“พี่เลี่ย” เมื่อซือหม่าชิงมองเห็นซือหม่าเลี่ย จึงตะโกนคำเรียกหาสมัยเด็กออกมา
ซือหม่าเลี่ยได้ยินคำเรียกหาที่ห่างหายไปนานจึงมองซือหม่าชิงแล้วพูดว่า “เจ้าคือชิงเอ๋อร์หรือ”
“พี่เลี่ย ยังจำชิงเอ๋อร์ได้หรือไม่” ซือหม่าชิงยิ้มน้อยๆ ทรงเสน่ห์อย่างเหลือล้น
ซือหม่าเลี่ยยิ้มน้อยๆ ให้นาง หลังจากนั้นก็เบนสายตาไปยังร่างของซือหม่าหลินแล้วพูดว่า “นี่คงจะเป็นซือหม่าหลินกระมัง”
ตั้งแต่เล็กจนโต ผู้ที่ซือหม่าชิงยอมฟังคงจะมีเพียงแค่ซือหม่าหลินเท่านั้น
ซือหม่าหลินมองซือหม่าเลี่ย คิดไม่ถึงว่าเขาจะบำเพ็ญมาจนถึงระดับนี้ในสถานที่เนรเทศพรรค์นี้ได้ ถ้าหากยังอยู่ที่ตระกูล เช่นนั้นพลังยุทธ์ของเขาในตอนนี้ก็คงจะไม่ด้อยไปกว่าตนเลย
“ซือหม่าเลี่ย คนอื่นๆ เล่า” ซือหม่าหลินเหลือบมองเบื้องล่างแวบหนึ่งก็เห็นเพียงแค่พวกซือหม่าโยวหมิงวัยเยาว์สี่คนกับทหารรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่เห็นสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ เลย
“คนอื่นๆ หรือ” ซือหม่าเลี่ยหัวเราะเยียบเย็น “คนที่กลับไปในตอนนั้นมิได้บอกพวกเจ้าหรือว่านอกจากข้า คนอื่นๆ ล้วนตายกันไปหมดแล้ว”
“ตายไปหมดแล้ว! เช่นนั้นพวกพี่หญิงสาม…” ซือหม่าชิงมองซือหม่าเลี่ย หมายจะดูว่าเขาโกหกหรือไม่ แต่น่าเสียดายที่นางมองไม่เห็นความสำนึกผิดแต่อย่างใด เห็นเพียงแค่สายตาเคียดแค้นเท่านั้น
“ตายไปได้เกือบร้อยปีแล้ว” ซือหม่าเลี่ยพูดอย่างเย็นชา
ซือหม่าหลินได้ฟังข่าวนี้แล้วก็ยังตกใจอยู่บ้าง แต่ความตกใจนั้นจางหายไปอย่างรวดเร็ว คล้ายกับไม่เคยปรากฏมาก่อน
“ซือหม่าเลี่ย เจ้าอยู่รอดได้ด้วยตัวคนเดียวมาจนบัดนี้ อีกทั้งยังมีลูกหลานสืบสกุลมากมาย ช่างเป็นปาฏิหาริย์โดยแท้” ซือหม่าเค่อพูดเสียดสี
“ซือหม่าเค่อ หนูสกปรกอย่างเจ้าอุตส่าห์มีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้ก็เป็นปาฏิหาริย์โดยแท้เช่นเดียวกัน” ซือหม่าเลี่ยย้อนด้วยคำพูดของเขา
“เจ้า…” ซือหม่าเค่อคิดไม่ถึงว่าซือหม่าเลี่ยจะรู้จักใช้คำพูดยอกย้อน เขาเอ่ยว่า “คนชั่วที่หลบหนีมาอย่างพวกเจ้า ถ้าหากวันนี้ไม่ยอมกลับไปกับพวกเราอย่างว่าง่าย เช่นนั้นก็อย่าหาว่าพวกเราลงมือไร้น้ำใจก็แล้วกัน”
“กลับไปกับพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่เล่า” ซือหม่าเลี่ยมองพวกเขาด้วยสีหน้าปราศจากความตื่นตระหนก มีเพียงความมั่นใจอย่างเดียวเท่านั้น
“เรื่องราวในตอนนั้นยังมิได้ข้อสรุป พวกเจ้าก็หนีมาเสียก่อนแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าต้องกลับไปกับพวกเรา” ซือหม่าหลินพูด ไม่ใช่การตั้งคำถามแต่เป็นการออกคำสั่งโดยตรง
“หึๆ ถ้าตอนนั้นพวกเราไม่หนีมา กลัวแต่ว่าตอนนี้แม้แต่ข้าก็คงมิอาจมีชีวิตรอด ตอนนี้ตระกูลมีสภาพเป็นเช่นไร หากพวกเราไปแล้วก็คงมีแต่ตายอย่างเดียวเท่านั้นแหละ เจ้าว่ามาสิ เหตุใดจึงต้องกลับไปกับพวกเจ้าด้วยเล่า”
“พี่เลี่ย ภายหลังท่านพ่อบอกว่าความจริงแล้วเคล็ดแยกอัคคีพิโรธนี้เป็นสิ่งที่มิได้ทำให้กระจ่างชัดเจนในตอนนั้นว่าท่านพ่อของท่านสังหารท่านปู่สามเพื่อชิงมันมา หรือท่านปู่สามมอบให้เขาแล้วต่อมาท่านปู่สามก็ถูกผู้อื่นสังหาร บางทีพวกท่านอาจถูกใส่ร้ายจริงๆ ก็ได้ ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริง ท่านไม่อยากลบล้างความผิดให้กับสายตระกูลของพวกท่านหรอกหรือ”
นัยน์ตาของซือหม่าเลี่ยมีแววสงสัยสายหนึ่งวาบผ่าน ซือหม่าข่ายมองซือหม่าเค่อปราดหนึ่ง ซือหม่าเค่อจึงรีบตะโกนเสียงดังขึ้นมาในทันที “ในเมื่อเจ้าไม่อยากถูกมัดมือชก เช่นนั้นพวกเราก็ได้แต่จับตัวเจ้ากลับไปแล้วล่ะ! ระวัง…”
ซือหม่าเค่อพูดพลางโจมตีเข้าใส่ซือหม่าเลี่ย ความเร็วนั้นทำให้ซือหม่าชิงและคนอื่นๆ ต่างก็มิอาจรั้งเขาไว้ได้ทัน
ซือหม่าเลี่ยเห็นซือหม่าเค่อโจมตีเข้ามา ความลังเลภายในใจนั้นก็เปลี่ยนกลายเป็นความโกรธแค้น สองมือรวมพลังแล้วพุ่งเข้าหาซือหม่าเค่อ
พลังวิญญาณที่ทั้งสองคนรวบรวมขึ้นมานั้นกลมราวกับรัศมีโค้งสูงหลายเมตร มันปะทะกันกลางอากาศแล้วกระแทกเข้าใส่กันอย่างรุนแรง ทั้งสองคนถูกแรงกระแทกจนกระเด็นถอยหลังไปไกล
“ท่านปู่!”
“ท่านปู่!”
“ท่านแม่ทัพ!”
ซือหม่าโยวหมิงและคนอื่นๆ เห็นซือหม่าเลี่ยต่อสู้กับผู้อื่นจึงร้องตะโกนขึ้นมาอย่างตกใจ
“เด็กๆ พวกเรารีบไปอารักขาท่านแม่ทัพเร็วเข้า!” พ่อบ้านเห็นสองฝ่ายเริ่มต่อสู้กัน จึงเรียกคนระดับราชาวิญญาณขึ้นไปให้เหินขึ้นมากลางอากาศแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าซือหม่าเลี่ย
“น้องห้า!”
ซือหม่าข่ายขึ้นไปรับตัวซือหม่าเค่อเอาไว้แล้วพาตัวเขากลับมาอยู่ข้างกายพวกซือหม่าหลิน
“ท่านอาห้า ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวหลานเหินเข้าไปแล้วถามพลางมองซือหม่าเค่ออย่างเป็นกังวล
ผู้ที่ทะยานอยู่กลางอากาศ นางผู้เป็นคนรุ่นเดียวกันกับพวกซือหม่าโยวเย่ว์ ถึงกับเป็นระดับราชาวิญญาณแล้วเช่นกัน!
“โยวหลาน เจ้าคอยดูแลท่านอาห้าของเจ้าเสีย” ซือหม่าข่ายยกซือหม่าเค่อให้กับซือหม่าโยวหลาน หลังจากนั้นจึงเหินไปด้านหน้าแล้วมองซือหม่าเลี่ย กลิ่นอายแผ่ออกมาตลอดร่าง แล้วหยิบเอาอาวุธของตัวเองออกมาพลางพูดว่า “ดื้อด้านและโง่เขลายิ่งนัก ถึงกับคิดจะเอาชีวิตน้องเค่อ วันนี้จะต้องจัดการคนมากพิษสงอย่างเจ้าให้ได้!”
เขาสำแดงพลังยุทธ์ระดับราชันวิญญาณออกมา ทำให้คนที่ดูอยู่ข้างล่างพากันหลีกหนี คนตัวเล็กตัวน้อยอย่างพวกเขาย่อมต้องรีบหนีการต่อสู้ระหว่างราชันวิญญาณที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและมีพลังแข็งแกร่งเหลือล้นเช่นนี้อยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าความคึกคักนี้จะน่าดูชม แต่ชีวิตน้อยๆ ของพวกเขาย่อมสำคัญกว่า!
ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าข่ายแล้วหยิบเอาอาวุธของตัวเองออกมาเช่นกัน “คราวก่อนเจ้าลอบโจมตีข้า วันนี้ก็สบโอกาสแก้แค้นเจ้าพอดี พ่อบ้าน พวกเจ้าลงไปให้หมด!”
“ท่านแม่ทัพ!”
“พวกเจ้าไปคุ้มกันเหล่าคุณชายเสีย นี่คือคำสั่ง!”
เมื่อซือหม่าเลี่ยเอ่ยเช่นนี้ พ่อบ้านจึงนำคนกลับลงไปอย่างไม่เต็มใจนัก
พวกเขาล้วนรู้ดีว่าตนเองมิอาจต้านรับซือหม่าข่ายได้แม้แต่รอบเดียว แต่พวกเขาก็ยังคิดจะใช้ชีวิตมาปกป้องเขา แต่คุณชายทั้งหลายนั้นต้องการการคุ้มกันมากยิ่งกว่า
“ท่านปู่ เขาคือผู้ที่ทำร้ายท่านเมื่อคราวก่อนหรือ ท่านต้องระวังเขาด้วยนะ…อ๊ะ…” ซือหม่าโยวเล่อนึกถึงว่าคราวก่อนซือหม่าเลี่ยก็ถูกคนผู้นี้ทำร้ายเช่นกัน รู้ว่าเขามีสัตว์เลี้ยงมารอยู่กับตัว จึงส่งเสียงเตือนออกมาด้วยสัญชาตญาณ แต่ยังเอ่ยวาจาไม่ทันจบก็ถูกพลังที่ซือหม่าข่ายปล่อยออกมาทำเอาชะงักไป
“หนวกหูนัก!” ซือหม่าข่ายกังวลว่าเขาจะเอ่ยวาจาที่เหลือออกมาจึงทำให้เขาหมดสติไป เมื่อเห็นพวกซือหม่าโยวหมิง จึงทำให้พวกเขาหมดสติไปด้วยเช่นกัน
“คุณชาย!” พ่อบ้านคิดไม่ถึงว่าพลังยุทธ์ระดับราชันวิญญาณจะร้ายกาจถึงเพียงนี้จนทำให้คนหมดสติไปเช่นนี้ได้ เขาจึงรีบวิ่งเข้ามาตรวจดูอาการของพวกเขา เมื่อรู้ว่าพวกเขาเพียงแค่หมดสติไปเท่านั้นจึงผ่อนลมหายใจออกมาแล้วพาเหล่าทหารยามไปคอยอารักขาพวกเขา
“เข้ามาสิ…”
ซือหม่าเลี่ยเห็นซือหม่าข่ายทำให้หลานของตนหมดสติจึงโจมตีเข้าใส่เขา…
ภายในมณีวิญญาณ หลังผ่านการพักผ่อนมาหนึ่งวัน ปราณวิญญาณของซือหม่าโยวเย่ว์ก็ฟื้นฟูขึ้นมาจนเกือบสมบูรณ์แล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอจึงรู้สึกว่าตนเองกระสับกระส่ายอยู่ตลอด เพื่อมิให้วิตกกังวลมากจนเกินไป เธอจึงปล่อยวางการบำเพ็ญแล้วออกมาจากมณีวิญญาณ วางแผนจะมอบยาวิเศษร้อยโคจรให้กับพวกเจ้าอ้วนชวีและคนอื่นๆ ก่อน
ภายในห้องของตน เธอหยิบเอาขวดหยกจำนวนหนึ่งออกมาแล้วแบ่งยาวิเศษใส่ลงไปขวดละสองเม็ด พอถึงเวลาก็ให้คนละขวด เพื่อความสะดวกตอนมอบให้
พอแบ่งยาวิเศษเสร็จก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“โยวเย่ว์ โยวเย่ว์ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! เจ้าออกจากการปลีกวิเวกแล้วหรือยังน่ะ!”
เมื่อได้ยินเสียงร้อนใจของเจ้าอ้วนชวี เธอจึงโบกมือเก็บขวดหยกแล้วรีบไปเปิดประตู
“เจ้าอ้วน เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นอย่างนั้นหรือ”
“โยวเย่ว์ จวนแม่ทัพเกิดเรื่องเสียแล้ว ท่านปู่ของเจ้ากำลังต่อสู้กับผู้อื่นอยู่” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างเร่งร้อน
“ปัง…”
เสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในทันใดราวกับเป็นเครื่องพิสูจน์สิ่งที่เขาพูด พลังคุกคามนั้นเกรงว่าคงจะส่งผลกระทบไปครึ่งเมืองหลวงเลยทีเดียว
“นี่มันเรื่องอันใดกัน ต่อสู้กับตาเฒ่าหนังเหนียวของตระกูลน่าหลานนั่นขึ้นมาอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“มิใช่ ข้าไม่รู้จักคนเหล่านั้น แต่เมื่อครู่ข้าเห็นไกลๆ แวบหนึ่ง ได้ยินผู้คนรอบๆ พูดกันว่าที่นั่นมีราชันวิญญาณสามคน ทั้งยังมีบรรพวิญญาณกับราชาวิญญาณอีกด้วย ไม่รู้เลยว่ามาจากที่ไหนกัน…เอ๊ะ… โยวเย่ว์ เจ้ารอข้าด้วยสิ!”
เจ้าอ้วนชวียังพูดไม่ทันจบ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็วิ่งออกไปนอกประตูใหญ่เสียแล้ว