ซือหม่าโยวเย่ว์รับตำรามา รู้สึกได้ว่าตำราสองเล่มนี้จะต้องแสดงโลกอันมหัศจรรย์อีกใบหนึ่งให้เธอได้สัมผัสอย่างแน่นอน
“ตำราค่ายกลนี้เป็นสิ่งหายากอย่างยิ่งในโลกใบนี้ ดังนั้นเจ้าจะต้องดูแลรักษาพวกมันเป็นอย่างดีเชียว” เฟิงจือสิงย้ำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า
“ข้าจะรักษาเป็นอย่างดีแน่ ท่านอาจารย์” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าอย่างจริงจังแล้วเก็บตำราเข้าไปภายใน มณีวิญญาณ
“ต่อจากนี้ไปให้เจ้าแบ่งเวลาสองคืนต่อสัปดาห์มาที่นี่ ข้าจะให้ความรู้เรื่องค่ายกลกับเจ้า ตอนนี้เจ้ากลับไปลองอ่านตำราสองเล่มนี้ดูก่อน ไม่เข้าใจตรงไหนค่อยมาถามข้า” เฟิงจือสิงพูด
“ได้ขอรับ”
“ในเมื่อรับเจ้าเป็นศิษย์แล้ว เช่นนั้นต่อจากนี้ไปเจ้าต้องตั้งใจศึกษาให้ดี อย่าทำให้ครูต้องขายหน้า เข้าใจหรือไม่” เฟิงจือสิงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เข้าใจแล้วขอรับ อาจารย์พ่อ”
เธอเปลี่ยนคำเรียกจากคำว่าท่านอาจารย์ เป็นคำว่าอาจารย์พ่อ ซึ่งหมายความว่าระหว่างทั้งสองคนมิได้มีเพียงความสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์เท่านั้น แต่ตอนนี้ยังก้าวหน้าสนิทสนมมากขึ้นไปอีกขั้น
“ใช่แล้ว อาจารย์พ่อ ตอนนี้การปิดผนึกมิติของท่านไปถึงระดับใดแล้วหรือ”
เฟิงจือสิงมองเห็นความใคร่รู้ในดวงตาของซือหม่าโยวเย่ว์จึงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ครูก็เพิ่งจะผนึกได้แค่ครึ่งห้องเท่านั้นเอง”
เธอไม่รู้ว่าการผนึกได้ครึ่งห้องทางศาสตร์นี้นับว่าอยู่ในระดับใด เมื่อนึกถึงที่เขาบอกว่าปรมาจารย์ค่ายกลจำนวนไม่น้อยล้วนทำได้เพียงแค่ผนึกห้วงมิติขนาดเท่ากำปั้นเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้วอาจารย์พ่อผู้นี้ของตนย่อมร้ายกาจกว่ามากมายเลยทีเดียว!
เมื่อเห็นท่าทีคิดใคร่ครวญของซือหม่าโยวเย่ว์ เฟิงจือสิงก็มองอย่างตกตะลึงไปชั่วครู่ คล้ายกับได้เห็นเงาร่างของคนผู้นั้นในตอนนั้นอีกครั้ง
ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์ได้สติกลับคืนมาก็เห็นเฟิงจือสิงจ้องมองตนเขม็ง คล้ายกับว่ากำลังมองตน และคล้ายกับว่ามองเห็นสถานที่อื่นผ่านทางตน แววตานั้นมีความเลือนราง มีความทรงจำ ทั้งยังมีความเจ็บปวดใจแฝงอยู่ด้วย
“อาจารย์พ่อ” เธออดที่จะส่งเสียงขัดความคิดของเขามิได้
“แค่กๆ ถ้าหากเจ้าไม่มีเรื่องอันใดแล้วก็กลับไปก่อนเถิด” เฟิงจือสิงแสร้งทำเป็นกระแอมสองครั้งเพื่อกลบเกลื่อนพฤติกรรมของตน แล้วพูดพลางโบกไม้โบกมือไปทางซือหม่าโยวเย่ว์
“เช่นนั้นข้าขอลา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็จากไป เดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดลงแล้วหันกลับมามองเฟิงจือสิงปราดหนึ่ง ขณะนี้เขาได้ตกลงไปในภวังค์แห่งความทรงจำบางอย่างอีกครั้งแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากห้องทำงานแล้วเดินไปในสวนของวิทยาลัยคนเดียว ในใจมีความสงสัยพรั่งพรูขึ้นมาไม่น้อย
ตอนนั้นซือหม่าเลี่ยเคยพูดเรื่องที่เธอมีป้ายชีวิตออกมาโดยไม่เจตนา ทั้งยังพูดว่าตอนที่สร้างป้ายชีวิตให้กับเธอนั้น เฟิงจือสิงก็อยู่ที่นั่นด้วย
คนปกติทั่วไปย่อมไม่มีทางทำของอย่างป้ายชีวิตออกมาได้อยู่แล้ว แม้กระทั่งซือหม่าเลี่ยก็ยังไม่ทำให้กับพวกซือหม่าโยวหมิงเลย ดังนั้นเรื่องที่เธอมีป้ายชีวิตเพียงคนเดียวก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดอยู่แล้ว
ตอนนั้นเฟิงจือสิงอยู่ที่นั่น อีกทั้งเขายังมิใช่คนของอาณาจักรตงเฉินอีกด้วย นั่นก็มิได้หมายความว่าตอนที่สร้างป้ายชีวิตให้เธอนั้น เธอก็มิได้อยู่ที่อาณาจักรตงเฉินหรอกหรือ
หรือว่าเธอมิใช่คนตระกูลซือหม่ามาตั้งแต่แรกแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจเพราะความคิดภายในใจของตนเองจนสะดุ้งโหยง จึงหยุดฝีเท้าอย่างไม่รู้ตัว
เธอรู้สึกว่าการคาดการณ์ของตนออกจะเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง แต่ก็มีบางอย่างแปลกๆ ในความสัมพันธ์ของเธอกับพวกซือหม่าเลี่ยจริงๆ อย่างเช่น มารดาหรือบิดาของเธอมีฝ่ายหนึ่งที่มิใช่เชื้อสายมนุษย์ หากแต่เป็นเผ่าฝ่ายมืด เช่นนี้เธอจึงได้ครอบครองร่างมารสว่าง แต่เท่าที่เธอรู้ มารดาของพวกซือหม่าโยวหมิงนั้นเป็นมนุษย์จริงๆ
รวมถึงตอนนั้นที่ซือหม่าเลี่ยมอบหีบของท่านพ่อให้กับตน ยังบอกว่าเป็นสิ่งที่บิดาของเจ้าทิ้งไว้ให้กับเจ้า ตอนนั้นดูไม่เหมือนการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นตามปกติเลย แต่ดูเหมือนช่วยเก็บรักษาหีบใบนั้นเอาไว้ให้แทนท่านพ่อของตนมากกว่า
ความจริงก็พอเดาออกจากลักษณะทางกายภาพอันแสนพิเศษของเธอได้แล้วว่าเธอมิใช่คนของตระกูลซือหม่า ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยนึกถึงปัญหานี้มาก่อนเลย ตอนนี้พอเรื่องต่างๆ เชื่อมโยงกันขึ้นมา ทำให้เธอเกิดความสงสัยในตัวตนของตัวเองขึ้นมาในทันที
แต่ต่อให้เดาออกแล้วเธอก็ไม่คิดจะไปถามพวกซือหม่าเลี่ยอยู่ดี มิใช่ว่าเธอไม่อยากรู้สถานะของตัวเอง เพียงแต่ตอนนี้เธอถวิลหาความอบอุ่นของตระกูลซือหม่าเสียแล้ว
เธอเชื่อว่าจะต้องมีวันที่เธอได้รู้ความจริงนั้นอย่างแน่นอน ถ้าหากจังหวะเวลามาถึง พวกซือหม่าเลี่ยจะต้องบอกตนแน่
เมื่อจัดระเบียบความคิดเรียบร้อยแล้วซือหม่าโยวเย่ว์จึงถอนหายใจยาวก่อนกลับไปยังเรือนพัก
เพราะอีกประเดี๋ยวก็จะเข้าสู่การศึกษาในภาคเรียนต่อไปแล้ว ดังนั้นพวกเว่ยจือฉีจึงเตรียมตัวสำหรับบทเรียนวันพรุ่งนี้อยู่ในห้องของตนเอง
เธอกลับไปยังห้องตนเองแล้วหยิบตำราที่เฟิงจือสิงให้เธอออกมาวางบนโต๊ะ
“ปรมาจารย์ค่ายกล…” เธอยื่นมือไปลูบปกหนังสือ จนถึงตอนนี้ยังรู้สึกว่าเหนือความคาดหมายอยู่มากพอสมควรเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะเคยคิดว่าหากมีโอกาสจะไปศึกษาเรื่องค่ายกลสักหน่อย แต่เธอก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้มีโอกาสน้อยนิดเพียงใด คิดไม่ถึงว่าเฟิงจือสิงจะเป็นปรมาจารย์ค่ายกล ทำให้โอกาสมาอยู่ตรงหน้าตนในทันใด
“หยั่งรู้ห้วงมิติ สิ่งนี้จะหยั่งรู้ได้อย่างไรกัน” เธอมองไปรอบด้านก็ยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษเลย แล้วจะหยั่งรู้ได้อย่างไรกัน
“อาจารย์พ่อถึงขนาดผนึกห้วงมิติขนาดใหญ่ครึ่งห้องได้ ช่างร้ายกาจเสียจริง ไม่รู้ว่าความสามารถที่แท้จริงของเขาเป็นเช่นไรเลย”
“โคจรมิติ ปิดผนึกมิติ สองสิ่งนี้แม้แต่อาจารย์พ่อก็ยังทำมิได้ จะต้องยิ่งยากเข้าไปใหญ่แน่ ถ้าหากทำเป็นจะต้องล้ำเลิศมากอย่างแน่นอน
“เอาละ ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดเรื่องพวกนี้เลย มาอ่านตำราให้ดีๆ เสียก่อนดีกว่า หยั่งรู้ว่าที่แท้แล้วห้วงมิติที่อาจารย์พ่อว่านั้นเป็นเช่นไร…”
ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้เวลาบ่ายวันหนึ่งไปกับการอ่านตำราและการหยั่งรู้ แต่เมื่อตกกลางคืน เธอก็ยังคงหาเหตุผลไม่ได้อยู่ดี
แต่เธอก็มิได้สิ้นหวัง ถ้าหากหยั่งรู้ได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ เช่นนั้นปรมาจารย์ค่ายกลก็คงจะมิได้หายากไปกว่านักหลอมยาหรอก
วันต่อมาเริ่มต้นเข้าเรียน ดูเหมือนว่าชีวิตของทุกคนจะกลับสู่ความสงบเงียบเช่นก่อนหน้านี้ ทุกวันล้วนมีแต่การเข้าเรียน การเรียน และการฝึกยุทธ์ เนื่องจากพวกเว่ยจือฉีมีตัวประหลาดอย่างซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้คอยกระตุ้นไม่หยุดหย่อน ดังนั้นจึงมีความพยายามมากยิ่งกว่าคนอื่นๆ เพื่อให้ตามเธอได้ทัน ไม่ถูกเธอทิ้งเอาไว้ห่างไกลมากนัก
ระยะเวลาครึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่ายุ่งวุ่นวายมากขึ้นทุกวัน แต่ต่อมาเธอก็ค้นพบว่าตนเองหยั่งรู้ห้วงมิติในขณะที่ตนฟื้นฟูวิญญาณตอนกลางคืนได้ สิ่งนี้ช่วยให้เธอประหยัดเวลาได้อย่างมหาศาล
ยามราตรี ซือหม่าโยวเย่ว์และหมัวซานั่งประจันหน้ากันที่คนละฝั่งของต้นผลอสรพิษทองคำ แสงจันทร์สาดส่องบนต้นไม้ แผ่ไอสีขาวราวน้ำนมออกมา
นี่คือเรื่องที่ทั้งสองคนทำกันอยู่เป็นประจำในตอนกลางคืน เพราะการทำพันธสัญญาจึงก่อให้เกิดความเชื่อมั่นอันไร้รูปร่างระหว่างกันขึ้นมา เชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายย่อมไม่มีทางทำร้ายตน ดังนั้นจึงเข้าสู่การบำเพ็ญได้อย่างวางใจ
คืนนี้หมัวซามิได้บำเพ็ญ พรุ่งนี้ก็จะเป็นเวลาที่ต้องหลอมยาให้กับซือหม่าโยวเย่ว์แล้ว ภายในวิญญาณของเขาฟื้นฟูขึ้นมาไม่น้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงให้ตนเองได้หยุดพักผ่อนเป็นการชั่วคราว
เขานั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง มองดูซือหม่าโยวเย่ว์ที่กำลังหยั่งรู้ พลางทอดถอนใจว่าเธอช่างโชคดีเสียจริง คนอื่นเหนื่อยยากกันทั้งชีวิตก็ยังไม่แน่ว่าจะได้สิ่งล้ำค่าเช่นนี้มาครอบครองเลย เธอมีพร้อมไปหมดทุกสิ่งอย่าง ทั้งเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรเอย เคล็ดหลอมวิญญาณเอย ล้วนเป็นสิ่งที่เขาฝ่าฟันความยากลำบากนับพันนับหมื่นมาชั่วชีวิตจึงจะได้มาครอบครอง แต่เธอกลับได้มันมาครองอย่างง่ายดายเพราะความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง ตำราปรมาจารย์ค่ายกลในโลกทั้งใบนี้ก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย แต่เธอกลับได้พบกับอาจารย์ที่เป็นปรมาจารย์ค่ายกล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเธอยังมีโลกอีกใบหนึ่งให้สิ่งมีชีวิตอาศัยได้อย่างมณีวิญญาณอยู่ด้วย ทั้งยังมีสุดยอดอาวุธเทพหลิงหลงที่ชั่วชีวิตนี้เขาเพียงแค่เคยได้ยินผ่านหูเท่านั้น
เมื่อนึกถึงสิ่งล้ำค่าเหล่านี้ในตัวเธอ โยนสุ่มๆ ออกไปชิ้นหนึ่งล้วนต้องก่อให้เกิดสงครามนองเลือดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าหากมิได้ทำพันธสัญญากัน แม้กระทั่งเขาเองก็ยังต้องใจสั่นหวั่นไหวด้วยเหตุนี้!
ซือหม่าโยวเย่ว์สัมผัสสายตาของเขาได้แต่ก็มิได้ลืมตา เพราะขณะนี้เธอได้เข้าสู่โลกทิพย์อีกใบหนึ่งแล้ว