“เปรี้ยง…”
ถึงแม้ว่าจะยืนอยู่บนกำแพงเมืองแต่ทุกคนก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังที่แฝงอยู่ในสายฟ้านั้น
ในขณะที่ทุกคนคิดว่าสัตว์อสูรเหนือเทพนั่นจะใช้สิ่งใดมาหลบเลี่ยงจากสายฟ้าอยู่นั้นเอง เงาร่างมนุษย์สายหนึ่งก็กระโจนขึ้นมาจากยอดเขาแล้วเผชิญหน้ากับสายฟ้านั้นโดยตรง
“ปึง…”
ท่อนแขนของเงาร่างมนุษย์นั้นปะทะเข้ากับสายฟ้าตรงๆ ผู้คนไม่น้อยพากันหลับตาแน่น
เจ้าอ้วนชวีลืมตาขึ้นมองเงาร่างมนุษย์นั้นแล้วก็ตีปากเสียงดังพลางกลืนน้ำลายอย่างแรงก่อนจะพูดว่า “คนผู้นั้นก็คือสัตว์อสูรเหนือเทพที่จำแลงกายมาอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ ข้ายังสัมผัสกลิ่นอายของสัตว์อสูรวิเศษบนร่างเขาได้อยู่เลย” เจ้าคำรามน้อยพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นมือมาเขกหัวเจ้าคำรามน้อย “เจ้าจมูกสุนัข ไกลถึงเพียงนี้ก็ยังได้กลิ่นอีกนะ”
“ประสาทรับกลิ่นของข้าเฉียบแหลมยิ่งกว่าสุนัขพวกนั้นเสียอีก!” เจ้าคำรามน้อยพร่ำบ่นอย่างไม่พอใจ
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเทือกเขาสั่วเฟยย่าด้วยความหวั่นใจไม่น้อย ต้านรับสายฟ้าตรงๆ เช่นนี้ได้ พลังยุทธ์ของสัตว์อสูรเหนือเทพนั่นต้องแข็งแกร่งเพียงใดกัน!
ไม่นานนักอสนีบาตรอบที่สองก็ฟาดลงมาอีกครั้ง แฝงไว้ด้วยพลังที่แข็งแกร่งกว่ารอบแรกอยู่เล็กน้อย
สัตว์อสูรเหนือเทพนั้นเลือกที่จะยืนหยัดอีกครั้งแล้วยื่นมือออกไปบดขยี้อสนีบาตนั้น
“เหลือเชื่อยิ่งนัก เจ้านี่ช่างแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ถ้าหากปะทะกับเขาก็คงไม่มีทางรอดอย่างแน่นอน!” เจ้าอ้วนชวียกสองมือทาบอก กลัวเหลือเกินว่าหัวใจของตนจะหลุดออกมาจากทรวงอกเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเห็นสัตว์อสูรเหนือเทพตนนี้เผชิญภัยแล้วซือหม่าโยวเย่ว์จึงนึกไปถึงสัตว์อสูรในร่างมนุษย์ที่อยู่กับอูหลิงอวี่ในตอนนั้นขึ้นมา
มันก็เผชิญกับกัลป์สายฟ้าเช่นนี้เหมือนกันหรือ
เธอสะบัดหัว เหตุใดจู่ๆ จึงนึกถึงคนผู้นั้นขึ้นมาได้เล่า!
หลังจากอสนีบาตรอบที่สองฟาดลงมาได้ไม่นาน รอบที่สามก็ฟาดตามลงมา
สัตว์อสูรเหนือเทพต้านรับอสนีบาตทั้งสามสายแรกตรงๆ ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์ของเขาจะไม่อ่อนแอ แต่ก็ถูกทำร้ายไปไม่เบาเลย
อสนีบาตสามสายผ่านไป เมฆครึ้มนั้นก็ยังไม่มีวี่แววของการสลายตัวเลย แต่กลับก่อตัวหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ อยู่กลางอากาศ
เจ้าคำรามน้อยหรี่ตาทั้งสองลงพลางเอ่ยว่า “สายโลหิตของสัตว์อสูรเหนือเทพที่กำลังจำแลงกายตนนั้นไม่ต่ำต้อยเลยนะ!”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” เจ้าอ้วนชวีถาม
“ถึงแม้ว่าสัตว์อสูรจำแลงทุกตนจะประสบกับกัลป์สายฟ้าเช่นนี้ทั้งหมด แต่ความจริงแล้วก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ยิ่งสายโลหิตสูงส่ง กัลป์สายฟ้าจำแลงกายก็ยิ่งแข็งแกร่ง อสนีบาตสามสายแรกก็มิได้อ่อนแอเลย เหนือกว่าอสนีบาตรอบหลังๆ ของสัตว์อสูรเหนือเทพทั่วไปแล้ว แต่ชั้นเมฆนั่นยังหนาทึบมากขึ้นอีก แสดงว่าอสนีบาตต่อจากนี้จะยิ่งใหญ่ขึ้นอีก” เจ้าคำรามน้อยพูดอธิบาย “อยากรู้แก่นแท้ของสัตว์อสูรจำแลงตนนั้นเสียจริง!”
“ข้าเองก็อยากรู้มากเช่นกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“แต่ข้าหวังให้มันไม่มีความเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติสัตว์อสูรในครั้งนี้มากกว่านะ มิฉะนั้นก็อันตรายเสียแล้วล่ะ” เว่ยจือฉีพูด
“มาคิดเรื่องนี้ตอนนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้วล่ะ” โอวหยางเฟยกอดกระบี่ของเขาพลางทอดสายตามองไกลออกไปแล้วเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ตอนนี้พวกเราอยู่ที่นี่ ด้านนอกมีสัตว์อสูรวิเศษมากมายถึงเพียงนี้ แม้ว่าอยากจะถอนตัวก็ทำไม่ได้แล้วล่ะ”
“อืม ดูเอาเถิด เป็นโชคมิใช่เคราะห์ ถึงเป็นเคราะห์ก็หนีไม่พ้นอยู่ดี” เป่ยกงถังพูด
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมฆเคราะห์ก็มีอสนีบาตฟาดลงมาอีกสายหนึ่ง
อสนีบาตในครั้งนี้รุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ จนถึงขนาดที่ทุกคนรู้สึกว่าในขณะที่สายฟ้าฟาดลงมานั้นทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนไปทั่ว
“ทั้งหมดมีอสนีบาตกี่สายหรือ”
“เก้าสาย อสนีบาตสามสายนับเป็นหนึ่งกัลป์เล็กที่มีพลังไม่แตกต่างกันมากนัก แต่พลังของทั้งสามกัลป์เล็กนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ” เจ้าคำรามน้อยพูด “พลังของสัตว์อสูรเหนือเทพตนนี้ต้านรับอสนีบาตหกสายแรกได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะรอดจากอสนีบาตสามสายสุดท้ายไปได้หรือไม่ คนมากมายล้วนถูกอสนีบาตสามสายสุดท้ายฟาดใส่จนวอดวายกลายเป็นเถ้าถ่าน”
เมื่อได้ยินเจ้าคำรามน้อยพูดเช่นนี้ หัวใจของพวกเขาก็ลอยคว้าง อสนีบาตสายแรกๆ ก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้แล้ว ไม่รู้ว่าสามสายสุดท้ายจะเป็นเช่นไรบ้าง
หลังจากบดขยี้อสนีบาตไปห้าสายแล้ว สัตว์อสูรเหนือเทพตนนั้นก็เลือกที่จะยอมรับการชำระล้างของกัลป์สายฟ้า ให้อสนีบาตฟาดลงบนร่างของตน
หลายคนเพิ่งจะเคยเห็นการจำแลงกายของสัตว์อสูรเหนือเทพเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นเขาปะทะกับสายฟ้านั้นตรงๆ จึงพูดว่า “เหตุใดเขาจึงไม่วิ่งหนีเล่า”
“กัลป์สายฟ้าจำแลงกายนี้ อยากหนีก็หนีไม่พ้นหรอก เมฆเคราะห์นี้ได้เล็งที่เขาเอาไว้แล้ว ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน อสนีบาตนั้นก็จะฟาดเข้าใส่อยู่ดี ต่อให้เจ้าเลี้ยวลดเป็นการชั่วคราว ในที่สุดเจ้าก็ต้องปรากฏตัวอยู่ดี อสนีบาตนั่นยังคดเคี้ยวได้มากยิ่งกว่าตัวเจ้าเสียอีก” เจ้าคำรามน้อยพูด
ความจริงกัลป์สายฟ้าจำแลงกายนี้ก็ก่อตัวขึ้นเพราะสัตว์อสูรเหนือเทพจำแลงกายอยู่แล้ว จึงได้ตามติดกลิ่นอายของเขา
“ถ้าหากมีคนไปช่วยเขาเผชิญเคราะห์เล่า อย่างเช่นไปติดสายล่อฟ้า เช่นนั้นก็มิใช่ว่าจะดึงให้กระแสไฟฟ้าลงสู่ดินไปหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เย่ว์เย่ว์ เจ้าช่างโง่นัก ในเมื่อนี่คือกัลป์สายฟ้าจำแลงกาย ก็ย่อมมิใช่สายฟ้าธรรมดาอยู่แล้ว มันจะฟาดเฉพาะสัตว์อสูรจำแลงเท่านั้น ไม่มีทางฟาดใส่สายล่อฟ้าของเจ้าหรอก!” เจ้าคำรามน้อยพูดอย่างดูแคลน “ถ้าหากมีคนกล้าเสนอตัวเข้าไปช่วย ทั้งจำนวนและพลังของกัลป์สายฟ้านั้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ พอถึงตอนนั้นก็มิได้เป็นการช่วย หากแต่เป็นการเพิ่มภาระแล้วล่ะ”
“เช่นนั้นในภายหน้าเมื่อพวกเจ้าจำแลงกาย ข้าก็มิอาจช่วยพวกเจ้าได้เลยอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอีก
ตอนนี้เองเจ้าคำรามน้อยจึงได้รู้ว่าเธอกำลังเป็นห่วงพวกตนอยู่ จึงเอ่ยด้วยความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจว่า “ถ้าหากพวกเราจำแลงกาย เจ้าจะอยู่ด้วยได้ แต่คนอื่นมิได้ สายสัมพันธ์แห่งพันธสัญญาอนุญาตให้ทำเช่นนี้ได้”
กัลป์สายฟ้าสามสายสุดท้ายของสัตว์อสูรเหนือเทพควรจะฟาดตรงลงมาได้แล้ว แต่เนิ่นนานก็ยังไม่มีการตอบสนองเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่ทุกคนกำลังคาดเดาว่าเมื่อคืนนี้เขาได้ถูกกัลป์สายฟ้าฟาดใส่จนวอดวายกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วนั้นเอง แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นขุมหนึ่งก็ลอยมาจากเทือกเขาสั่วเฟยย่า
สัตว์อสูรวิเศษทั้งหมดต่างพากันหมอบลงกับพื้น ทำความเคารพไปทางเทือกเขาสั่วเฟยย่า
แม้กระทั่งเจ้าคำรามน้อยก็ยังออกมาจากอ้อมแขนของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก้มหัวลงเล็กน้อยไปยังทิศทางนั้น
“เจ้าคำรามน้อย เหตุใดเจ้าจึงต้องทำความเคารพมันด้วยเล่า” เจ้าอ้วนชวีมองเจ้าคำรามน้อย
หรือว่ามันก็พรั่นพรึงไปกับแรงกดดันนั้นเช่นกันเล่า
เจ้าคำรามน้อยเงยหน้าขึ้นแล้วกลับเข้าไปในอ้อมแขนของซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะเอ่ยว่า “นี่เป็นการแสดงความนับถือต่อสัตว์อสูรวิเศษที่จำแลงกายได้สำเร็จน่ะ”
แรงกดดันนั้นค่อยๆ สลายไปอย่างช้าๆ จากนั้นลำแสงแห่งการเลื่อนระดับสายหนึ่งก็ลอยมาจากเทือกเขา
“ข้าเชื่อว่าหลังจากที่เจ้านั่นจำแลงกายหลังประสบกับกัลป์สายฟ้าก็เลื่อนระดับเสียแล้ว!” เจ้าคำรามน้อยมองเห็นลำแสงแห่งการเลื่อนระดับจึงอดสบถออกมาประโยคหนึ่งมิได้
เมื่อลำแสงแห่งการเลื่อนระดับจางหายไป ราตรีอันยาวนานจึงผ่านพ้น ท้องนภาขาวราวท้องปลา
ค่ำคืนนี้ทุกคนพรั่นพรึงกันเป็นอย่างยิ่ง ทั้งพลังตามธรรมชาติ และพลังของสัตว์อสูรเหนือเทพ ต่างทำให้ความกลัวยังลอยวนเวียนอยู่ในใจของพวกเขา ราวกับอสนีบาตยังคงก้องสะท้อนอยู่ในหูของพวกเขา คล้ายกับว่าท้องฟ้าเหนือศีรษะพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
พร้อมกันนั้นทุกคนยังกังวลอยู่ในใจว่าถ้าหากการปฏิวัติสัตว์อสูรในครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับสัตว์อสูรจำแลง นี่ก็คือภัยพิบัติของเมืองไตรวารีเสียแล้ว!
“พี่เหล่ย ตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรกันดีเล่า” ซุนลี่ลี่มองวังเหล่ยอย่างเป็นกังวล
วังเหล่ยมองสัตว์อสูรวิเศษเบื้องล่างแล้วพูดว่า “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นถึงเจ้าเมืองไตรวารี ย่อมต้องอยู่กับเมืองไตรวารีอยู่แล้ว สำหรับคนอื่นๆ เด็ก และสตรี ล้วนอพยพไปกันหมดแล้ว ส่วนปรมาจารย์วิญญาณเหล่านั้น ถ้าพวกเขาอยากไปก็ให้ไปเสีย ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับเบื้องบนแล้วล่ะ”
เมื่อได้ยินว่าให้จากไปได้ ปรมาจารย์วิญญาณจำนวนไม่น้อยก็ร่นถอยไปจากบนกำแพงเมือง
แต่พวกเขายังมิทันบินไปได้ไกลสักเท่าใดนักก็ถูกแรงกดดันจากด้านหลังทำให้ร่วงหล่นลงสู่พื้นกันหมด
“มาแล้ว…”
คนบนกำแพงเมืองเห็นเงาร่างมนุษย์สายหนึ่งบุกมาจากเทือกเขาสั่วเฟยย่าอย่างรวดเร็ว ซึ่งเงาร่างสายนั้นก็คือสัตว์อสูรเหนือเทพตนนั้นนั่นเอง…
…………………………………….