ซือเป่ยกระชับง้าวสงครามเอาไว้ เท้าของเขาเหยียบลงไปบนเวทีที่ย้อมอาบเลือด ในปากว่าคาถา แววตาเป็นประกาย นั่นเป็นแววตาของคนที่กำลังสมความปรารถนา
พอร่างเงาของคนผู้นั้นลอยเข้ามาใกล้ ซือเป่ยก็ปักง้าวลงไปบนพื้นเวทีใกล้ฝ่าเท้า
ทันใดนั้นประกายแสงสีทองก็แผ่พุ่งออกมาจากฝ่าเท้าของเขาระเบิดออกเป็นดอกไม้เพลิงผลิบานขนาดใหญ่ดอกหนึ่ง
แสงสีทองเข้าไปในร่างกายของเขา ผลักดันหมอกสีดำในร่างของเขาออกไป
เป็นพลังที่ฮึกเหิมและรุนแรง!
เหล่าศิษย์มารที่คุกเข่าอยู่บนพื้น พากันเงยหน้าขึ้นมา จับจ้องไปยังเงาร่างของคนผู้นั้น
เทพสงครามของแดนสวรรค์แข็งแกร่งกว่าที่พวกมันคาดการณ์เอาไว้ แต่ว่านั่นคือราชันย์แห่งจอมมารนะ!
เทพสงครามคิดว่าตนเองจะสามารถปราบราชันย์แห่งจอมมารได้โดยง่ายๆอย่างนั้นหรือ?
ไม่มีทาง……ไม่ง่ายดายขนาดนั้น
ตู๋กูจุนยืนอยู่ด้านหลังของซือเป่ย ดาบยักษ์ในมือของเขากำลังสั่นสะท้านและเปล่งเสียงออกมา เขามองดูเลือดสดที่แผ่กระจายอยู่ทั่วเวที ในสมองก็เห็นภาพที่หยวนเมิ่งร่างสลายลงไปตรงหน้าของตนเอง
หัวใจของเขาต้องปวดร้าวราวพันดาบหมื่นกระบี่ทิ่มแทง
เขาแทบจะอยากทำลายซือเป่ยให้กลายเป็นเศษซากเสียเดี๋ยวนี้
เพียงแต่ว่าในตอนนี้ หลังแสงสีทองเปล่งประกายออกมาแล้ว ก็ถูกหมอกสีดำที่หนาแน่นครอบคลุมลงไปอีกครั้ง
ที่จริงแล้ว หมอกสีดำที่รายล้อมอยู่รอบกายของเขา ยังเข้มข้นกว่าหมอกดำที่อยู่รอบกายของคนในเงาที่กำลังลอยเข้ามาเสียอีก
นั่นเป็นไอมาร
ตระกูลซือถือเป็นตระกูลเก่าแก่และสูงศักดิ์ในแดนสวรรค์มาแต่โบราณ นับตั้งแต่แดนสวรรค์ก่อกำเนิดขึ้นมา บรรพชนของตระกูลซือก็จงรักภักดีต่อจักรพรรดิสวรรค์เสมอมา
เกรงว่าบรรพชนต้นตระกูลมิว่าอย่างไรก็คงจะคิดไม่ถึงว่า สุดท้ายแล้ว ลูกหลายของตระกูลซือจะไปเข้าร่วมกับฝ่ายมาร
……………
อีกด้านหนึ่ง ภายในรถม้า ตู๋กูซิงหลันเองก็หรี่ดวงตาลง
คนที่อยู่ในเงาแม้จะถูกระเบิดแสงสีทองทั่วร่างของซือเป่ยเพุ่งเข้าใส่ ……แต่ว่าก็แทบจะไม่มีผลอะไรกับเขาเลยสักนิด
อ้อ นอกเสียจากว่า ไอมารในร่างของเขาอ่อนจางลงไปมากเท่านั้น
กับจอมมารผู้นี้ ตู๋กูซิงหลันจะมากน้อยก็มีความสงสัยในใจอยู่พอสมควร นางอยากจะมองดูให้ชัดว่าอีกฝ่ายมีหน้าตาเช่นไรกันแน่
ก็เหมือนกับเมียเมียที่ถูกกักขังเอาไว้ในเจดีย์กำราบเทพมาร แม้ผ่านไปเนิ่นนานหลายปีก็ไม่มีวันตาย
เมื่อไอมารของเขาแผ่กระจายออกมา แสงสีทองที่จู่โจมใส่เขาก็สลายตัวไปหมด จากนั้นใบหน้าที่อยู่ด้านหลังก็ค่อยๆปรากฏออกมา
รอจนตู๋กูซิงหลันได้เห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน ใบหน้าที่ตอนแรกยังสงบนิ่งอยู่ก็ต้องพลันแปรเปลี่ยนไป
นั่นคือ…..
เกิดอะไรขึ้น?
ใบหน้านั้น…..ช่างเหมือนกับตี้เสียอย่างไม่มีอะไรผิดเพี้ยน
นอกเสียแต่ว่านัยตาและเส้นผมไม่ได้เป็นสีทองเท่านั้น…..
ตู๋กูซิงหลันกุมกระจกในมือของตนเองแนบแน่นกว่าเดิม นางยังหยิกหลังมือของตนเองครั้งหนึ่ง ด้วยคิดว่าบางทีตนเองอาจจะตาฝาดไป
หากว่านางจดจำได้ไม่ผิดละก็ สงครามระหว่างเทพและมารนั้นมีมาเนิ่นนานแล้ว นับตั้งแต่อดีตจักรพรรดิสวรรค์จนมาถึงจักรพรรดิสวรรค์องค์ปัจจุบัน
จนกระทั่งเมื่อตี้เสียขึ้นครองราชย์แล้ว เผ่ามารถึงได้ถูกกำราบจนสิ้นซาก
ซือเป่ยนำทัพนักรบสวรรค์กว่าแสนคนสังหารไปทั่วทั้งภพมาร จากนั้นราชันย์แห่งจอมมารก็ถูกผนึกเอาไว่ในภูเขาจิ่วโจวซาน ถูกเพลิงเผาผลาญทั้งวันและคืน
เรื่องเล่านี้ล้วนเป็นบิดาคนงามบ่งบอกนาง ตู๋กูซิงหลันล้วนจดจำได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นสถานที่ที่ทั้งหมดอยู่ในตอนนี้ ก็คือจิ่วโจวซานของภพมาร
ดวงจันทร์สีดำดวงนั้น ใจกลางของจิ่วโจวซาน…..นรกมาร
แต่ว่าต่อให้นางครุ่นคิดจนสมองแตกก็ยังคงคิดไม่ถึงว่า….จอมมารผู้นั้นจะมีรูปโฉมดุจเดียวกับตี้เสีย!
เพียงแค่ผมสีดำนัยตาสีดำเท่านั้น
ภายใต้แสงจันทร์เต็มดวงสีดำ เขาเปลือยร่างท่อนบน เส้นผมที่ยาวสยายแทบจะโอบล้อมร่างท่อนบนทั้งหมดเอาไว้
แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถมองเห็นว่าบนผิวเนื้อนั้น มีอักขระมารอยู่หนาแน่นไปหมด
ตู๋กูซิงหลันสูดลมหายใจเย็นเฉียบเข้าไปหลายๆรอบ หากเป็นแต่ก่อนยามที่จอมมารยังมีร่างอยู่ในพิภพ เขาย่อมสามารถเปลี่ยนร่างเป็นบุคคลต่างๆให้ผู้คนได้พบเห็น แต่ว่าร่างเนื้อของเขาตายไปตั้งแต่ในสงครามภูติเทพแล้ว
จิตมารย่อมต้องกลับสู่รูปร่างเดิม ไม่อาจแปลกปลอมได้
เช่นนี้แล้วตกลงมันคือเรื่องอะไรกันแน่?
……………………
บนเวที เมื่อซือเป่ยได้เห็นรูปโฉมของจอมมาร เขาก็ต้องตกตะลึงไปทั้งร่าง
คราวนี้ มือของเขาถึงกับสั่นสะท้านขึ้นมา สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นปั้นยาก
“นี่มัน….จะเป็นไปได้อย่างไร?!”
ง้าวเทพสงครามในมือที่อาบย้อมไปด้วยเลือดยังคงปักอยู่บนเวที
วินาทีที่มองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน เชาถึงกับลืมไปแล้วว่าต้องการจะสูบพลังของอีกฝ่าย
ตี้เสียหลับลึกอยู่ในแดนสวรรค์ แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงไร แต่ว่าจิตเทพของเขาก็กำลังถูกสลายลงไปทีละเล็กทีละน้อย มิว่าจะอย่างไรตี้เสียก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
จุดนี้ ซือเป่ยมีความมั่นใจ
และตอนนั้น เขาเข้ารับหน้าที่แม่ทัพแทนซือหนาน นำทัพนักรบสวรรค์ทั้งแสนนายบุกไปเข่นฆ่าสังหารเผ่ามาร
จอมมารนั้นตอนนั้น เขาเองก็เคยได้เห็นมาก่อน เขามิได้มีรูปร่างหน้าตาเช่นตี้เสียอย่างแน่นอน
แต่ว่าตอนนี้…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เขาถึงกับตื่นตะลึงและนิ่งอึ้งไปเนิ่นนาน
พอได้สติขึ้นมา ก็คิดจะชักง้าวสงครามออกมาโจมตีใส่จอมมาร แต่ว่าในตอนนั้นเอง อยู่ๆก็พลันมีพลังหยินพวยพุ่งขึ้นมาเป็นพายุจากทั่วทุกทิศทาง
พายุที่พัดโหมมาถึง ทำให้หมอกหนากระจายตัวออกไป
เสียงลมพัดหวีดหวิวเหมือนดั่งเสียงภูติผีกรีดร้อง
จีเฉวียนปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางเสียงนั้นเอง ไม่รู้ว่าเขามาปรากฏตัวได้อย่างไร คล้ายดังว่าลงมาจากฟากฟ้า และก็เหมือนว่าออกมาจากพระจันทร์สีดำเช่นกัน
เพียงแต่ว่าก่อนที่เขาจะปรากฏตัวขึ้นมานั้น ไม่มีผู้ใดรู้มาก่อนเลย
รวมถึงซือเป่ยด้วย
อยู่ๆคนที่เหมือนกับตี้เสียก็ปรากฏตัวขึ้นมา ก็เพียงพอจะทำให้ ซือเป่ยตกใจมากแล้ว ตอนนี้อยู่ๆก็มีจีเฉวียนปรากฏตัวขึ้นมาอีก เขาจึงยิ่งตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกไปกันใหญ่
ตอนนี้เขายังไม่ได้เริ่มดูดซับพลังของจอมมารเลย หากว่าต่อสู้กันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง เกรงว่ายังพอจะมีโอกาสอยู่บ้าง แต่ว่าหากเขาต้องต่อสู้กับทั้งสองพร้อมกัน เขารู้แน่นชัดว่าความเป็นไปได้ที่จะชนะมีไม่มาก
ที่จริงคือไม่อาจเป็นไปได้เลย
ใต้แแสงจันทร์สีดำ จีเฉวียนสวมใส่ชุดสีดำอมทอง รูปร่างที่สูงโปร่งดูสง่างามอย่างยิ่ง ใบหน้านั้นซ่อนอยู่ในเงามืด เสื้อผ้าบนร่างปลิวไปตามสายลม
พอเหล่ามารได้เห็น มีอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ที่พวกมันรู้สึกว่า หากเปรียบเทียบกับหลีฉิงแล้ว จีเฉวียนดูเหมาะจะเป็นจอมมารมากกว่า
จีเฉวียนมายืนอยู่ข้างกายตู๋กูจุน ที่ด้านหลังของเขาคือเสายักษ์ที่ล้มลงไป และบนนั้นยังมีโซ่ตรวนที่เคยล่ามหยวนเมิ่งเอาไว้
ดวงตาหงส์คู่นั้นหรี่ลง เห็นฝ่ามือของเขาขยับ หุ่นมนุษย์ขนาดเล็กเท่าหัวแม่โป้งก็ปรากฏตัวขึ้นมาบนฝ่ามือจากนั้นก็กระโดดลงไป หล่นลงบนพื้นเวที ที่เต็มไปด้วยเลือดของหยวนเมิ่ง
ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เร็วเพียงชั่วพริบตา จนไม่ทันมีผู้ใดจะสังเกตเห็น
ตู๋กูจุนเงยหน้าขึ้นมองดูเขาแวบหนึ่ง เขาไม่ทันจะได้เอ่ยปาก ก็เห็นสายตาของจีเฉวียนย้ายไปอยู่ที่ร่างของจอมมารหลีฉิงแล้ว
จอมมารผู้นั้นดูไปเหมือนยังมิได้ตื่นขึ้นมาอย่างเต็มที่ ดวงตาสีดำคู่นั้นลืมขึ้นมาเพียงครึ่งเดียว แววตาดูว่างเปล่าอยู่บ้าง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง…” จีเฉวียนปรายตามองแล้วก็เอ่ยออกมาคำหนึ่ง
พอโบกมือขึ้น เบื้องหน้าของเขาก็ปรากฏพิณโบราณหลังหนึ่ง
ทันทีที่พิณเล่มนั้นปรากฏขึ้นมา สีหน้าของซือเป่ยก็เปลี่ยนไป
เขาคว้าง้าวสงครามขึ้นมา จดจ้องไปที่จีเฉวียนด้วยสีหน้าถมึงทึง “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
จีเฉวียนไม่สนใจเขา ข้อมือขยับเคลื่อน เสียงพิณสำเนียงหนึ่งก็ดังออกจากปลายนิ้วไป
“ติ้ง….”
ทันทีที่พิณดังออกไป คลื่นเสียงก็กลายเป็นอาวุธที่แหลมคม พุ่งเฉียดลำคอของซือเป่ยไป
ยังดีที่ซือเป่ยมีปฏิกริยาว่องไว เขาขยับร่างถอยหลังไปวูบหนึ่ง ก็หลบพ้นจุดชีวิตได้อย่างหวุดหวิด
ร่างของเขายังไม่ทันจะได้ยืนหยัดอย่างมั่นคง จีเฉวียนก็ส่งยิ้มเย็นชาออกมา “แน่นอนว่า….จะฆ่าคนแล้ว”
……….