เสียงกระซิบกระซาบรอบตัวทำให้พวกอู๋หลินเคอะเขินอยู่บ้าง
อันที่จริงแล้วเพียงแค่บัญชาขององค์ชายใหญ่ สมาคมนักหลอมยาก็อาจจะไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยจริงๆ แต่ตอนนี้อยู่ท่ามกลางแสงไฟในสายตาจับจ้องมากมายเช่นนี้ ถึงแม้ในใจของทุกคนจะรู้สึกเช่นนั้น แต่สมาคมนักหลอมยาก็ยังคงไม่กล้ายโสโอหังถึงเพียงนั้นอยู่ดี
“พวกเราเดินเข้าไปก็ได้” อู๋หลินสะบัดแขนเสื้อ ไม่มองฝูงชน แล้วเดินก้าวยาวๆ มุ่งหน้าเข้าไปทางประตูวัง ในขณะที่เดินผ่านพวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็เหลือบตามองเธอปราดหนึ่ง
ก่อนหน้านี้คนไร้ค่าผู้นี้ขึ้นชื่อในเรื่องความไร้สมอง วาจาที่นางพูดเมื่อครู่นี้เพราะตั้งใจหรือไร้ซึ่งเจตนากันเล่า
ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มให้เขาด้วยท่าทีไร้เดียงสา
“เฮอะ คนไร้ค่ายังมีหน้าโผล่หัวมาอีก” หญิงสาวอาภรณ์ขาวรู้สึกไม่พอใจซือหม่าโยวเย่ว์เป็นอย่างยิ่ง ขณะที่เดินผ่านตรงหน้า นางจึงค้อนใส่เธอแรงๆ ทีหนึ่ง
มู่หรงอานเดินไปพร้อมกับหญิงสาวอาภรณ์ขาวผู้นั้น เมื่อเห็นท่าทางโกรธฟึดฟัดของนางจึงเอ่ยปลอบประโลมว่า “ไม่เห็นจำเป็นต้องไปสนใจเขาเลยนี่”
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินคำพูดของเขาจึงนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนั้นเขาก็คือผู้กระทำผิดที่ทำร้ายร่างเดิมของตนจนตาย ระยะนี้ไม่พบเจอกันนานจนตนแทบจะหลงลืมคนผู้นี้ไปเสียแล้ว!
เธอยิ้มเย็นในใจแล้วปั้นรอยยิ้มบนใบหน้าตะโกนไปทางเขาว่า “คุณชายมู่หรง เหตุใดวันนี้จึงไม่เห็นเจ้าอยู่กับคุณหนูน่าหลานหลานเลยเล่า ตอนนั้นมิได้บอกว่าพวกเจ้าไปถึงขั้นหารือเรื่องงานแต่งงานกันแล้วหรอกหรือ เจ้าคิดว่าเมื่อไหร่จึงจะเชิญพวกเราไปดื่มสุรามงคลกันเสียทีเล่า”
ร่างกายมู่หรงอานสั่นสะท้าน จากนั้นก็เห็นหญิงสาวผู้นั้นบันดาลโทสะใส่เขาจนถูกสือเหล่ยดุคำหนึ่ง พวกเขาจึงเดินมุ่งหน้าต่อไปได้
หลังจากที่คนของสมาคมนักหลอมยาหายลับเข้าไปในประตูวังแล้ว ซือหม่าโยวเล่อจึงค่อยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังขึ้นมา
“น้องห้า เมื่อครู่เจ้าช่างร้ายกาจจริงๆ แค่ไม่กี่ประโยคก็ทำให้สมาคมนักหลอมยายอมจำนนเสียแล้ว เจ้าดูอู๋หลินกับสือเหล่ยนั่นสิ สีหน้าย่ำแย่ราวกับก้อนหินในบ่อเก็บมูลเลยทีเดียว”
พี่ชายอีกสามคนก็หัวเราะออกมาเช่นกัน แต่มิได้มากจนเกินจริงเหมือนกับซือหม่าโยวเล่อ
เพราะซือหม่าเลี่ย ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลซือหม่ากับสมาคมนักหลอมยาไม่ดีมาโดยตลอด ทุกครั้งที่พบพวกเขาก็จะต้องถูกหัวเราะเยาะเย้ยอยู่เสมอ วันนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ทำเช่นนี้จึงทำให้ทุกคนสุขใจเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้านี่ช่างซุกซนเสียจริง” ซือหม่าโยวหรานตบบ่าซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “พวกเราเข้าไปกันดีกว่า”
“ฮ่าๆ พวกเราเข้าไปกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะ
“คุณชายห้า ช้าก่อนขอรับ” หัวหน้ากองผู้นั้นเดินเข้ามาแล้วประสานมือคำนับซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “ขอบคุณคุณชายห้ามากนะขอรับที่ช่วยเหลือข้าเมื่อครู่”
ซือหม่าโยวเย่ว์โบกมือพลางพูดว่า “ข้าก็มิได้มีเจตนาจะช่วยท่านหรอก เพียงแต่เห็นคนพวกนั้นแล้วรำคาญสายตาเท่านั้นเอง มีรถมาแล้ว ท่านไปทำงานต่อเถิด”
หัวหน้ากองหันไปมอง ปรากฏว่ามีรถเทียมสัตว์อสูรเข้ามา เขาจึงพยักหน้าให้กับพวกซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะหันกลับไปทำหน้าที่ต่อ
“พวกเรารีบเข้าไปกันดีกว่า ตอนนี้ท่านปู่คงจะรอพวกเราอยู่ข้างในแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวหมิงพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปพร้อมกับพวกเขาแล้วนึกถึงหญิงสาวที่อยู่กับมู่หรงอานเมื่อครู่ขึ้นมาจึงเอ่ยถามว่า “พี่ๆ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าหญิงสาวที่อยู่กับพวกสือเหล่ยเมื่อครู่เป็นใครกัน”
“นั่นคือบุตรสาวของสือเหล่ย ชื่อสือมั่วลี่ ว่ากันว่าอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีก็เป็นนักหลอมยาขั้นหนึ่งแล้ว ทั้งยังเอื้อมไปถึงขอบกั้นของยาวิเศษขั้นสองแล้วด้วย มีพรสวรรค์ด้านการหลอมยาเป็นอย่างยิ่ง เป็นเป้าหมายสำคัญในการบ่มเพาะของสมาคมนักหลอมยาเลยทีเดียว” ซือหม่าโยวหรานเอ่ยตอบ
“ชิ ดูท่าทางของนาง อีกหน่อยคงจะเปี่ยมคุณธรรมเหมือนบิดานางแน่นอน!” ซือหม่าโยวเล่อตำหนิ “นอกจากนี้พรสวรรค์แค่นั้นของนาง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว น้องห้าของพวกเราแซงนางไปไกลลิบ!”
“เจ้าสี่ หยุดพูดได้แล้ว” ซือหม่าโยวหมิงบอกให้ซือหม่าโยวเล่อหยุด มิฉะนั้นปากไม่มีหูรูดของเขาต้องทำให้ผู้อื่นล่วงรู้แน่
ซือหม่าโยวเล่อแลบลิ้น แล้วทุกคนก็เข้าประตูวังไปด้วยกัน
พระราชวังหลวงแห่งนี้ใกล้เคียงกันกับพระราชวังโบราณ แต่การตกแต่งหรูหราอลังการกว่ามาก มองอยู่ครู่หนึ่ง ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าความจริงแล้วโลกแห่งนี้มีสิ่งของแปลกประหลาดอยู่ค่อนข้างมาก ดังนั้นการตกแต่งจึงต้องพิเศษสักหน่อยเท่านั้นเอง
หลังจากเข้ามาในพระราชวังหลวงแล้วก็มีนางในมานำทางพวกเขา เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์มองไปทั่วจึงเอ่ยว่า “ตอนนี้ทุกท่านล้วนไปยังตำหนักที่จัดงานเลี้ยงกันหมดแล้ว หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลงจะมีการแสดงอันยิ่งใหญ่ พอถึงตอนนั้นคุณชายก็ไปชมภายในวังได้ แต่ตอนนี้พวกเราต้องไปที่โถงจัดงานเลี้ยงก่อนนะเจ้าคะ”
ซือหม่าโยวเล่อตบบ่าซือหม่าโยวเย่ว์พลางพูดว่า “น้องห้าเพิ่งเคยเข้าวังเป็นครั้งแรกสินะ ครั้งแรกย่อมต้องตื่นตาตื่นใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ตอนข้าเข้ามาครั้งแรกก็ตื่นเต้นยิ่งนัก!”
“ข้ารู้ หลังจากท่านกลับไปแล้วยังดึงมือข้าพลางเอ่ยชมเชยอยู่ครึ่งค่อนวัน” ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาใส่เขา
“ฮ่าๆ แต่น้องห้าสงบนิ่งกว่าตอนที่ข้าเข้ามาตอนแรกมากมายนัก” ซือหม่าโยวเล่อหัวเราะแล้วพูดขึ้น
นางในพาพวกเขามาถึงตำหนักใหญ่ ภายในนั้นมีคนมาถึงไม่น้อยแล้ว
ตำหนักใหญ่มีตั่งตัวเตี้ยเรียงรายอยู่ทั้งสองฟาก บนตั่งนั้นมีผลไม้ทิพย์อยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีของว่างอยู่จำนวนหนึ่งด้วย
ผู้ที่มาถึงก่อนนั่งอยู่ตรงที่นั่งของตน สนทนากันไปพร้อมกับกินผลไม้ทิพย์ สร้างสัมพันธ์กับคนที่นั่งข้างๆ ภายในตำหนักใหญ่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
นางในนำทางพวกเขาไปยังที่นั่งของจวนแม่ทัพแล้วเอ่ยว่า “คุณชายทุกท่าน นี่คือที่นั่งของจวนแม่ทัพเจ้าค่ะ ข้าน้อยขอลา”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองไป ที่นั่งของพวกเขาค่อนไปทางด้านหน้า ดูเหมือนว่าการจัดที่นั่งนี้จะเป็นไปตามสถานะ
ไม่ทราบว่าเจตนาหรือไม่ ที่นั่งตรงข้ามพวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็คือที่นั่งของตระกูลน่าหลานนั่นเอง ตอนนี้ยังเร็วอยู่ คนตระกูลน่าหลานยังมาไม่ถึง เพียงแต่บนโต๊ะมีป้ายชื่อของตระกูลน่าหลานวางเอาไว้
ที่นั่งของสมาคมนักหลอมยาอยู่ด้านบนของตระกูลน่าหลาน เห็นเพียงแค่สือมั่วลี่และมู่หรงอานเท่านั้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่เห็นแม้แต่เงาของอู๋หลินและสือเหล่ย
แต่คิดๆ ดูแล้วก็ใช่ สองคนนั้นประกาศตัวว่ามีสถานะสูงส่ง แล้วจะมารอคอยผู้อื่นอยู่ที่นี่พร้อมกับทุกคนได้อย่างไร
เมื่อเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์เข้ามานั่ง สือมั่วลี่ก็ถลึงตาใส่เธออย่างแรงคราหนึ่ง ดูเหมือนจะยังแค้นเธอเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูวังอยู่
ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองพวกเขาโดยไม่แยแสสายตาคับแค้นนั้นเลย เธอก็ใช้นิ้วก้อยแหย่รูจมูกของตน จากนั้นยังแสร้งทำเป็นแคะขี้มูกแล้วดีดไปข้างหน้า
“น่ารังเกียจเสียจริง!” สือมั่วลี่ขยะแขยงการกระทำของซือหม่าโยวเย่ว์จนต้องรีบเบนสายตาหลบไป
“ชิ…” ซือหม่าโยวเย่ว์แคะรูจมูกซ้ายแล้วกำลังคิดจะย้ายมายังฝั่งขวา แต่เห็นว่าสือมั่วลี่ไม่มองตนอีกแล้วจึงล้มเลิกไป
“มู่หรงอานผู้นี้ไปนั่งตรงที่นั่งของสมาคมนักหลอมยาได้อย่างไรกัน”
มีคนพูดเสียงเบาขึ้นมาที่ด้านข้าง เนื้อหานั้นไปกระตุ้นเธอเข้าในทันใด
เธอเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่ามู่หรงอานผู้นี้ไปอยู่กับสมาคมนักหลอมยาได้อย่างไร
“ไอ้หยา… เจ้าไม่รู้หรอกหรือ ได้ยินว่ามู่หรงอานผู้นี้ได้กราบปรมาจารย์ศิลาเป็นอาจารย์เพื่อศึกษาการหลอมยาแล้ว” อีกคนหนึ่งพูดขึ้น
“จริงหรือ เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามู่หรงอานจะศึกษาการหลอมยา ปรมาจารย์ศิลาผู้นั้นสายตาสูงส่งเหนือใคร เหตุใดจึงยอมรับเขาเป็นศิษย์เล่า”
“หึๆ เรื่องนี้พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือ” อีกคนหนึ่งพูดแทรกเข้ามา “ตอนนี้มู่หรงอานกำลังจะเป็นบุตรเขยที่แต่งเข้าตระกูลสือแล้ว พวกท่านดูสิ สองคนนั้นตัวติดกันหนึบราวกับกาว เกรงว่าอีกไม่นานก็คงจะแต่งงานกันแล้วล่ะ”
“มิได้พูดกันว่าเขาเป็นคู่รักกับน่าหลานหลานแห่งตระกูลน่าหลานหรอกหรือ”
“การข่าวของพวกท่านช่างล้าหลังนัก เรื่องของมู่หรงอานกับน่าหลานหลานกลายเป็นอดีตไปแล้วล่ะ ไม่รู้ว่าใครกันที่เป็นคนจัดที่นั่งในคืนนี้ จึงจัดให้สมาคมนักหลอมยานั่งติดกับตระกูลน่าหลาน หึๆ…”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้าม ไม่รู้ว่าเมื่อคนของตระกูลน่าหลานได้เห็นมู่หรงอานแล้วจะมีสีหน้าเช่นไร แค่คิดก็น่าติดตามชมแล้ว!
………………