ในขณะนี้คล้ายกับว่าเธอกลับไปยังสถานที่ที่รอบด้านเต็มไปด้วยแสงดาวแห่งนั้นอีกครั้ง ดวงดาวมากมายเหลือคณานับคล้ายจะกะพริบสู่สายตาเธอไม่หยุดหย่อนในระยะใกล้บ้าง ไกลบ้าง
ขณะนี้ข้างกายเธอมีประกายเล็กๆ วาบผ่าน เปล่งประกายระยิบระยับจับตา จุดแสงเหล่านั้นล่องลอยไปรอบตัวเธอครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ ลอยห่างออกไปช้าๆ แล้วรวมตัวกับแสงดาวที่อยู่ห่างออกไป
ความรู้สึกของเธอในขณะนี้คล้ายกับขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าอย่างฉับพลัน เธอรู้สึกราวกับว่าทั้งห้วงมิติและระยะทางล้วนอยู่ในการควบคุมของตนทั้งสิ้น
ในห้วงสมองของเธอมีประโยคแรกของตำราพื้นฐานค่ายกลปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ห้วงมิติ อาจอยู่ใกล้หรือไกล อาจไร้รูปร่าง หรืออาจสัมผัสได้ ห้วงมิติทุกแห่งล้วนมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับห้วงมิติอื่นๆ หามันให้พบ ทำความเข้าใจกับมัน รู้จักมันให้ดี และควบคุมมัน…”
เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตนจะสำเร็จขั้น “หามันให้พบ” แล้ว เฟิงจือสิงเคยบอกว่าหากทำขั้นนี้ได้สำเร็จก็นับได้ว่าก้าวเข้าสู่การเป็นปรมาจารย์ค่ายกลแล้ว
เมื่อผ่อนคลายความคิดลง ห้วงมิติที่เธออยู่ก็ถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกเมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้งราวกับไม่เคยมีอยู่
เธอลืมตาขึ้นแล้วพบว่ายังคงอยู่ในห้องนอนของตน มิได้ไปยังสถานที่ที่เรียกว่าห้วงมิติแห่งนั้น
“หยั่งรู้ได้แล้วหรือ” หมัวซาเห็นสถานะเมื่อครู่ของเธอก็รู้แล้วว่าเธอต้องได้อะไรมาอย่างแน่นอนจึงเอ่ยถามขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า เห็นเจ้าคนผู้นี้นั่งอยู่อย่างเกียจคร้าน งอขาข้างหนึ่งแล้วพาดแขนไว้ข้างบนพร้อมกับใช้ฝ่ามือรองศีรษะเอาไว้ มิได้บำเพ็ญอยู่แต่อย่างใด จึงเอ่ยถามว่า “เหตุใดท่านจึงไม่ฝึกยุทธ์เล่า”
“พอใช้ได้แล้วละ” หมัวซาสะบัดแขนเสื้อ
“จริงหรือ เช่นนั้นพวกเราก็ไปหลอมยากันตอนนี้เลยดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนขึ้นพูด
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องกลับไปรับสัมผัสสิ่งที่เจ้าเพิ่งหยั่งรู้มาสักหน่อยหนึ่งก่อน” หมัวซาพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์สะดุ้งคราหนึ่ง เจ้าคนผู้นี้รู้ได้อย่างไรกัน
“รอมาหลายวันถึงเพียงนี้แล้ว ไม่ต้องรีบร้อนกับเวลาเพียงแค่นี้หรอก” หมัวซาในฐานะคนที่ผ่านมาก่อนย่อมรู้ดีว่าโอกาสนั้นช่างน้อยนิด
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดดูแล้วก็เห็นจริงว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหลอมยาในตอนนี้ เธอพยักหน้าแล้วกลับลงไปนั่งใหม่พลางพูดว่า “เช่นนั้นก็ดีเลย คืนนี้ไม่ไปหลอมยาแล้ว ไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
หมัวซาเห็นเธอหลับตาลงอีกครั้งแล้วไม่พูดอะไรอีก จ้องมองเธอต่อไป
ใบหน้าที่อยู่ใต้เงามืดเล็กน้อยให้เห็นเค้าความงามล่มบ้านล่มเมือง แต่เพราะแหวนมนตร์บนนิ้วแสดงให้เห็นรูปลักษณ์ของบุรุษ ทำให้ความงามล้ำเลิศนั้นเบาบางลงไปเล็กน้อย
เมื่อนึกถึงว่าเธอศึกษาเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรสำเร็จด้วยตนเองโดยปราศจากคนชี้แนะ ทั้งยังหลอมยาได้ไม่ถึงปีก็สำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสอง หรือแม้กระทั่งปรมาจารย์ค่ายกลที่ลำบากยากเย็นที่สุด เธอก็ยังรับสัมผัสห้วงมิติได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ พรสวรรค์นี้ทำให้เขาอดที่จะเกิดความชื่นชมมิได้
“พรสวรรค์ของเจ้าเด็กผู้นี้ มิได้ด้อยไปกว่าตัวข้าในตอนนั้นเลยจริงๆ…”
ซือหม่าโยวเย่ว์นึกย้อนไปถึงห้วงมิติที่ตนได้เห็นเมื่อครู่ นึกย้อนไปถึงความรู้สึกในตอนนั้นรอบแล้วรอบเล่า จนดูเหมือนว่าจะค้นพบลักษณะเฉพาะของห้วงมิติขึ้นมาอย่างช้าๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น ซือหม่าโยวเย่ว์ให้เจ้าอ้วนชวีช่วยลาเรียนให้เธอ หลังจากนั้นจึงขังตัวเองอยู่ในห้องแล้วเริ่มต้นหลอมยา
ภายในมณีวิญญาณ ซือหม่าโยวเย่ว์และหมัวซามาถึงยังห้องหลอมยา เครื่องยาสำหรับหลอมยาวิเศษร้อยโคจรได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้ในห้องเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังมียาวิเศษฟื้นฟูปราณวิญญาณอยู่อีกสองขวดด้วย
“พวกเราเริ่มกันเลยดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดกับหมัวซา
หมัวซาพยักหน้าแล้วมาที่ข้างๆ เตาหลอมยา ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง เปลวเพลิงสีดำกองหนึ่งก็พุ่งเข้าไปอยู่ด้านล่างเตาหลอมยา เมื่อเจอลมก็โหมกระพือ จนครอบคลุมด้านล่างเตาทั้งหมดอย่างรวดเร็วซือหม่าโยวเย่ว์ย่อมไม่ปล่อยโอกาสในการเรียนรู้ครั้งนี้ไป เธอดูทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ เธอค้นพบว่าทุกครั้งที่ดูหมัวซาหลอมยา ล้วนได้อะไรกลับไปแตกต่างกัน ซึ่งมีประโยชน์ต่อการหลอมยาของเธอเป็นอย่างยิ่ง
เคยมีประสบการณ์ในการร่วมมือกันมาครั้งหนึ่งแล้ว การประสานงานระหว่างคนทั้งสองจึงราบรื่นกว่ามาก ตอนผนึกยาในท้ายที่สุด ไม่ต้องให้หมัวซาเอ่ยคำพูด เขาเพียงแค่ส่งสายตามาเธอก็รู้แล้วว่าถึงคราวตนเองต้องลงสนาม จึงขยับเข้าไปใกล้เตาหลอมยาก่อนจะใส่ปราณวิญญาณเข้าไปข้างใน
หลังจากกินยาวิเศษไปอีกสองครั้ง ในที่สุดซือหม่าโยวเย่ว์ก็ใส่พลังเข้าไปครั้งแรกได้สำเร็จ เธอไปยืนข้างๆ อย่างหมดแรงอยู่บ้าง คอยดูหมัวซาปิดงานขั้นตอนสุดท้าย
ผ่านไปครู่หนึ่ง หมัวซาก็หลอมยาวิเศษได้สำเร็จแล้วดับไฟ
“เสร็จแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“อืม พวกเราพักผ่อนกันสักวันหนึ่งแล้วพรุ่งนี้ค่อยหลอมเตาที่สอง” หมัวซาพูดพลางพยักหน้า
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นว่าสีหน้าเขายังดูดี จึงรู้ว่าเขาต้องเลื่อนไปหลอมอีกทีในวันพรุ่งนี้เพราะปราณวิญญาณของตนไม่เพียงพอ จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้สิ”
หมัวซาขยับคราหนึ่งก็หายตัวไปเสียแล้ว เธอมาที่ข้างเตาหลอมยาแล้วเปิดฝาออกก่อนจะหยิบขวดหยกออกมาเตรียมเก็บยาวิเศษขึ้นมา เมื่อเห็นยาวิเศษในนั้นเธอก็สะดุ้งเล็กน้อย
สิบเม็ด!
ตอนที่ตนใส่พลังวิญญาณเข้าไปนั้นมีช่วงเวลาที่ต่อไม่ติดอยู่บ้าง เธอยังคิดว่าอาจจะกระทบกับอัตราการหลอมสำเร็จอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าเขายังรักษามันเอาไว้ได้จนสำเร็จได้มากถึงสิบเม็ดเลยทีเดียว!
“ร้ายกาจยิ่งนัก ไม่รู้ว่าก่อนตายเขาไปถึงระดับขั้นใดแล้ว”
เธอห่อยาวิเศษขึ้นมาแล้วให้เจ้าวิญญาณน้อยเก็บข้าวของ ส่วนตนเองก็ไปยังห้องฝึกยุทธ์เพื่อฟื้นฟูปราณวิญญาณ
ยามบ่าย เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เธอจึงออกมาจากห้อง
“เจ้าอ้วน มีเรื่องอันใดหรือไม่”
“คือว่า อาจารย์เฟิงให้เจ้าไปพบเขา ดูเหมือนว่าจะมีธุระด่วนนะ” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ข้ารู้แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาแล้วปิดประตู
วันนี้เธอมิได้ไปเข้าชั้นเรียน จึงให้เธอไปพบเพราะเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ
แต่ก่อนหน้านี้เธอก็เคยโดดเรียนอยู่บ่อยๆ แต่เขากลับมิได้ว่าอะไร ดังนั้นจึงไม่น่าจะใช่เรื่องนี้
เมื่อมาถึงห้องทำงานของเฟิงจือสิงแล้วเธอก็เคาะประตูเบาๆ หลังจากนั้นค่อยผลักประตูเข้าไป
“อาจารย์พ่อ ท่านหาตัวข้าอย่างนั้นหรือ”
เฟิงจือสิงมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “ตอนแรกคิดว่าจะบอกลาเจ้าตอนหลังเลิกเรียน แต่วันนี้เจ้ามิได้ไปเข้าเรียน ก็เลยเรียกเจ้ามาน่ะ”
“ท่านอาจารย์ ท่านจะจากไปอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเฟิงจือสิงอย่างตกตะลึง ข่าวนี้มาอย่างฉับพลันเหลือเกิน ทำให้เธอไม่ได้เตรียมใจเอาไว้เลย
“อืม เกิดเรื่องขึ้นในตระกูลข้านิดหน่อยน่ะ จึงมาแจ้งให้ข้ากลับไปทันที” เฟิงจือสิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เพราะว่าข่าวคราวมาอย่างฉุกละหุกเหลือเกิน ดังนั้นจึงต้องกลับไปเดี๋ยวนี้เลย”
“เรื่องอันใดกันจึงได้เร่งด่วนถึงเพียงนี้” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“เกิดเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตำหนักผู้วิเศษ จำเป็นต้องให้ข้ากลับไปจัดการน่ะ” เฟิงจือสิงพูด
ตำหนักผู้วิเศษหรือ เกี่ยวกับพวกอูหลิงอวี่หรือไม่
ดูจากสีหน้าของเฟิงจือสิงแล้วเหมือนว่าจะต้องมิใช่เรื่องดีแต่อย่างใด!
แต่การต่อสู้ระหว่างพวกเขานั้นดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่คนในระดับอย่างเธอจะเข้าไปแทรกแซงได้ ถ้าหากพวกเขาต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ จุดจบของตนก็คงมีแต่ถูกระเบิดกลายเป็นผุยผงเท่านั้น
“เช่นนั้นท่านอาจารย์จะไปเมื่อใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างตัดใจไม่ได้อยู่บ้าง
อยู่ใกล้ชิดกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เขาทุ่มเทให้เธอ คอยชี้แนะเธอมาโดยตลอด จู่ๆ ตอนนี้มาพูดว่าจะจากไปอย่างฉับพลัน เธอจึงค้นพบว่านอกจากคนตระกูลซือหม่าแล้ว เธอก็เห็นเขาเป็นคนสนิทเช่นเดียวกัน
“ลาเจ้าเสร็จ ไปร่ำลาท่านอาจารย์ใหญ่ แล้วก็คงไปแล้วละ” เฟิงจือสิงพูด
“รวดเร็วเพียงนี้เลยหรือ!”
“อืม เรื่องทางนั้นค่อนข้างเร่งด่วนน่ะ” เฟิงจือสิงพูด
“เช่นนั้นท่านอาจารย์จะกลับมาอีกหรือไม่”
“ข้าคิดว่ากว่าข้าจะจัดการธุระเสร็จเรียบร้อย เจ้าก็คงไปจากอาณาจักรตงเฉินแล้วล่ะ” เฟิงจือสิงพูดยิ้มๆ “ถ้าหากข้าไม่กลับมา ในภายหน้าเจ้าก็มาหาข้าที่ดินแดนโบราณได้ ข้าเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ของเจ้าแล้วจะต้องไปถึงที่นั่นได้อย่างรวดเร็วเป็นแน่”
“ดินแดนโบราณ…”
นั่นคือสถานที่ที่เขาใช้ชีวิตอยู่ และยังอาจเป็นสถานที่ที่บิดามารดาของตนใช้ชีวิตอยู่ด้วยใช่หรือไม่