เจ้าคำรามน้อยหดคอ นัยน์ตาทั้งสองกลอกซ้ายขวา ขาสั้นป้อมลองตีมือซือหม่าโยวเย่ว์เบาๆ
“ข้า… ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!”
ซือหม่าโยวเย่ว์งอนิ้วโป้งและนิ้วชี้แล้วดีดใส่หัวมันอย่างแรงทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ถ้าหากเจ้ามิได้ทำอะไร เช่นนั้นสัตว์อสูรเทพเหล่านั้นจะมาวิ่งไล่ตามเจ้าได้อย่างไร เจ้ามิได้มีแรงดึงดูดต่อสัตว์อสูรวิเศษโดยกำเนิดหรอกหรือ ถ้าหากมิได้ก่อเรื่องอันใด แล้วจะถูกผู้อื่นไล่ตามสังหารเจ้ากันหมดฝูงได้อย่างไรกัน เจ้าจะบอกหรือไม่ หากไม่บอกข้าก็จะโยนเจ้าออกไปแล้วนะ ถึงอย่างไรตอนนี้สัตว์อสูรเทพเหล่านั้นก็ยังอยู่ข้างนอกกันอยู่”
เมื่อได้ฟังคำขู่ของซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าคำรามน้อยจึงพูดด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่งว่า “อันที่จริงข้าก็มิได้ทำอะไรหรอก หลังจากได้เห็นว่าราชินีของพวกมันงดงามยิ่งนัก ข้าก็เลยพูดแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น”
“พูดแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ดีดหัวมันอีกครั้งหนึ่งแล้วตะคอกว่า “เจ้าไปเกี้ยวพานชายาของผู้อื่นใช่ไหม”
“ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ หลังจากนั้นชายาผู้นั้นก็บอกว่าจะไปกับข้า” เจ้าคำรามน้อยเสียใจเป็นอย่างยิ่ง “ใครจะไปคิดว่าราชาของพวกมันจะเห็นเป็นจริงเป็นจัง เรื่องจึงกลายเป็นเช่นนี้ เย่ว์เย่ว์ ข้าแค่พูดไม่กี่ประโยคเท่านั้นจริงๆ นะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์อับจนคำพูด เจ้านี่ช่างก่อเรื่องวุ่นวายได้เก่งเสียจริง
“แล้วไม่กี่ประโยคที่ว่านั่นเจ้าพูดอะไรบ้าง” เธอเดาว่าจะต้องมิใช่เรื่องธรรมดาทั่วไปแน่ มิฉะนั้นผู้อื่นจะส่งทั้งสัตว์อสูรเทพและสัตว์อสูรทิพย์มากมายเช่นนี้มาไล่ตามเขาทำไมกัน
“ข้า… ข้าก็พูดว่า คนสวย เจ้าช่างงดงามยิ่งนัก อยากจะไปเล่นกับข้าที่ดินแดนอื่นสักหน่อยหรือไม่…” เมื่อเห็นแววตาของซือหม่าโยวเย่ว์เข้มขึ้นเรื่อยๆ เสียงของเจ้าคำรามน้อยจึงเล็กลงเรื่อยๆ คอก็หดเกร็งมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทางเช่นนั้นของเจ้าคำรามน้อยแล้วทั้งโกรธทั้งขำ เธอมีสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาที่มากตัณหาเช่นนี้อยู่กับตัวได้อย่างไรกัน
ในตำราโบราณมิได้บอกว่าสัตว์มงคลเป็นตัวแทนของความสงบสุขหรอกหรือ เพราะเหตุใดเธอจึงเห็นแต่ความลามกอนาจารจากตัวเจ้าคำรามน้อยเล่า แล้วยังอยู่ภายใต้เปลือกนอกอันแสนน่ารักอีกต่างหาก
ทุกครั้งที่มันกระทำความผิด มันก็จะใช้รูปลักษณ์ภายนอกอันน่ารักของมันมาเรียกร้องความสงสารเห็นใจ แสดงท่าทีจริงใจ แต่ไม่เคยแก้ไขเลย
เจ้าคำรามน้อยเห็นท่าทีโกรธเคืองของซือหม่าโยวเย่ว์ จึงกะพริบดวงตากลมโตปริบๆ ขาหน้าอันจิ๋วทั้งสองข้างประสานเข้าด้วยกันแล้วพูดอย่างอ่อนแอว่า “เย่ว์เย่ว์ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว…”
“พรืด…”
ทั้งสี่คนที่อยู่ข้างๆ หลุดหัวเราะออกมา คิดไม่ถึงว่าเจ้าคำรามน้อยจะยังกล้าทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อีก ถึงขนาดวิ่งไปเกี้ยวพานชายาของสัตว์อสูรเทพเลยทีเดียว
“แค่กๆ โยวเย่ว์ ในเมื่อมันสำนึกผิดแล้ว เจ้าก็อย่าได้ตำหนิมันอีกเลยนะ” เป่ยกงถังเห็นท่าทางเช่นนั้นของเจ้าคำรามน้อยแล้วก็ถูกสะกดจนออกปากขอร้องแทนมัน
“อื้อๆ ใช่แล้วๆ” เจ้าคำรามน้อยผงกศีรษะเล็กอย่างเห็นด้วย
ซือหม่าโยวเย่ว์ดีดกะโหลกมันอีกทีหนึ่งแล้วพูดว่า “หากคราวหน้าเจ้ายังกล้าไปเกี้ยวพานสัตว์อสูรวิเศษตัวอื่นอีก ข้าจะขังเจ้าเอาไว้ในมิติพันธสัญญาหนึ่งปี!”
เจ้าคำรามน้อยคิดจะใช้ขาเล็กสั้นป้อมของมันไปกุมหัว แต่จนใจที่ขาสั้นเกินไป จึงได้แต่กุมใบหูเท่านั้น “ไม่ทำแน่ ไม่ทำแน่” มันรีบรับปากทันที
“เฮอะ หากมีครั้งต่อไปอีก ข้าจะจัดสิ่งที่เจ้าไม่ต้องการให้เอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็เหวี่ยงตัวเจ้าคำรามน้อยขึ้นไปกลางอากาศ
เจ้าคำรามน้อยได้รับอิสระแล้วจึงวิ่งหนีหายไปราวกับควัน
เมื่อเห็นมนุษย์กับสัตว์อสูรคู่นี้แล้วทุกคนต่างพากันหัวเราะ
“โยวเย่ว์ พวกเราจะอยู่ที่นี่กันนานเท่าใดหรือ” เจ้าอ้วนชวีเข้ามาใกล้แล้วถามขึ้น
“อย่างน้อยก็ต้องรอให้สัตว์อสูรเทพเหล่านั้นจากไปก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ข้าว่านานแค่ไหนก็ไม่เป็นไรหรอก อยู่ที่นี่หลายปีก็ยังไม่เป็นไรเลย” เจ้าอ้วนชวีพูด “ปราณวิญญาณที่นี่เข้มข้นกว่าข้างนอกมากมายนัก ถ้าหากบำเพ็ญที่นี่ได้ ผลลัพธ์ก็ย่อมดียิ่งขึ้นไปอีก”
“ที่นี่ก็มีข้อกำหนดของมันอยู่เช่นกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าวิญญาณน้อย ให้พวกเราดูสถานการณ์ข้างนอกหน่อยสิ”
เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศแล้วโบกมือเล็กๆ คราหนึ่ง ก็คล้ายกับมีจอผ้าอันหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ สถานการณ์ภายนอกปรากฏสู่สายตาของทุกคน
สัตว์อสูรเทพเหล่านั้นกำลังวนเวียนไม่หยุดอยู่ข้างนอก คล้ายกับสงสัยว่าพวกเขาเหล่านี้หายตัวไปโดยฉับพลันได้อย่างไร
“ดูท่าทางพวกมันคงจะไม่จากไปในเร็วๆ นี้แน่ พวกเราคงต้องอยู่ที่นี่กันสักระยะหนึ่งก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นสัตว์อสูรเทพจำนวนหนึ่งหมอบอยู่บนพื้น คล้ายกับกำลังรอให้พวกเขาปรากฏตัวขึ้น
“โยวเย่ว์ ผู้นี้คือ…” เว่ยจือฉีมองเจ้าวิญญาณน้อย เด็กน้อยคนหนึ่งมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน
“นี่คือเจ้าวิญญาณน้อย เป็นวิญญาณครวญของเจดีย์วิญญาณน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เขาเป็นผู้ควบคุมดูแลทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ เป็นพ่อบ้านตัวน้อยของข้าเอง”
“วิญญาณครวญหรือ!” เป่ยกงถังมองเจ้าวิญญาณน้อยอย่างตกใจ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ดินแดนโบราณ เธอก็รู้ว่ามีอาวุธเทพบางอย่างที่ก่อให้เกิดวิญญาณครวญขึ้นมาได้ แต่อาวุธเทพเหล่านั้นระดับขั้นสูงส่งยิ่ง นอกจากนี้ยังมีจำนวนน้อยนิดยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะมีกับเขาด้วย
“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ในเมื่อมิอาจออกไปได้ในตอนนี้ ข้าพาพวกเจ้าไปดูรอบๆ ก่อนก็แล้วกัน”
“ดีเลย ข้าสนใจใคร่รู้ในสถานที่แห่งนี้ยิ่งนัก!” เจ้าอ้วนชวีพูดยิ้มๆ
ถึงแม้ว่าพวกโอวหยางเฟยจะไม่ได้พูดออกมา แต่แววตาล้วนเป็นเช่นเดียวกัน
ซือหม่าโยวเย่ว์พาพวกเขาเดินดูรอบๆ ทั้งแปลงสมุนไพร ห้องหลอมยา ห้องฝึกยุทธ์ และหอหนังสือสะสม
ภายในหอหนังสือสะสม พวกเขาค้นพบว่าที่นี่มีหนังสือตำรานานาชนิด จนพาให้รู้สึกละลานตาอยู่บ้าง
“หลอมยาเอย หลอมวัตถุเอย ฝึกสัตว์อสูรเอย ฝึกยุทธ์เอย สวรรค์เอ๋ย โยวเย่ว์ ไม่ว่าจะเป็นอะไร ที่นี่ล้วนมีทั้งหมดเลย!” เว่ยจือฉีมองเห็นหนังสือเหล่านี้แล้วแสดงท่าทีตื่นเต้นสุดๆ
“อืม เจ้านายคนก่อนๆ ของเจ้าวิญญาณน้อย มีผู้เชี่ยวชาญทุกด้านเลย สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ทั้งสิ้น” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “หากพวกเจ้าสนใจเล่มไหนก็หยิบดูได้ตามสบายเลยนะ”
“จริงหรือ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ถึงอย่างไรตำราเหล่านี้ก็มิใช่ว่าหยิบอ่านแล้วจะหมดสิ้นไปนี่นา” ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มแล้วพูดว่า “นอกจากนี้ที่นี่ยังมีทรัพยากรล้นเหลือให้พวกเจ้าได้ฝึกฝนกันตามสบาย แน่นอนว่าไม่มีสัตว์อสูรวิเศษ แต่ในภูเขาด้านนอกมีอยู่มากมาย”
ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้เธอคงจะลังเลกับการให้พวกเขาเข้ามา แต่พวกเขาเดินร่วมทางกันมาจนถึงตอนนี้ ผ่านประสบการณ์มาด้วยกันไม่น้อย ในตอนที่เธอลำบากที่สุด ตกต่ำที่สุด พวกเขาก็ไม่เคยทอดทิ้งเธอ แต่กลับช่วยเหลือเธออย่างสุดความสามารถของตน คอยปลอบประโลมเธอ ตระกูลซือหม่าไม่ถูกกลืนกินหลังซือหม่าเลี่ยถูกพาตัวไป ล้วนต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากพวกเขา
น้ำใจที่พวกเขามีต่อเธอ เธอจดจำใส่ใจมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังเป็นกังวลว่าเธอต้องอยู่คนเดียวจนถึงขนาดที่พวกเขาเลือกมาที่นี่กับเธอด้วย ผ่านการสังเกตมาเป็นเวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เธอย่อมเข้าใจพฤติกรรมของพวกเขาอย่างถ่องแท้
เธอเคยพูดว่าเธอไม่สนใจของประดับตกแต่งอันผิวเผิน แต่เธอสนใจถ่านหินที่ส่งมาในยามหิมะตกมากกว่า นอกจากนี้การวางสิ่งเหล่านี้เอาไว้ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อันใด สู้แบ่งปันให้กับพวกเขาจะดีกว่า
“จู่ๆ ข้าก็รู้สึกขึ้นมาราวกับว่าข้าอยู่ในความฝันเลย” เจ้าอ้วนชวีเอื้อมมือไปหยิกเว่ยจือฉีที่อยู่ข้างๆ เว่ยจือฉีเจ็บปวดจนร้องโอดโอยเสียงดังลั่น
“ยังร้องอยู่ แสดงว่ารู้สึกเจ็บ เช่นนั้นพวกเราก็มิได้กำลังฝันไปสินะ!” เจ้าอ้วนชวีพูดด้วยสีหน้าเปรมปรีดิ์ มิได้เห็นเพลิงโทสะในดวงตาเว่ยจือฉีเลย
โอวหยางเฟยกลอกตาใส่พวกเขาทั้งสองก่อนจะอ่านตำราในมือต่อไป
เป่ยกงถังยิ้มบางๆ แล้วก้มหน้าลงอ่านตำราในมือ หลังจากนั้นจึงวางมันลง
ซือหม่าโยวเย่ว์มองตำราที่นางเพิ่งอ่านปราดหนึ่ง นั่นคือตำราศึกษาการหลอมยา เธอมองความอึดอัดในแววตาของเป่ยกงถังออก ดูเหมือนว่านางอยากศึกษาการหลอมยาเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับฝืนใจตัวเองแล้ววางมันลง
“เป่ยกง เจ้าไม่อยากศึกษาการหลอมยาหรือ” เธอเอ่ยถาม
“อยากสิ แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีเวลามากมายเช่นนั้นให้มาศึกษาหรอก” เป่ยกงถังพูด
นางพูดเช่นนี้ ทำเอารอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเจ้าอ้วนชวีจางหายไปไม่น้อย
ความจำเป็นเร่งด่วนของพวกเขาในตอนนี้ก็คือการยกระดับพลังยุทธ์ของตนเอง ไม่มีเวลามาศึกษาสิ่งเหล่านี้เลยจริงๆ พวกเขามิได้มีพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์เหมือนซือหม่าโยวเย่ว์