึกขึ้นมาได้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง คำพูดมาถึงริมฝีปากแล้วจึงเปลี่ยนแปลงไป
“เฮ้อ…” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของเจ้าอ้วนชวีจึงหัวเราะออกมาในทันใดแล้วยื่นมือมาคล้องคอของเขาพลางพูดว่า “ไปเถิด ข้าพาเจ้าไปบุ๋งๆ เอง”
เมื่อจัดการธุระจำเป็นทางร่างกายเรียบร้อยแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงพาเจ้าอ้วนชวีไปเดินชมภายในจวนแม่ทัพ เมื่อเห็นบริเวณบ้านที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย เจ้าอ้วนชวีก็รู้สึกเหนือความคาดหมายเป็นอย่างยิ่ง เขายังคิดว่าจวนแม่ทัพจะหรูหราตระการตาเสียอีก
ซือหม่าโยวเย่ว์พาเขาไปนั่งในศาลาพักร้อนหลังหนึ่งแล้วให้คนส่งของว่างมา ทั้งสองคนกินของว่างไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง
“ใช่แล้ว โยวเย่ว์ อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาท เจ้าจะไปหรือไม่”
“เจ้าก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ”
“อืม พี่ชายข้ามีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีกับองค์ชายสามน่ะ ด้วยเหตุนี้ตระกูลพวกเราจึงเข้าตาราชวงศ์ บิดาข้าและพี่ชายข้า รวมทั้งข้า ได้รับเชิญให้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยกัน ท่านปู่เจ้าเป็นถึงท่านแม่ทัพ เจ้าก็คงต้องไปด้วยอย่างแน่นอนกระมัง”
“งานเลี้ยงฉลองช่างน่าเบื่อยิ่งนัก จะไปหรือไม่พอถึงเวลาค่อยว่ากันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เจ้าไม่ไปก็ดีแล้ว ถึงตอนนั้นตระกูลน่าหลานจะต้องไปอย่างแน่นอน ถ้าหากพบหน้าพวกเขาเข้าจะต้องอดหาเรื่องเจ้ามิได้แน่”
“คนของตระกูลน่าหลานก็ไปด้วยเหมือนกันหรือ”
……………………