ทุกคนเร่งฝีเท้าสุดกำลังจนในที่สุดก็ไปถึงเมืองไตรวารีก่อนพระอาทิตย์ตก
พวกเจ้าอ้วนชวีมองดูกำแพงเมืองอันสูงตระหง่านแล้วพากันตกตะลึง
“มีกำแพงเมืองสูงใหญ่ถึงเพียงนี้เชียว กำแพงเมืองของอาณาจักรตงเฉินมาเปรียบกับที่นี่ก็กลายเป็นอ่อนด้อยไปเลย!” เจ้าอ้วนชวีอุทาน
“กำแพงเมืองนี่คงจะสูงราวๆ ร้อยเมตรเลยกระมัง” เว่ยจือฉีเงยหน้าขึ้นมองกำแพงเมืองพลางคาดคะเนด้วยสายตา
“น่าจะราวๆ นั้นแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็เพิ่งเคยเห็นกำแพงเมืองที่สูงขนาดนี้ เมื่อนึกถึงกำแพงเมืองที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่ากำแพงเมืองเหล่านั้นกลายเป็นของเด็กเล่นไปเลย
มีเพียงโอวหยางเฟยและเป่ยกงถังที่สงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรพวกเขาก็มิได้เพิ่งเคยเห็นสิ่งนี้เป็นครั้งแรก
“อันที่จริงแล้วมิใช่ว่ากำแพงเมืองจะสูงตระหง่านเช่นนี้ทั้งหมดหรอก” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “เพราะเมืองไตรวารีอยู่ใกล้เทือกเขาสั่วเฟยย่า และสัตว์อสูรวิเศษของที่นี่จะมีการปฏิวัติสัตว์อสูรอยู่ทุกๆ สองสามปี ดังนั้นจึงต้องสร้างกำแพงเมืองให้สูงใหญ่เอาไว้”
“การปฏิวัติสัตว์อสูรหรือก็คือการจลาจลที่เจ้าคำรามน้อยพูดถึงนั่นน่ะหรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม
“คราวนี้มิอาจบอกได้แน่ชัด” ไป๋อวิ๋นฉีส่ายหน้าแล้วพูดว่า “การจลาจลในอดีตล้วนมีกฎระเบียบเป็นอย่างยิ่ง ส่วนการจลาจลสัตว์อสูรวิเศษในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องภายในของเทือกเขาสั่วเฟยย่า หรือว่ามาจากภายนอก แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องไปบอกท่านน้าเขยของข้าก่อนสักคำหนึ่ง ให้เขาเตรียมตัวเอาไว้ให้ดี”
“พวกเราเข้าเมืองกันเถิด” หลี่ขุยพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นทหารเฝ้าเมืองเริ่มตะโกนเร่งให้คนที่ยังไม่ได้เข้าเมืองรีบเข้าไปข้างใน และกำลังจะปิดประตูแล้ว พวกเขาจึงรีบเดินเข้าไป
“คุณชาย!”
พอพวกซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปในเมือง บุรุษในชุดคนรับใช้ชายผู้หนึ่งก็พุ่งเข้ามาตรงหน้าไป๋อวิ๋นฉีในทันที แล้วกอดเขาพลางร้องไห้อย่างหนัก
“หลี่ซื่อหรือ เจ้าไม่อยู่ในบ้านเป็นเทพเฝ้าประตูหรอกหรือ เหตุใดจึงวิ่งมาถึงที่นี่ได้เล่า” ไป๋อวิ๋นฉีคิดอยากผลักหลี่ซื่อออกไป แต่กลับถูกเขากอดเอาไว้แน่น
“คุณชายเอ๋ย… ท่านกลับมาเสียที ฮือๆ หากท่านยังไม่กลับมาอีก หลี่ซื่อคงก้นลายไปหมดแน่!” หลี่ซื่อกอดไป๋อวิ๋นฉีพลางร้องคร่ำครวญ
“ทำไมกัน ถูกท่านน้าเล็กของข้าลงโทษอีกแล้วหรือ” ไป๋อวิ๋นฉีถาม
“ฮูหยินทราบว่าท่านไปยังเทือกเขาสั่วเฟยย่า จึงสั่งให้ข้ามารออยู่ที่นี่ทุกวัน หากรอแล้วท่านไม่กลับมาก็ไม่ยอมให้ข้ากินข้าว ฮือๆ แล้วยังบอกว่าหากรอแล้วท่านยังไม่กลับมาอีก จะตีข้าให้ก้นระเบิดไปเลย” หลี่ซื่อพูดระคนร้องไห้ ”คุณชาย คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ต้องกลับไปกับข้านะ มิฉะนั้นฮูหยินไม่มีทางให้อภัยข้าแน่!”
“ท่านน้าเล็กทราบได้อย่างไรว่าข้าไปที่สั่วเฟยย่า” ไป๋อวิ๋นฉีพยายามอย่างสุดความสามารถจนผลักหลี่ซื่อออกไปได้ในที่สุด
ในขณะนี้เอง ซือหม่าโยวเย่ว์จึงได้เห็นรูปลักษณ์ของหลี่ซื่ออย่างชัดเจน ใบหน้าขาวผ่องบริสุทธิ์ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความไร้เดียงสา ดูแล้วอายุอานามน่าจะไล่เลี่ยกันกับพวกเขา
“คุณชายช่างโง่นัก ท่านใช้ค่ายกลนำส่งไปที่นั่นแล้วนายท่านกับฮูหยินจะไม่ทราบได้อย่างไรเล่า!” หลี่ซื่อเช็ดน้ำมูกแล้วพูดว่า “ท่านก้าวขาหน้าออกไป แค่ก้าวขาหลังตามฮูหยินก็ทราบแล้ว หลังจากนั้นเลยให้ข้ามารอท่านที่นี่ทุกวัน รอมาสองเดือนในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที ฮือๆๆ… คุณชาย คราวนี้ท่านต้องกลับไปกับข้าให้ได้เลยนะ มิฉะนั้นข้าจะหนีออกไปจากตระกูลแล้ว”
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังคำพูดของหลี่ซื่อแล้วเห็นด้านที่คล้ายคลึงกันของเขากับไป๋อวิ๋นฉี จึงมองออกว่าสถานะในจวนเจ้าเมืองของเขาน่าจะมิได้เป็นเพียงคนรับใช้ธรรมดาๆ เท่านั้น
ไป๋อวิ๋นฉีลูบศีรษะหลี่ซื่อพลางเอ่ยว่า “เจ้าเด็กน้อยที่น่าสงสาร เดิมทีคราวนี้ข้าก็จะไปหาพวกท่านน้าเขยอยู่แล้ว จะไม่หนีแล้วล่ะ”
“จริงหรือ” หลี่ซื่อเงยหน้า ดวงตาเป็นประกายวิบวับ
“ไปกันเถิด ข้ายังมีเรื่องที่ต้องไปคุยกับท่านน้าเขยด้วย” ไป๋อวิ๋นฉีพูด
“ดีเลย พวกเราไปกันเถิด” หลี่ซื่อปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงที่หางตา ก่อนจะหมุนตัวเดินนำออกไป
เมืองไตรวารีแห่งนี้และเมืองเหยียนเป็นเมืองที่อยู่ในบริเวณทิวเขาเหมือนกัน แต่มีขนาดแตกต่างกันลิบลับ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เมืองเหยียนยังมีขนาดไม่ถึงครึ่งของเมืองแห่งนี้เลยด้วยซ้ำ
พวกเขาเดินไปถึงทางเลี้ยวหนึ่งซึ่งมีรถเทียมสัตว์อสูรจอดอยู่หลายคัน ก็เห็นหลี่ซื่อพาคนเข้าไป คนขับรถจึงพากันกระโดดลงมา
“คารวะคุณชาย”
คนขับรถคารวะไป๋อวิ๋นฉีอย่างนอบน้อม
ไป๋อวิ๋นฉีมองเห็นรถเทียมสัตว์อสูรเหล่านั้นจึงเอ่ยว่า “ท่านน้าเล็กยังเตรียมรถพวกนี้เอาไว้ด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านอาหลี่ พวกเรานั่งรถไปก็แล้วกัน”
ไป๋อวิ๋นฉีกับหลี่ขุยขึ้นไปบนรถคันแรกแล้วจัดแจงให้พวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งห้าคนนั่งบนรถคันที่สอง ส่วนกลุ่มทหารรับจ้างคนอื่นๆ ให้รวมกันอยู่บนรถอีกหลายคันด้านหลัง
รถเทียมสัตว์อสูรเหินทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว พวกซือหม่าโยวเย่ว์แหวกม่านดูจึงค้นพบว่าตอนนี้พวกเขากำลังพุ่งทะยานอยู่บนถนนใหญ่อันโล่งกว้างแห่งหนึ่ง และฝูงชนก็เดินกันอยู่ทั้งสองข้างทาง ส่วนเส้นทางตรงกลางนั้นไม่มีเงาร่างมนุษย์อยู่เลยแม้แต่คนเดียว
สิ่งนี้ดูเหมือนทางรถวิ่งและทางคนเดินในชาติก่อนไม่มีผิด!
รถเทียมสัตว์อสูรวิ่งมาราวๆ ครึ่งชั่วโมงจึงหยุดลง พวกซือหม่าโยวเย่ว์ลงจากรถมาก็เห็นคฤหาสน์อันโอ่อ่าตระการตาแห่งหนึ่ง
“นี่คือจวนเจ้าเมืองอย่างนั้นหรือ ยังใหญ่โตกว่าพระราชวังของอาณาจักรตงเฉินอีกกระมัง!” เจ้าอ้วนชวีเห็นจวนเจ้าเมืองแล้วอุทานขึ้น
ไป๋อวิ๋นฉีเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “นี่เป็นสิ่งที่ท่านเจ้าเมืองคนก่อนสร้างเอาไว้ พวกท่านน้าเขยของข้าเพิ่งเข้ามาอยู่ทีหลัง ด้านในมิได้หรูหราเหมือนภายนอกนี้หรอก”
“คุณชาย เข้าไปกันเถิด พวกฮูหยินกำลังรอพวกท่านอยู่นะ!” หลี่ซื่อพูด
“ไปกันเถิด” ไป๋อวิ๋นฉีพูดกับพวกเขา
ตลอดทางที่เดินเข้าไป พวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็พบว่าการตกแต่งด้านในนั้นค่อนข้างเรียบง่ายจริงๆ ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันกับด้านนอกอย่างสิ้นเชิง ด้านนอกหรูหราตระการตา ส่วนด้านในเรียบง่ายแต่กลับไม่ธรรมดา
ผู้คนที่ผ่านไปมาล้วนทำความเคารพไป๋อวิ๋นฉี ส่วนไป๋อวิ๋นฉีก็ยิ้มทักทายทุกคน ดูเหมือนว่าเขาสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้คนที่นี่เป็นอย่างยิ่ง
หลี่ซื่อนำทางไป๋อวิ๋นฉี หลี่ขุย และพวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งห้าคนไปยังโถงรับแขก ส่วนเด็กรับใช้อีกคนหนึ่งพาคนของกลุ่มทหารรับจ้างคนอื่นๆ ไปยังสถานที่พักผ่อน
“คุณชาย พวกท่านรอสักครู่ก่อน อีกประเดี๋ยวนายท่านกับฮูหยินก็จะมากันแล้ว” หลี่ซื่อส่งสัญญาณให้กับสาวใช้ด้านข้าง สาวใช้ผู้นั้นจึงรีบออกไปในทันที
จากนั้นสาวใช้อีกคนหนึ่งก็ยกน้ำชาเข้ามาให้
ซือหม่าโยวเย่ว์มองประเมินการตกแต่งของโถงรับแขก นอกจากเครื่องเรือนที่จำเป็นแล้ว สองฟากฝั่งของห้องแห่งนี้ยังมีรูปสลักหินสองอันวางอยู่ด้วย เหนือที่นั่งประธานมีป้ายอันหนึ่งแขวนเอาไว้ ซึ่งบนนั้นมีตัวอักษรอันทรงพลังเขียนเอาไว้ว่า ‘ขยันหมั่นเพียรเพื่อประชาชน’
ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะเสียงต่ำขึ้นมา ขยันหมั่นเพียรเพื่อประชาชน เหตุใดสิ่งนี้จึงทำให้เธอนึกถึงจักรพรรดิเมื่อชาติก่อนขึ้นมากันเล่า
“เจ้ากระต่ายจอมซน ผ่านมาทางนี้ยังไม่มาหาน้าเล็กที่นี่อีก เจ้าช่างไม่เห็นน้าเล็กของเจ้าอยู่ในสายตาเอาเสียเลย หรือไม่อยากเจอน้าเล็กอีกแล้ว ฮือๆๆ เจ้ากระต่ายจอมซนที่ไร้หัวจิตหัวใจ!”
เสียงผู้หญิงที่สดใสมีชีวิตชีวาเสียงหนึ่งลอยเข้ามา จากนั้นเงาร่างสายหนึ่งจึงพุ่งเข้ามาจากด้านนอกแล้วพุ่งตรงไปหาไป๋อวิ๋นฉีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามในทันใด
ไป๋อวิ๋นฉีลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ทันทีที่ได้ยินเสียง พอนางพุ่งเข้ามาก็กระโดดหลบ ทำให้หญิงผู้นั้นพุ่งเข้าใส่ความว่างเปล่า
ซุนลี่ลี่เห็นไป๋อวิ๋นฉีวิ่งหนี จึงใช้สองมือเท้าสะเอวแล้วตะโกนใส่เขาต่อไปว่า “ฮือๆๆ ตอนนี้เสี่ยวฉีฉีวิ่งหนีข้า ไม่ยอมให้ข้ากอดเสียแล้ว ฮือๆๆ ท่านน้าเล็กเสียใจเหลือเกิน ฮือๆๆ”
นางพูดพลางแสร้งร้องไห้ขึ้นมาท่ามกลางผู้คน
ไป๋อวิ๋นฉีเห็นนางมาไม้นี้อีกแล้ว จึงอดที่จะกลอกตามิได้ แล้วเอ่ยว่า “ท่านน้าเล็ก ท่านอย่าทำเช่นนี้เลย ที่นี่มีแขกอยู่นะ!”
“มีแขกไม่มีแขกอะไรกัน ข้าไม่สนใจหรอก จะมาให้ข้ากอดหรือไม่” ซุนลี่ลี่มองไป๋อวิ๋นฉี เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าหากเขาไม่ยอม นางก็ไม่มีทางยอมแพ้แน่