เปลวเพลิงอันร้อนแรงอาบย้อมทั่วทั้งท้องฟ้าจนกลายเป็นสีแดง บ้านทั้งหลังถูกเผาจนกลายเป็นซากปรักหักพัง ป้ายเหนือประตูที่เขียนว่า จวนซีเหมิน สามตัวอักษร ค่อยๆ ถูกเปลวไฟกลืนกินอย่างช้าๆ
“ซีเหมินโยวเย่ว์ เจ้ามิได้เที่ยวกดดันข้าไปทั่วทุกหนแห่งเพราะถือว่าตัวเองมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมกว่าข้าหรอกหรือ เจ้าหันกลับมาดูบ้างสิว่าตอนนี้ตระกูลซีเหมินของเจ้ากลายสภาพเป็นเช่นไรไปเสียแล้ว ฮ่าๆๆ”เสียงหัวเราะกรีดแหลมดังมาจากกลางกองเพลิง บาดแก้วหูเป็นอย่างยิ่ง
“ลูกเอ๋ย เรื่องนี้มิอาจตำหนิเจ้าได้หรอก ในภายหน้าเจ้าต้องใช้ชีวิตต่อไปให้ดีๆ นะ แม่หวังว่าเจ้าจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป…” น้ำเสียงอบอุ่นเต็มไปด้วยความรักใคร่บรรเทาความเจ็บปวดอันไร้ที่สิ้นสุดของเธอ
ชุดแต่งงานสีแดง เปลวเพลิงสีแดง หยาดโลหิตสีแดง วาบผ่านไปมาท่ามกลางสายตาไม่หยุดหย่อน ในที่สุดซือหม่าโยวเย่ว์ก็ทนไม่ไหวแล้วลืมตาขึ้นในทันใด
“คุณชาย ท่านฟื้นแล้ว!” ชุนเจี้ยนเห็นหางตาของซือหม่าโยวเย่ว์มีน้ำตาไหลรินไม่หยุด นางกำลังเช็ดน้ำตาที่หางตาให้เธอ เมื่อเห็นเธอลืมตาจึงร้องขึ้นมาอย่างดีใจ
ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาไปมองก็เห็นใบหน้าของชุนเจี้ยน สติรับรู้จึงค่อยๆ กลับคืนมา เธออยากเอื้อมมือไปลูบศีรษะตนเอง แต่กลับพบว่าบนมือมีผ้าพันแผลพันเอาไว้อยู่
“คุณชายต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ” ชุนเจี้ยนถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วถามว่า “ที่นี่คือที่ไหนหรือ”
“ที่นี่คือเรือนของท่านอาจารย์ใหญ่เจ้าค่ะ ตั้งแต่ท่านหมดสติไปก็อยู่ที่นี่มาโดยตลอด” ชุนเจี้ยนพูด
ในขณะนี้เองอวิ๋นเย่ว์ก็เข้ามาจากข้างนอก เมื่อเห็นว่าซือหม่าโยวเย่ว์ฟื้นแล้วก็รีบเดินเข้ามาพลางเอ่ยว่า “คุณชาย ในที่สุดท่านก็ฟื้นเสียที ท่านหมดสติไปหลายวันเช่นนี้ทำเอาพวกเราตกใจแทบตายเลยนะเจ้าคะ”
“ข้าหมดสติไปนานเพียงใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นนั่ง จึงเห็นว่าบนร่างของตนมีผ้าพันแผลพันอยู่ไม่น้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปดึง
“สี่วันแล้วเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนพูด “หากมิใช่เพราะท่านอาจารย์ใหญ่คอยบอกพวกเราว่าท่านไม่เป็นไร ข้ากับอวิ๋นเย่ว์คงร้อนใจตายแน่”
ซือหม่าโยวเย่ว์มือหยุดชะงักแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ห้าวัน เช่นนั้นพวกท่านปู่ก็จากไปได้ห้าวันแล้วสินะ…”
อวิ๋นเย่ว์เข้าไปดึงมือซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้พลางพูดว่า “คุณชาย ท่านดึงผ้าพันแผลทำไมกันเจ้าคะ บนร่างท่านยังมีบาดแผลอยู่เลยนะเจ้าคะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ก้มหน้าลงมองร่างกายตนแล้วนึกถึงการประลองกับซือหม่าหลินในวันนั้นขึ้นมา ตนรับไม่ได้แม้กระทั่งการโจมตีสองกระบวนท่าของเขาเลยด้วยซ้ำ
“อาการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้ว ไม่ต้องพันผ้านี่ไว้แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางดึงต่อไป
ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์คิดจะห้ามปราม แต่ทั้งสองกลับค้นพบอย่างประหลาดใจว่าหลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงผ้าพันแผลทิ้งไปแล้ว บาดแผลที่เคยมีก่อนหน้านี้ได้หายไปหมดแล้วจริงๆ เธอลงมาจากเตียงแล้วเดินเหินอย่างปกติ ก่อนเปิดประตูแล้วเดินตรงออกไป
“คุณชาย ร่างกายของคุณชาย เขา…” อวิ๋นเย่ว์เห็นซือหม่าโยวเย่ว์ออกไปก็ตกใจจนพูดไม่ออก
ชุนเจี้ยนดึงเธอเอาไว้แล้วส่ายหน้าให้นางเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องตกใจเรื่องคุณชาย
นางค้นพบแต่เนิ่นๆ แล้วว่าคุณชายไม่เพียงแต่อารมณ์เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น แต่ยังมีความลับเพิ่มขึ้นมากมายอีกด้วย ในฐานะสาวใช้ของเขา พวกนางทั้งสองไม่ถามอะไรเลยจะเป็นการดีที่สุด
ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปในลานบ้าน คราวก่อนที่มาที่นี่ก็คือตอนที่มากล่าวอำลาพร้อมกับเฟิงจือสิง คิดไม่ถึงว่าตนจะได้มาที่นี่อีกครั้งอย่างรวดเร็วเช่นนี้
ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสกำลังง่วนอยู่กับดอกไม้ใบหญ้าในลานบ้านของตน เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว มิได้หันมาก็รู้แล้วว่าเป็นใคร
“หลับมาหลายวันเช่นนี้ ในที่สุดเจ้าก็ตื่นแล้วสินะ”
“รบกวนท่านอาจารย์ใหญ่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์หลุบตาลงซ่อนเร้นความรู้สึกภายในจิตใจ
ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสลุกขึ้นมาจากสวนดอกไม้ ขณะนี้เขาดูราวกับชาวสวน ขากางเกงพับม้วนขึ้น มือไม้เต็มไปด้วยโคลน
“ข้ารับปากท่านปู่กับอาจารย์ของเจ้าเอาไว้ว่าจะดูแลเจ้า ก็ต้องดูแลเจ้าเป็นอย่างดีอยู่แล้วสิ” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสเดินออกมาแล้วพูดว่า “มากับข้าสิ”
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสกลั่นไอน้ำออกมาแล้วล้างโคลนบนมือออกจนสะอาด ในใจอับจนคำพูดอยู่บ้าง ใช้ปราณวิญญาณกลั่นไอน้ำมาล้างมือ มีเพียงเขาเท่านั้นที่ทำได้
ทั้งสองมาถึงห้องของท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโส เขาเข้าไปยังห้องข้างในครู่หนึ่งแล้วออกมาอย่างรวดเร็ว ในมือมีแหวนวงหนึ่งอยู่
เขาส่งแหวนให้ซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “ท่านปู่ของเจ้ามอบสิ่งนี้ให้ข้าก่อนเกิดเรื่อง ให้ข้าส่งมอบมันให้กับเจ้า”
ซือหม่าโยวเย่ว์รับแหวนมาแล้วกุมเอาไว้ในอุ้งมือแน่น
“ในเมื่อตอนนี้เจ้าไม่เป็นไรแล้วก็กลับบ้านไปสักคราหนึ่งเถิด” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสพูด “ข้าให้ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์มาอยู่ที่นี่ตลอดหลายวันมานี้เพื่อดูแลเจ้า ตอนนี้เจ้าหายดีแล้วก็ให้พวกนางกลับไปเถิด นอกจากนี้เจ้าเด็กพวกนั้นก็มาเยี่ยมเจ้าหลายครั้งเลยทีเดียว เรื่องในภายหน้า รอให้เจ้ากลับบ้านก่อนแล้วค่อยตัดสินใจเถิดนะ ข้าจะให้เจ้าหยุดเรียนสักระยะ รอให้เจ้าจัดการเรื่องทางบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยกลับมาเรียนก็ได้”
“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณท่านอาจารย์ใหญ่” ซือหม่าโยวเย่ว์คารวะอาจารย์ใหญ่ครั้งหนึ่งก่อนจะหมุนตัวจากไป
ชุนเจี้ยนกับอวิ๋นเย่ว์เก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ออกมา ทั้งสองก็รีบเข้าไปหา
“ชุนเจี้ยน หลายวันมานี้สถานการณ์ที่บ้านเป็นเช่นไรบ้าง” เมื่ออกมาจากวิทยาลัยแล้วสถานที่ต่างๆ ภายนอกก็ยังเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงจวนแม่ทัพที่กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้วขึ้นมาจึงเอ่ยถามขึ้น
“คุณชาย หลังจากที่ท่านหมดสติไป พวกเราก็อยู่กันที่วิทยาลัยมาตลอด มิได้ออกมาจากเรือนแห่งนั้นเลย ดังนั้นจึงไม่ทราบสถานการณ์ภายนอกเลยเจ้าค่ะ” ชุนเจี้ยนตอบ
“เช่นนั้นพวกเราก็กลับไปดูพร้อมกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์ถอนหายใจแล้วนำทางพวกนางเดินมุ่งหน้าออกจากวิทยาลัย
เมื่อเดินมาถึงบริเวณที่เคยเป็นจวนแม่ทัพ ซากปรักหักพังได้ถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เรือนหลังใหม่ยังมิได้ถูกปลูกขึ้นมา คนของจวนแม่ทัพเพียงแค่อาศัยอยู่ภายในเรือนที่เหลือรอดจากภัยร้ายเป็นการชั่วคราวเท่านั้น
“คุณชายห้า ท่านกลับมาแล้ว!” ทหารยามคนหนึ่งเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ จึงแจ้งข่าวดีให้คนอื่นๆ ทราบอย่างยินดี
“คุณชายห้า ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ขอรับ”
“คุณชายห้า…”
ทหารยามต่างกรูกันเข้ามา ล้อมซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้ตรงกลาง
พวกซือหม่าเลี่ยและซือหม่าโยวหมิงล้วนจากไปกันหมด ซือหม่าโยวเย่ว์จึงกลายเป็นเจ้านายเพียงคนเดียวของพวกเขาแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าให้พวกเขาเป็นเชิงว่าตนไม่เป็นไรแล้ว เมื่อเห็นว่าจำนวนคนของทหารยามมิได้ลดน้อยลงเลย เธอก็พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครทอดทิ้งจวนแม่ทัพไปเพียงเพราะว่าพวกซือหม่าเลี่ยไม่อยู่เลย
“ท่านพ่อบ้านเล่า”
“ท่านพ่อบ้านกำลังหารือธุระอยู่กับผู้จัดการทั้งหลายอยู่ทางฝั่งห้องครัวเก่าน่ะขอรับ” ทหารยามคนหนึ่งตอบ
“ดีเลย ขอบใจนะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เคยเป็นห้องครัว ขณะที่ผ่านหอหนังสือสะสมก็พบว่าบริเวณบ้านส่วนใหญ่ล้วนถูกทำลายไปหมด แต่หอหนังสือสะสมแห่งนี้กลับไม่เป็นไรเลยแม้แต่น้อย
“หรือว่าที่นี่เป็นสิ่งล้ำค่าอะไรบางอย่าง” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูหอหนังสือสะสมพลางเอ่ยพึมพำ
แต่ตอนนี้เธอยังไม่มีเวลามาตรวจสอบเรื่องนี้ จึงคิดว่าภายหลังหากมีเวลาค่อยมาดู หลังจากนั้นจึงตรงไปยังห้องครัว
ตอนนี้ห้องครัวก็ยังคงเป็นห้องครัวอยู่ แต่ห้องกินข้าวข้างๆ ได้กลายเป็นห้องประชุมไปแล้ว
ขณะที่ซือหม่าโยวเย่ว์ไปถึงนั้นพ่อบ้านกำลังหารือธุระอยู่กับผู้จัดการทั้งหลาย เมื่อเห็นเธอเข้ามา ผู้คนภายในห้องต่างพากันลุกขึ้นยืน
“คุณชายห้า ร่างกายท่านหายดีแล้วหรือ” พ่อบ้านถามอย่างตื่นเต้นยินดี
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้พวกท่านช่วยเล่าสถานการณ์ของจวนแม่ทัพกับเมืองหลวงให้ข้าฟังหน่อยสิ เอ้อ… พวกท่านกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถิด ให้ท่านพ่อบ้านอยู่เล่าให้ข้าฟังก็พอแล้ว”
เมื่อได้รับคำสั่งของเธอ ผู้จัดการทั้งหลายจึงพากันออกไป เหลือเพียงแค่พ่อบ้านกับเธอสองคนเท่านั้น
ซือหม่าโยวเย่ว์หาที่ว่างแล้วนั่งลงฟังสถานการณ์ปัจจุบันที่พ่อบ้านเล่าให้ฟัง สีหน้าไม่น่าดูยิ่งขึ้น ไฟโทสะในดวงตาทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ