“เอาล่ะ ถ้าหากเจ้าฝึกสัตว์อสูรทิพย์ให้เชื่องได้จริงๆ เช่นนั้นพวกเราจะจัดการเรื่องสัตว์อสูรวิเศษและนักฝึกสัตว์อสูรของตระกูลซือหม่าในระยะนี้ให้ นอกจากนี้จะไม่คิดค่าใช้จ่ายกับพวกเจ้าอีกด้วย” รองประธานสมาคมพูด “ถ้าหากเจ้าไม่อาจฝึกสัตว์อสูรวิเศษได้ เช่นนั้นพวกเราสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็ยังจะช่วยอยู่ดี เพียงแต่จะเก็บค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่ง”
“ได้สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า “แต่ข้ามีคำขอเล็กๆ น้อยๆ อย่างหนึ่ง”
“เจ้าว่ามาได้เลย”
“ข้าจะฝึกสัตว์อสูรในที่สาธารณะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ฝึกสัตว์อสูรในที่สาธารณะอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว จะให้ดีต้องเป็นสถานที่ที่มีคนจำนวนมากๆ อย่างเช่นจัตุรัสอะไรทำนองนี้จะเป็นการดีที่สุด” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ
รองประธานสมาคมคิดดูก็รู้ความคิดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้ว ถ้าหากเธอฝึกสัตว์อสูรทิพย์ให้เชื่องท่ามกลางผู้คนจำนวนมากได้ เช่นนั้นสถานะในอาณาจักรตงเฉินของเธอก็จะพุ่งทะยานสูงขึ้นในทันใด ผู้คนที่คิดร้ายต่อตระกูลซือหม่าเหล่านั้นย่อมต้องร่นถอยไป นอกจากนี้เธอยังอาศัยชื่อเสียงของตนเองดึงดูดเหล่าปรมาจารย์วิญญาณพเนจรได้อีกด้วย
“เช่นนั้นข้าจะให้คนไปจัดการสักครู่ อีกประเดี๋ยวพวกเราไปฝึกสัตว์อสูรที่จัตุรัสกลางเมืองหลวงกัน!”
ระหว่างที่คนเหล่านั้นไปเตรียมการ รองประธานสมาคมก็พาซือหม่าโยวเย่ว์ดูสัตว์อสูรทิพย์ที่เพิ่งมาถึง
อสูรหมีดินขั้นสองตนหนึ่งถูกขังอยู่ภายในกรง เมื่อเห็นว่ามีคนมา นัยน์ตาก็มีแววดุร้ายวาบผ่าน
“สัตว์อสูรทิพย์ขั้นสองหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเพียงปราดเดียวก็รู้ระดับขั้นของอสูรหมีดินแล้วเอ่ยถามขึ้น
“พลังจิตของอสูรหมีดินตนนี้ค่อนข้างแกร่งกล้า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นขั้นสอง แต่ระดับความยากก็ไม่น้อยไปกว่าสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสามตนอื่นๆ เลย” รองประธานสมาคมพูด
“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์มองอสูรหมีดินที่กระสับกระส่ายไม่หยุดภายในกรงอย่างไม่เป็นกังวลถึงผลลัพธ์ในตอนท้ายเลยแม้แต่น้อย
ขณะนี้เอง เด็กรับใช้สองคนก็เดินเข้ามาแล้วคารวะรองประธานสมาคมก่อนจะเอ่ย่า “ท่านรองประธานสมาคม พวกเรามานำตัวสัตว์อสูรวิเศษไปแล้วขอรับ”
รองประธานสมาคมพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ไปเถิด ระวังด้วยล่ะ”
“ขอรับ”
สองคนนั้นเดินเข้ามายกกรงออกไป ถึงแม้จะเป็นร่างจำแลง แต่ก็มิอาจมองข้ามขนาดตัวของอสูรหมีดินไปได้โดยง่าย
“พวกเราก็ไปกันดีกว่า” รองประธานสมาคมพูดจบแล้วเดินนำออกไป
ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวเท้าจะตามไป แต่ถูกเว่ยจือฉีรั้งเอาไว้
“เป็นอะไรไปหรือ” เธอมองเว่ยจือฉีอย่างไม่เข้าใจ
เว่ยจือฉีดึงตัวนางไว้พลางเอ่ยเสียงเบา “โยวเย่ว์ เจ้าทำให้อสูรหมีดินเชื่องได้จริงๆ หรือ นี่มันสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสองเชียวนะ ถ้าหากทำให้มันเชื่องมิได้ เจ้าจะได้รับบาดเจ็บจากการสะท้อนกลับเอานะ”
“เจ้าวางใจเถิด ข้าเคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดยิ้มๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปพร้อมกับรองประธานสมาคม
เว่ยจือฉีมองเงาหลังของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วถอนหายใจก่อนจะเดินตามไป
ถึงแม้เขาจะรู้ว่านางมั่นใจในตัวเองมาโดยตลอด พูดได้ก็ทำได้ แต่เขาก็ยังลังเลที่จะเชื่อว่านางเป็นนักฝึกสัตว์อสูรแล้วอยู่บ้าง
ขณะที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์ไปถึงจัตุรัส ที่นั่นก็มีผู้คนแน่นขนัดแล้ว ห้อมล้อมทั่วทั้งจัตุรัสจนแม้แต่หยดน้ำก็ยังไหลผ่านไม่ได้ เมื่อได้ยินว่าจะมีคนฝึกสัตว์อสูรท่ามกลางสาธารณชน ทุกคนจึงพากันวิ่งมาอย่างอยากรู้อยากเห็น
สือมั่วลี่และน่าหลานหลานก็ผ่านมาทางจัตุรัสพอดี เมื่อได้ยินว่าคนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรจะมาฝึกสัตว์อสูร จึงลงมาจากรถม้าของตนพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายแล้วมาที่กลางจัตุรัส อยากจะดูสักหน่อยว่าที่แท้เป็นใครกันที่ทำเช่นนี้
“หลีกทาง” ทหารยามคนหนึ่งเปิดทางอยู่หน้าพวกรองประธานสมาคม เมื่อทุกคนเห็นว่าเป็นคนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร จึงเปิดเส้นทางให้อย่างรู้ตัว
ถึงแม้ว่ายามปกติรองประธานสมาคมผู้นี้จะรักสันโดษ แต่คนเมืองหลวงส่วนใหญ่ล้วนรู้จักเขากันทั้งสิ้น เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่ตามมาด้านหลังเขา ผู้คนไม่น้อยต่างพากันสงสัย ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไร
รองประธานสมาคมพาตัวซือหม่าโยวเย่ว์มายังกลางจัตุรัส ที่นั่นมีกรงใส่อสูรหมีดินวางอยู่
“ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง” รองประธานสมาคมถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูผู้คนรอบๆ ปราดหนึ่ง ไม่เลว คนของขุมอำนาจจำนวนมากล้วนมากันทั้งสิ้น นอกจากนี้คนของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรยังรวดเร็วกันเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ดึงดูดผู้คนมาได้มากมายเช่นนี้เท่านั้น แต่ยังจัดวางเส้นเขตแดนชั่วคราวเอาไว้อีกด้วย ทำให้ผู้คนที่มาชมดูความคึกคักมุงกันอยู่ภายนอก
“ดีมาก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เช่นนั้นเจ้าปรับสภาพสักครู่หนึ่งแล้วเริ่มเลยดีกว่า” รองประธานสมาคมพูด
“ไม่ต้องหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วเดินไปยังตรงกลางจัตุรัส เธอเดินไปตรงหน้ากรงแล้วนั่งลง
“ซือหม่าโยวเย่ว์?”
“เขานั่งตรงหน้ากรงทำไมกัน”
“ตระกูลซือหม่ามิได้เกิดเรื่องหรอกหรือ เหตุใดเขาจึงยังอยู่ที่นี่ได้เล่า”
“เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา เขาจะฝึกสัตว์อสูรอย่างนั้นหรือ”
“มิใช่กระมัง! เขามิใช่คนไร้ค่าหรอกหรือ จะเป็นนักฝึกสัตว์อสูรได้อย่างไรกัน”
“เจ้าเพิ่งมาจากโลกภายนอกสินะ ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้มิใช่คนไร้ค่ามาตั้งนานแล้ว เมื่อหนึ่งปีก่อนก็เริ่มฝึกยุทธ์ได้แล้ว นอกจากนี้ตอนนี้ยังเป็นนักหลอมยาขั้นสองแล้วด้วย ชาตินี้พวกเราก็คงไม่มีพรสวรรค์เช่นนี้หรอก จะยังเป็นคนไร้ค่าได้อย่างไรเล่า”
“อะไรนะ เขาเป็นนักหลอมยาอย่างนั้นหรือ ทั้งยังเป็นขั้นสองเชียวหรือ!”
“ก็ใช่น่ะสิ คราวก่อนตอนงานเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาท เขายังหลอมยาท่ามกลางสาธารณชนอีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วเมืองหลวงเลยนะ”
“เขาเป็นนักหลอมยา แต่เหตุใดข้าจึงเห็นท่าทางเขาเหมือนกำลังจะฝึกสัตว์อสูรเลยเล่า”
“หรือว่าเขาเป็นนักฝึกสัตว์อสูร”
“จะเป็นไปได้อย่างไร แค่เขาเป็นนักหลอมยาก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว จะยังเป็นนักฝึกสัตว์อสูรอีกได้อย่างไรกัน ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นพวกเราคงต้องแทรกแผ่นดินหนึกันหมดแล้วล่ะ หากเป็นเช่นนี้พวกเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมกัน”
“แต่ข้าเห็นท่าทางเขาเหมือนกำลังจะฝึกสัตว์อสูรจริงๆ นี่นา!”
“ถ้าหากเขาเป็นนักฝึกสัตว์อสูร ทั้งยังเป็นนักหลอมยาจริงๆ เช่นนั้นเขาจะเป็นคนที่ร้ายกาจขนาดไหน! ต่อให้ตระกูลซือหม่าเหลือเขาเป็นเจ้านายอยู่เพียงคนเดียว ก็ไม่มีทางล่มจมอย่างแน่นอน”
“พวกเจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่าดูเหมือนสิ่งที่อยู่ในกรงจะเป็นสัตว์อสูรทิพย์!”
“อะไรนะ!”
คราวนี้สายตาของทุกคนไปจับอยู่ภายในกรง จึงพบว่าเป็นสัตว์อสูรทิพย์ตนหนึ่ง ถ้าหากเขาฝึกมันให้เชื่องได้สำเร็จ เช่นนั้นเขาก็คือนักฝึกสัตว์อสูรจริงๆ แล้ว…
ทุกคนไม่กล้าคิดต่อไปเพราะกลัวว่าหากตนคิดต่อไปจนจบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว
ผู้คนจำนวนไม่น้อยล้วนเชื่อว่าซือหม่าโยวเย่ว์เป็นนักฝึกสัตว์อสูรแล้ว แต่แน่นอนว่าย่อมมีคนไม่เชื่อเช่นกัน
สือมั่วลี่ไม่เชื่อ นางมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยว่า “ซือหม่าโยวเย่ว์ ตระกูลซือหม่าเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ เจ้าไม่ยอมอยู่ติดบ้านแล้ววิ่งออกมาทำไมกัน เจ้ามิใช่นักหลอมยาหรอกหรือ ทำไมเล่า เจ้าคิดว่าเจ้าสัตว์อสูรวิเศษนี่จะยอมให้เจ้าควบคุมได้เหมือนเครื่องยาอย่างนั้นหรือ หรือเจ้ายังคิดว่าเจ้าเป็นนักฝึกสัตว์อสูรด้วย ถ้าหากข้าเป็นเจ้าคงไม่มีทางมาขายขี้หน้าที่นี่หรอกนะ!”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองสือมั่วลี่ปราดหนึ่งแล้วพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “ผู้ใดกำหนดหรือว่าเป็นนักหลอมยาแล้วมิอาจเป็นนักฝึกสัตว์อสูรได้”
พอพูดจบเธอก็ยื่นมือเข้าไปในกรง
ผู้คนจำนวนไม่น้อยเห็นเธอสัมผัสอสูรหมีดินตรงๆ ก็ตกใจจนหลับตาแน่น
กรงสัตว์อสูรวิเศษนี้ดูเหมือนจะกักพลังยุทธ์ของมันเอาไว้ด้วย ถึงแม้ว่าแววตาจะดุร้าย ทั้งยังหงุดหงิดอย่างยิ่ง แต่กลับมิได้ขบกัดมือเธอแต่อย่างใด
เธอวางมือลงบนหน้าผากของอสูรหมีดินแล้วโคจรเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรขึ้นมา เริ่มต้นฝึกมันให้เชื่อง
เป่ยกงถัง โอวหยางเฟย และเจ้าอ้วนชวีผ่านทางมา ก็เห็นเว่ยจือฉีผู้ยืนอยู่กลางพื้นที่ว่าง จึงรีบเบียดตัวเข้ามาดูว่าเหตุการณ์เป็นเช่นไร เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่กำลังฝึกอสูรหมีดินอยู่ เจ้าอ้วนชวีก็ตกใจจนคางแทบร่วงหล่นลงมา
“จือฉี โยวเย่ว์กำลังทำอะไรน่ะ เจ้าอย่าบอกว่านางกำลังฝึกสัตว์อสูรอยู่เชียวนะ!” เจ้าอ้วนชวีมายังข้างกายเว่ยจือฉีแล้วถามขึ้น
“เจ้ามิได้เห็นหมดแล้วหรอกหรือ” เว่ยจือฉีกลอกตาใส่เจ้าอ้วนชวีปราดหนึ่ง
เป่ยกงถังมองอสูรหมีดินภายในกรงพลางเอ่ยว่า “ที่อยู่ในกรงคงเป็นสัตว์อสูรทิพย์สินะ ทั้งยังเป็นอสูรหมีดินขั้นสองอีกด้วย”
“อะไรนะ!” เจ้าอ้วนชวีได้ฟังแล้วรีบยื่นมือไปกุมคางของตัวเองเอาไว้ มิฉะนั้นเขาก็กลัวว่าคางของตนคงจะหล่นหายไปเสียจริงๆ