ซือหม่าโยวเย่ว์ขี่เจ้าคำรามน้อยกลับมายังเทือกเขาสั่วเฟยย่า ตอนกลับไปนั้นเจ้าอ้วนชวีกำลังต่อสู้กับเว่ยจือฉีอยู่
การต่อสู้ระหว่างพวกเขาทั้งห้า มักจะใช้อาวุธจริงทุกครั้ง เพราะอยากจะทำให้อีกฝ่ายก้าวหน้าขึ้น มีเพียงการต่อสู้ที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะทำให้คนพัฒนาขึ้นได้
พวกเขาไม่อยากจะเป็นไม้ประดับที่ถึงเวลาจริงแล้วเก่งแค่การบำเพ็ญ แต่ไร้ซึ่งพลังการต่อสู้
ซือหม่าโยวเย่ว์หยุดลงข้างกายพวกเป่ยกงถัง ส่วนเจ้าคำรามน้อยก็หดร่างกายเล็กลงก๋อนจะไปวิ่งเล่น
เธอไม่เป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของเจ้าคำรามน้อยเลย บางทีอาจเพราะมันเป็นสัตว์มงคล ดังนั้นไม่ว่าระดับขั้นจะสูงต่ำเพียงใด มันก็เล่นกับผู้อื่นได้ทั้งสิ้น สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นไม่มีทางทำร้ายมันแน่นอน
เป่ยกงถังพยักหน้าให้ซือหม่าโยวเย่ว์แล้วถามว่า “จัดการเสร็จแล้วหรือ”
“อืม มอบให้พวกท่านอาฝูหมดแล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เห็นเจ้าอ้วนชวีโจมตีเข้าใส่เว่ยจือฉีอย่างรวดเร็วจึงถอนหายใจเอ่ยว่า “ความเร็วของเจ้าอ้วนเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนไม่น้อยเลย!”
“อืม น้ำหนักลดไปไม่น้อย ดูท่าทางสิ่งนี้จะได้ผล” โอวหยางเฟยพูด
“หลายเดือนมานี้เจ้าอ้วนน้ำหนักลดไปหลายสิบโลเลยกระมัง ต่อจากนี้เขาไม่อ้วนแล้ว พวกเรายังจะเรียกเขาว่าเจ้าอ้วนอยู่อีกหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางอย่างครุ่นคิด
“เขาไม่อ้วนแล้ว ดูๆ ไปก็ออกจะไม่คุ้นชินอยู่บ้าง” เป่ยกงถังพูด
เจ้าอ้วนชวีได้ยินพวกเขาพูดถึงรูปร่างของตนอยู่ตรงนั้นจึงกลอกตาใส่โดยไม่เอ่ยวาจา แต่มือกลับมิได้เคลื่อนไหวช้าลงเลย
ตอนนี้เขามิใช่เด็กหัวขนที่ตอนเข้าสู่ภูเขาใหม่ๆๆ พอได้ยินพวกเขาพูดถึงตนจนจิตใจฟุ้งซ่าน แล้วถูกคู่แข่งโยนออกไปอีกต่อไปแล้ว การฝึกอย่างยากลำบากตลอดหลายเดือนมานี้ทำให้เขาเติบใหญ่ขึ้นมาไม่น้อยเลย
เว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีต่อสู้กันมาเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็ยังคงเป็นเว่ยจือฉีที่เหนือกว่าอยู่เล็กน้อย
ถึงแม้ว่าเจ้าอ้วนชวีจะพ่ายแพ้ แต่ก็ยังคงอารมณ์ดี เขาเอนตัวลงบนพื้นแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น “ฮ่าๆ คราวนี้ข้ายืนหยัดได้นานกว่าครั้งก่อนเสียอีก จือฉี ไม่แน่ว่าอีกไม่นานข้าอาจจะเอาชนะเจ้าแล้วก็ได้!”
“ข้าจะรอนะ” เว่ยจือฉีพูดอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ทั้งสองพักผ่อนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยก็เริ่มสู้กันบ้าง เพิ่งต่อสู้กันไปได้ไม่นานก็ได้ยินเจ้าคำรามน้อยวิ่งเข้ามาหาพวกเขาด้วยเสียงโหยหวน
“เย่ว์เย่ว์ วิ่งหนีเร็วเข้า โจรร้ายมาแล้ว!”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปยังทิศทางที่เจ้าคำรามน้อยวิ่งมาปราดหนึ่งแล้วก็ตะลึงตาค้างไปในทันใด บ้าเอ๊ย สัตว์อสูรเทพฝูงนั้นนั่นมันเรื่องบ้าอันใดกัน!
เจ้าคำรามน้อยเหาะมาตรงหน้า สัตว์อสูรเทพฝูงหนึ่งไล่ตามมาด้านหลัง ท่าทีดุร้ายโหดเหี้ยมนั้นดูคล้ายกับว่าเจ้าคำรามน้อยไปยั่วยุพวกมันแล้วจึงถูกเขาไล่ล่าสังหาร
“เย่ว์เย่ว์ ช่วยข้าด้วย!” เจ้าคำรามน้อยมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แต่ไกล จึงเพิ่มความเร็วเหาะตรงมาทางเธอ ซือหม่าโยวเย่ว์ได้สติกลับคืนมาในทันทีแล้วตะโกนเสียงดังไปทางพวกเป่ยกงถังว่า “โอวหยาง เป่ยกง เลิกสู้กันได้แล้ว วิ่งหนีเร็วเข้า! เจ้าอ้วน อย่ามัวแต่นอนสิ รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า!”
“มีเรื่องอันใดหรือ โยวเย่ว์ ข้าเหนื่อยจนไม่มีแรงวิ่งแล้วล่ะ!” เจ้าอ้วนชวีเอนกายอยู่บนพื้น ยังไม่รู้ว่าอันตรายมาเยือนเสียแล้ว
“ข้าก็ด้วย หมดแรงแล้วล่ะ” เว่ยจือฉีพูด
สัตว์อสูรวิเศษในละแวกนี้ล้วนถูกพวกเขาเก็บกวาดไปรอบหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีสัตว์อสูรวิเศษเต็มใจออกมากันสักเท่าใดนัก สองวันนี้พวกเขากำลังคิดจะย้ายถิ่นฐานกันอีกครั้งอยู่พอดี ดังนั้นตอนที่พวกเขาต่อสู้กันจึงมิได้ออมแรงตนเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเป่ยกงถังและโอวหยางเฟยได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงหยุดลงก่อนจะมองไปยังทิศทางที่เกิดความเคลื่อนไหว ก็เห็นสัตว์อสูรเทพฝูงหนึ่ง ทั้งสองก็ตะลึงงันไปทันที แต่เสียงตะโกนของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้พวกเขาได้สติกลับคืนมาแล้ววิ่งเข้ามาช่วยซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวสองคนบนพื้นขึ้นมาแล้วออกวิ่ง
เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีจึงค่อยค้นพบว่ามีสัตว์อสูรเทพฝูงหนึ่งกำลังบุกเข้ามา คราวนี้ไม่ต้องให้พวกซือหม่าโยวเย่ว์เร่ง พวกเขาก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วกันเองแล้ว
“ข้าตรวจสอบดูแล้ว สัตว์อสูรเทพมิได้อยู่กันแต่ที่บริเวณชั้นในหรอกหรือ แล้วที่นี่มีสัตว์อสูรเทพมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน!” เจ้าอ้วนชวีเห็นสัตว์อสูรเทพที่เคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยถามขึ้น
“เจ้าคำรามน้อยจะต้องก่อเรื่องอีกเป็นแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่ามันต้องไปล่วงเกินผู้ที่ไม่สมควรล่วงเกินเข้าอีกแล้วเป็นแน่ ไม่สิ ล่วงเกินสัตว์อสูรวิเศษต่างหากเล่า
“ไม่ได้ ข้าวิ่งไม่ไหวแล้ว!” เจ้าอ้วนชวีวิ่งไประยะหนึ่งก็เหนื่อยเหลือเกินแล้วจริงๆ ไม่เหลือเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูสัตว์อสูรเทพที่เล็งเป้าพวกเขาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะวิ่งกันต่อไปก็มิใช่วิธีการที่ดีนัก สัตว์อสูรเทพตั้งหลายตัว ทั้งยังมีสัตว์อสูรทิพย์อีกจำนวนไม่น้อย พอจะปลิดชีพพวกเขาได้ในเสี้ยววินาที
หมดหนทางแล้ว!
ซือหม่าโยวเย่ว์หยุดฝีเท้า พวกโอวหยางเฟยเห็นเธอหยุดจึงหยุดฝีเท้าลงด้วยเช่นกันแล้วเอ่ยอย่างกระวนกระวายว่า “โยวเย่ว์ รีบวิ่งเร็วเข้าสิ!”
“ถึงวิ่งก็วิ่งไม่ทันพวกมันอยู่ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าคำรามน้อย เจ้ารีบให้ข้าหน่อยสิ!”
เจ้าอ้วนชวีวิ่งไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว หลังจากที่เขาวิ่งมาถึงข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ก็เกาะบ่าเธอพลางหอบอย่างรุนแรง
เจ้าคำรามน้อยหันหน้าไปมองเหล่าสัตว์อสูรเทพที่อยู่ห่างจากพวกเขาเป็นระยะทางเล็กน้อยเท่านั้นแล้วยกขาอันจิ๋วขึ้น เพิ่มความเร็วของตนเองแล้วพุ่งเข้าใส่อ้อมกอดของซือหม่าโยวเย่ว์
พวกเป่ยกงถังก็รู้ว่าวิ่งต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เมื่อเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์หยุดฝีเท้าจึงหยุดเพื่อเตรียมตัวสำหรับเฮือกสุดท้ายเช่นเดียวกัน
“เย่ว์เย่ว์ รีบจับตัวข้าไว้เร็วเข้า!” เจ้าคำรามน้อยกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดซือหม่าโยวเย่ว์ในพริบตา สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นก็พุ่งเข้ามาเช่นเดียวกัน
พวกเขาเห็นเขี้ยวยาวในปากสัตว์อสูรเทพได้อย่างชัดเจนแล้ว ในใจคิดว่าวันนี้คงได้ถูกฝังกันอยู่ที่นี่แล้ว แต่ในขณะที่สัตว์อสูรเทพอยู่ห่างจากพวกเขาเพียงไม่กี่เมตรนั้นเอง ตอนที่พวกมันพุ่งเข้ามานั้น ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน สัตว์อสูรเทพหายตัวไปจนสิ้น
เจ้าอ้วนชวีหลับตาลงรอคอยความเจ็บปวดครั้งสุดท้าย แต่เนิ่นนานก็ยังมาไม่ถึงเสียที เขาจึงหรี่ตามองเล็กน้อย อยากเห็นว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร คิดไม่ถึงว่ากลับได้เห็นสถานที่อันแปลกตาแห่งหนึ่ง
“หืม สัตว์อสูรเทพเล่า” เจ้าอ้วนชวีลืมตา เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ อยู่กันหมดจึงถามขึ้นอย่างสงสัย
พวกเป่ยกงถังก็มองสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างประหลาดใจเช่นกันแล้วเอ่ยถามว่า “โยวเย่ว์ ที่นี่คือที่ไหนหรือ”
“ที่นี่คือด้านในเจดีย์วิญญาณน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “คือห้วงมิติแห่งหนึ่งของข้าเอง”
“เจดีย์วิญญาณหรือ ห้วงมิติของเจ้าเองอย่างนั้นหรือ”
“มิใช่ว่าภายในห้วงมิติไม่มีอากาศ จึงมิอาจเก็บสิ่งมีชีวิตเอาไว้ได้หรอกหรือ”
“เจดีย์วิญญาณนี้ค่อนข้างพิเศษ ที่นี่มีโลกเป็นของตัวเอง พอๆ กันกับโลกภายนอกเลย เพียงแต่อยู่ภายในเจดีย์แห่งหนึ่งเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ผลไม้ทิพย์ที่พวกเจ้ากินก็เติบโตอยู่ที่นี่แหละ”
“โอ้… ผลไม้ทิพย์มากมายจริงๆ!” เจ้าอ้วนชวีเห็นต้นผลไม้ทิพย์มากมาย มีผลไม้ทิพย์นานาชนิด แต่ละผลที่ห้อยอยู่บนต้นไม้นั้นดูเย้ายวนใจคนเหลือเกิน
เขามิอาจหักห้ามใจจากความน่าหลงใหลนั้นได้ จึงวิ่งขึ้นไปบนต้นไม้แล้วเด็ดมาผลหนึ่ง พอหยิบได้แล้วก็กัดลงไป
“สมุนไพรมากมายเสียจริง!” เป่ยกงถังเห็นสมุนไพรนานาชนิดในแปลงสมุนไพรแล้วจึงเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป “หญ้าดวงดาว ใบแก้วผลึก กัญชานิล หลากหลายชนิดเหลือเกิน!”
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าเป่ยกงถังจะคุ้นเคยกับสมุนไพรถึงเพียงนี้จึงเอ่ยว่า “เป่ยกง เจ้าก็คุ้นเคยกับสมุนไพรเช่นกันหรือ”
“อืม ตระกูลของข้าก่อนหน้านี้เป็นตระกูลนักหลอมยา ถึงแม้ว่าข้าจะไม่มีคุณสมบัติในการศึกษามัน แต่ก็ยังรู้จักสมุนไพรดีพอตัว” เป่ยกงถังพูด
“สัตว์อสูรวิเศษที่เจ้าฝึกก่อนหน้านี้ก็คงเก็บเอาไว้ที่นี่สินะ” เว่ยจือฉีนึกถึงสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นขึ้นมาได้ เขารู้ว่าเธอมีสถานที่ที่เก็บสิ่งมีชีวิตได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นห้วงมิติเช่นนี้เลยทีเดียว
“โยวเย่ว์ สถานที่แห่งนี้ของเจ้าช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!” เจ้าอ้วนชวีมองดูสิ่งของภายในเจดีย์วิญญาณจนดวงตาแทบจะถลนออกมาอยู่แล้ว
“อีกประเดี๋ยวข้าค่อยพาพวกเจ้าไปดูรอบๆ นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วยื่นมือไปคว้าตัวเจ้าคำรามน้อยที่คิดอาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีพลางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “บอกมาสิว่าคราวนี้เจ้าไปก่อเรื่องอะไรเข้าอีก”