ประกายสีฟ้าอ่อนค่อยๆ แผ่ออกไปโดยมีมือของเจ้าคำรามน้อยเป็นจุดศูนย์กลางแล้วก่อรูปร่างเป็นวงกลมสูงพอๆ กับมนุษย์คนหนึ่ง
“เย่ว์เย่ว์ พวกเจ้ารีบผ่านไปเร็วเข้าสิ!” เจ้าคำรามน้อยพูด
“แค่นี้ก็ได้แล้วหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองดูประกายอันงดงามนั้น ข่ายมนตร์ที่กักขังผู้คนในอาณาจักรตงเฉินมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้กลับถูกจัดการไปอย่างง่ายดายเช่นนี้น่ะหรือ
“ไปกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ถึงความสามารถของเจ้าคำรามน้อยเป็นอย่างดี จึงเดินนำทุกคนผ่านกลางประกายนั้นไป
พวกเป่ยกงถังเห็นเช่นนี้จึงเดินตามไปด้วย หลังจากที่พวกเขาผ่านไปกันหมดแล้ว เจ้าคำรามน้อยจึงผละออกจากข่ายมนตร์
“โฮก… เจ้าหมาป่าบ้ากาม จะไปไหนของเจ้าน่ะ!”
เสียงคำรามเสียงหนึ่งดังลอยมาจากหุบเขาไกลออกไป ทำเอาทุกคนตกใจจนตัวลอย
เจ้าคำรามน้อยหันไปมอง แม่เจ้า นี่มิใช่ราชาสัตว์อสูรที่ถูกตนเกี้ยวพานภรรยาเมื่อคราวก่อนหรอกหรือ
“บัดซบ อาณาเขตของเจ้ามิได้อยู่ฝั่งโน้นหรอกหรือ เหตุใดจึงวิ่งมาจนถึงที่นี่ได้เล่า!” เจ้าคำรามน้อยมองเห็นสัตว์อสูรเทพที่วิ่งควบมา จึงหลุดปากสบถออกมา
“ข้าตามหาตัวเจ้ามาหนึ่งปีเต็ม ในที่สุดก็หาตัวเจ้าพบเสียที มาดูกันสิว่าวันนี้เจ้ายังจะหนีไปไหนได้อีก!”ราชาสัตว์อสูรจ้องเจ้าคำรามน้อยเขม็ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
เจ้าคำรามน้อยได้สติกลับคืนมา นึกอยากจะทำท่ายกนิ้วกลางใส่มัน แต่กลับพบว่านิ้วมือของตนนั้นสั้นเกินไป ย่อมมิอาจทำได้อยู่แล้ว
จากนั้นมันจึงหมุนตัวมาส่ายก้นใส่ราชาสัตว์อสูร
“เจ้าเข้ามาสิ มาเลย!”
ราชาสัตว์อสูรถูกท่าทางยั่วยุของเจ้าคำรามน้อยทำเอาโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงเพิ่มความเร็วพุ่งเข้าใส่มัน
มันจะใช้กรงเล็บของมันฉีกเจ้าคำรามน้อยเป็นชิ้นๆ!
เจ้าคำรามน้อยเห็นราชาสัตว์อสูรพุ่งเข้าใส่ตน ร่างกายจึงถอยไปด้านหลังเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงส่ายก้นใส่ราชาสัตว์อสูร
“โฮก… ”
“ฟิ้ว…”
ราชาสัตว์อสูรพุ่งเข้าใส่เจ้าคำรามน้อยอย่างรวดเร็ว เห็นว่าเกือบจะคว้าตัวมันเอาไว้ได้อยู่แล้ว แต่กลับกระแทกเข้ากับบางสิ่งอย่างฉับพลัน นอกจากจะจับตัวมันไม่ได้แล้ว ตนเองยังกระแทกเสียจนมึนงงอีกต่างหาก
“ฮ่าๆ…” เจ้าคำรามน้อยเห็นท่าทางของราชาสัตว์อสูรแล้วก็กุมท้องหัวเราะ “ฮ่าๆ คิดจะจับตัวคุณชายเช่นข้า โซเซเลยหรือไม่เล่า คิดว่าจะจับข้าได้ง่ายเช่นนั้นเลยหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นท่าทีอวดดีของเจ้าคำรามน้อยแล้วก็อดกุมหน้าผากมิได้
เธอมีสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาเช่นนี้อยู่ได้อย่างไรกัน! มันบอกว่าตอนนั้นเธอหลอกมัน จึงได้ทำพันธสัญญาด้วย นี่เป็นความจริงอย่างนั้นหรือ
เธอสงสัยอย่างแรงเลยทีเดียว!
เธอเดินเข้าไปแล้วเอื้อมมือไปปัดตัวเจ้าคำรามน้อยจนตกลงสู่พื้นแล้วพูดว่า “เจ้ามันช่างไร้สาระนัก! หากยังเป็นเช่นนี้อีก ข้าจะโยนเจ้ากลับไปแล้วนะ!”
เจ้าคำรามน้อยบิดตัวท่าปลาคาร์ฟแล้วบินขึ้นมา ก่อนจะจ้องมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเศร้าสร้อย
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่สนใจมัน แต่พูดกับราชาสัตว์อสูรตรงหน้าว่า “ตอนนั้นสิ่งที่เจ้าคำรามน้อยพูดเป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่นเท่านั้น เรื่องราวก็ผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว และพวกเราก็กำลังจะไปจากที่แห่งนี้ด้วย ข้าจะชดเชยให้กับเจ้า แล้วปล่อยผ่านเรื่องนี้เถิดนะ”
ราชาสัตว์อสูรมองซือหม่าโยวเย่ว์โดยไม่เอ่ยวาจา ทำให้เธอคิดว่าราชาสัตว์อสูรไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้
“เจ้าจะให้การชดเชยกับข้าอย่างไร” ผ่านไปเกือบหนึ่งนาที ราชาสัตว์อสูรจึงเปิดปากพูด
“เท่าที่อยู่ในขอบเขตความสามารถ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เรื่องที่เกินกว่าขอบเขตความสามารถของเธอ เธอก็มิอาจรับปากได้อยู่แล้ว
“ข้าก็มิได้อยากได้สิ่งของของเจ้า เพียงแต่ว่ามีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง” ราชาสัตว์อสูรพูด
“เงื่อนไขอันใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“พาข้ากับสมาชิกในเผ่าพันธุ์ข้าออกไป” ราชาสัตว์อสูรพูด
“ออกไปหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองราชาสัตว์อสูรแล้วถามว่า “เจ้าจะไปจากอาณาเขตของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
ราชาสัตว์อสูรตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้นก่อนจะสะบัดขนบนร่างแล้วพูดว่า “ข้าค้นพบตั้งนานแล้วว่าที่แห่งนี้ก็คือกรงขังแห่งหนึ่ง นั่นเป็นเพียงแค่อาณาเขตเล็กๆ ภายในกรงใบหนึ่งเท่านั้น มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์กันเล่า”
ซือหม่าโยวเย่ว์เกิดความสนใจในตัวมันขึ้นมาจึงหย่อนก้นนั่งลงบนพื้นแล้วพูดว่า “ยอดเยี่ยมนัก เจ้ามองออกทั้งหมดเลย! เจ้าค้นพบตั้งแต่เมื่อใดหรือ”
ในขณะนี้แรงดึงดูดของดวงวิญญาณซือหม่าโยวเย่ว์แผ่กระจายออกมา ราชาสัตว์อสูรเห็นเธอนั่งลงพูดจากับตนจึงสนทนากับเธอด้วยเช่นกัน
“พูดเรื่องนี้ไปก็มีแต่น้ำตา!” ราชาสัตว์อสูรพูด “ข้าค้นพบตั้งเนิ่นนานมาแล้ว ตอนนั้นข้ายังมิได้มาถึงระดับสัตว์อสูรเทพเลย และยังมิได้เป็นราชาสัตว์อสูรด้วย มีครั้งหนึ่งถูกสัตว์อสูรวิเศษตนหนึ่งที่ระดับขั้นสูงกว่าข้าตามไล่ล่า ข้าจึงหนีมาจนถึงแถบนี้และได้ค้นพบว่ามิอาจออกไปได้อีกแล้ว สุดท้ายข้าเกือบถูกฆ่าตาย แต่เป็นคนในครอบครัวนั่นเองที่รีบมาช่วยเหลือข้า นับแต่ตอนนั้นมาข้าจึงเริ่มให้ความสนใจกับที่นี่ หลังจากนั้นข้าเดินทางไปยังสถานที่มากมาย และค้นพบว่ามีสิ่งกีดขวางชั้นนั้นอยู่ตลอด”
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่ามันก็เป็นสัตว์อสูรวิเศษที่ทรงปัญญาอีกตนหนึ่ง จึงพูดว่า “วันนี้เจ้าก็มาดูข่ายมนตร์เช่นกันสินะ”
“ข่ายมนตร์หรือ” ราชาสัตว์อสูรสะดุ้งคราหนึ่งแล้วถามขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าคำรามน้อยบอกว่าที่นี่คือข่ายมนตร์ที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเองตามธรรมชาติแล้วห่อหุ้มอาณาจักรตงเฉินเอาไว้ภายในพอดิบพอดี พวกเราออกไปไม่ได้ก็เพราะถูกข่ายมนตร์กักขังเอาไว้ เอ๊ะ ไม่ถูกต้องสิ!”
“อะไรไม่ถูกต้องหรือ” ราชาสัตว์อสูรเห็นซือหม่าโยวเย่ว์สงสัย ไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไรไปเสียแล้ว
“มิได้บอกว่าหากไปถึงระดับราชันวิญญาณก็จะออกไปได้แล้วหรอกหรือ พลังยุทธ์ของสัตว์อสูรเทพขั้นหนึ่งก็เทียบได้กับระดับราชันวิญญาณแล้วมิใช่หรือ เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าจึงออกไปมิได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกไป
พวกเว่ยจือฉีได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงนึกถึงปัญหาข้อนี้ขึ้นมาได้ เกิดความไม่เข้าใจอย่างยิ่งกับสถานการณ์ที่สัตว์อสูรเทพมิอาจออกไปได้
ราชาสัตว์อสูรส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ข้าเคยเห็นราชันวิญญาณออกไป แต่ตอนที่ข้าไปทดลองดูนั้นกลับพบว่าพลังของข้าไม่มีผลต่อสิ่งนี้เลยแม้แต่น้อย มิฉะนั้นข้าก็คงออกไปเองนานแล้วล่ะ คงไม่ต้องให้เจ้ามาช่วยข้าหรอก”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองราชาสัตว์อสูรแล้วเกิดความสะเทือนใจ สัตว์อสูรวิเศษมากมายเพียงใดที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แต่ผู้ที่ค้นพบเรื่องนี้กลับมีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น ส่วนผู้ที่คิดอยากออกไปนั้นเกรงว่าจะมีแค่พวกเขาไม่กี่คนตรงหน้าเธอนี้เท่านั้นเอง
ไม่พูดไม่ได้ว่ามันเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่มีหัวคิดตนหนึ่งอย่างแท้จริง!
นัยน์ตาเธอกลอกไปมาเหมือนเวลาที่เจ้าคำรามน้อยคิดจะล่อลวงผู้อื่นไม่มีผิด เธอหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้ารู้แล้วล่ะ เจ้าอยากจะออกไป ไม่อยากถูกกักขังอยู่ที่นี่ แสดงว่าเจ้าเป็นสัตว์อสูรวิเศษที่มีความทะเยอทะยาน แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าต่อให้เจ้าออกไปจากที่นี่ โลกภายนอกก็ยังไม่สูงที่สุดอยู่ดี เจ้าก็ได้แต่เตร็ดเตร่อยู่ภายในภูเขาแห่งนี้ ย่อมมิอาจได้รู้เห็นโลกที่เจ้าใฝ่ฝันถึงหรอก”
“ด้านนอกมิใช่หรือ” ราชาสัตว์อสูรสับสนเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ที่นี่คือดินแดนอี้หลิน แต่ที่นี่เป็นเพียงแค่สถานที่ที่ปรมาจารย์วิญญาณทั่วไปใช้ชีวิตอยู่เท่านั้น หลังจากปรมาจารย์วิญญาณไปถึงระดับเทพแล้วก็จะไปยังดินแดนระดับขั้นสูงกว่าได้ เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับดินแดนโบราณหรือไม่”
ราชาสัตว์อสูรส่ายหน้า มันเคยสัมผัสมนุษย์น้อยครั้งนัก ย่อมไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการกระจายตัวของดินแดนเลย
“ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ ดินแดนโบราณมีระดับขั้นสูงส่งกว่าดินแดนอี้หลินมากมายนัก อาจารย์ของข้าเคยบอกข้าว่าหากไปไม่ถึงระดับเทพก็มิอาจไปยังฝั่งนั้นได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ดังนั้นข้าคิดว่าทางฝั่งนั้นจะต้องมหัศจรรย์กว่าโลกฝั่งนี้อย่างแน่นอน น่าเสียดาย… อ๊ะ…”
“เสียดายอะไรหรือ” ราชาสัตว์อสูรถาม
“ข้าเสียดายแทนเจ้าต่างหากเล่า!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าอยากไปดูโลกภายนอกมากขนาดนั้น แต่ออกไปแล้วก็ได้แต่เตร็ดเตร่อยู่ภายในภูเขาแห่งนี้เท่านั้น แล้วการออกไปจะมีความหมายอะไรกันเล่า”
ราชาสัตว์อสูรนิ่งงันไปคล้ายกับกำลังคิดใคร่ครวญคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์
“ความจริงแล้วสถานที่ที่มหัศจรรย์ที่สุดย่อมมิใช่ภายในภูเขาอยู่แล้ว หากแต่เป็นสถานที่ที่มีผู้คน การพบเจอผู้คนที่แตกต่างกัน ได้ทำเรื่องแปลกใหม่ เห็นวิวทิวทัศน์อันแปลกตา แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าจะไปข้างนอกเพื่ออยู่แต่ในภูเขาทำไมกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ใส่สีตีไข่
ราชาสัตว์อสูรเงยหน้าขึ้นมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “ความจริงแล้วเจ้าอยากจะชวนข้าไปกับเจ้าด้วยใช่หรือไม่”