ซือหม่าโยวเย่ว์เงยหน้าขึ้นก็เห็นเงาร่างคนรางๆ สายหนึ่งอยู่ตรงหน้าตน
“อาจารย์พ่อ”
เงาร่างคนผู้นั้นยิ้มจางๆ ให้ซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะกลายเป็นอณูเล็กๆ แล้วสลายหายไปกลางอากาศ
“นั่นมัน…รอยประทับวิญญาณนี่!” เป่ยกงถังพูดอย่างตกตะลึง
“รอยประทับวิญญาณคือสิ่งใดหรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม
“ก็คือการที่ยอดฝีมือระดับเทพแบ่งวิญญาณส่วนหนึ่งของตนออกมาแล้วใส่เอาไว้ในร่างของผู้อื่น ยามที่คนผู้นั้นได้รับอันตรายคุกคามถึงชีวิต รอยประทับวิญญาณนั้นก็จะตอบโต้โดยอัตโนมัติ” เป่ยกงถังพูด
“เช่นนั้นการที่ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากพายุหมุนได้ก็เพราะรอยประทับวิญญาณของอาจารย์เฟิงช่วยนางเอาไว้อย่างนั้นหรือ” เว่ยจือฉีคาดเดา
ซือหม่าโยวเย่ว์รับสัมผัสครู่หนึ่ง เงาร่างของเฟิงจือสิงในห้วงสมองก่อนที่เขาจะจากไปเลือนรางลงไปไม่น้อย น่าจะเป็นเพราะถูกใช้ไปเมื่อครู่แล้ว
เมื่อนึกถึงความรักใคร่ทะนุถนอมที่เฟิงจือสิงมีให้ต่อตน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็มีความรู้สึกอบอุ่นอย่างหนึ่งเอ่อท้นขึ้นมาในหัวใจ
สัตว์อสูรเหนือเทพมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าในร่างกายของเธอจะมีรอยประทับวิญญาณที่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพทิ้งเอาไว้ให้กับเธอ จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ต่อให้เจ้ามีรอยประทับวิญญาณช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ได้ครั้งหนึ่ง แต่รอยประทับวิญญาณมิอาจใช้ในเวลาใกล้กันจนเกินไปได้ มาดูกันว่าคราวนี้เจ้าจะยังมีลูกไม้อะไรอีก!”
พอพูดจบ เขาก็พลิกมือขวา หลังจากการกระทำของเขา ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้สึกว่าบนร่างกายของตนคล้ายกับมีภูเขาลูกหนึ่งกดดันเสียจนกระดูกทั่วร่างเธอส่งเสียงกรอบแกรบ
“ภูเขาสูงกดทับ ความรู้สึกเช่นนี้เป็นอย่างไรบ้างเล่า” สัตว์อสูรเหนือเทพมองสภาพของเธอในตอนนี้อย่างพึงพอใจพลางอมยิ้มถามขึ้น
“เจ้านาย ให้พวกเราออกไปเถิด!” เชียนอินและพวกเจ้าวิหคน้อยพูดผ่านสายสัมพันธ์แห่งพันธสัญญา
“อีกฝ่ายคือสัตว์อสูรเหนือเทพ เจ้า… พวกเจ้าล้วนเป็นสัตว์อสูรวิเศษ ถ้าหากออกมา แรงกดดันของเขาก็จะทำให้พวกเจ้าไม่มีเรี่ยวแรงต่อสู้เลยแม้แต่น้อย แล้วจะให้พวกเจ้าออกมาทำไม…”
เพราะไม่อาจเชื่อมต่อกับเจดีย์วิญญาณได้ ดังนั้นผู้ที่อยู่ด้านในจึงไม่เห็นสถานการณ์ของซือหม่าโยวเย่ว์เช่นเดียวกัน แต่พวกมันสัมผัสได้ถึงบาดแผลอันสาหัสของเธอ ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย
“ฮือๆ เป็นความผิดของข้าทั้งหมดเลย ถ้าหากไม่ใช่เพราะข้า ก็คงจะมิได้ไปยั่วยุสัตว์อสูรเหนือเทพเข้า เย่ว์เย่ว์ก็คงไม่ต้องได้รับบาดเจ็บหรอก” เจ้าคำรามน้อยร้องไห้เสียงดังออกมาจากภายในเจดีย์วิญญาณ
“เพียงแค่ข้าออกแรงมากขึ้นอีกสักเล็กน้อย ชีวิตของเจ้าก็จบสิ้นแล้ว” สัตว์อสูรเหนือเทพเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ร่วงลงกระแทกกับพื้น กระดูกแหลกสลายตลอดทั้งร่าง เสื้อผ้าก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ อีกทั้งสีหน้าก็ซีดขาวยิ่งกว่ากระดาษ แต่กลับไม่ได้ส่งเสียงเลยสักแอะเดียว เขามองอย่างละเอียด ที่แท้แล้วเธอกัดริมฝีปากของตนเองอยู่ตลอดเวลาจนโลหิตหลั่งรินลงมา
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ฝืนทนเช่นนี้ เขาก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาในทันที ความคิดที่จะเล่นสนุกกับเธอสูญสลายไป แล้วเอ่ยว่า “จบเรื่องเสียดีกว่า…”
เขายังพยายามเพิ่มแรงเข้าไปอีกเล็กน้อย แต่กลับพบว่าบนร่างซือหม่าโยวเย่ว์มีพลังขุมหนึ่งที่ต้านทานตนเอาไว้ เขาเพิ่มแรงมากขึ้น แต่กลับถูกต้านกลับมา ทำให้เขาร่นถอยหลังไปหลายสิบเมตร
“ปัง…”
ภูเขาที่มองไม่เห็นถูกยกขึ้น แรงกดดันที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าสัตว์อสูรเหนือเทพสายหนึ่งแผ่ออกมาจากร่างของซือหม่าโยวเย่ว์
สัตว์อสูรเหนือเทพเพิ่งจะพยุงร่างขึ้นมาก็สัมผัสถึงแรงกดดันขุมนั้นได้ ร่างกายของเขาสูญเสียการควบคุมไปในทันใด กลายเป็นร่างเดิมร่วงหล่นลงสู่พื้น
ถึงขนาดมิอาจรักษาร่างมนุษย์เอาไว้ได้ ที่แท้แล้วนี่มันแรงกดดันอันใดกันแน่!
“นี่คือนกอันใดกัน”
สัตว์อสูรเหนือเทพถูกกดดัน แรงกดดันที่เขากดดันพวกเว่ยจือฉีเอาไว้ก็สลายไปแล้ว ทั้งห้าคนกลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง
เป่ยกงถังรีบลุกขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งไปยังข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ เมื่อเห็นเธอแผ่หลาอยู่บนพื้นทั้งตัวก็เจ็บปวดใจจนนัยน์ตาแดงก่ำ
“จิ๊บๆๆ…”
สัตว์อสูรเหนือเทพถูกกดดันจึงส่งเสียงร้องยาวใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ มันกระพือปีกทั้งสองไม่หยุด คิดจะฝืนลุกยืนขึ้นมา
“กล้าดีนักนะ เจ้าไก่ฟ้าสี่ตา บังอาจแตะต้องแม้กระทั่งเจ้านายของข้า!” เสียงหนึ่งดังออกมาจากภายในร่างของซือหม่าโยวเย่ว์
“เจ้า.. เป็นผู้ใดกัน” สัตว์อสูรเหนือเทพกระพือปีก สองตาจ้องซือหม่าโยวเย่ว์เขม็ง
ลำแสงสีทองกะพริบวาบ ไข่อัปลักษณ์ฟองหนึ่งก็ออกมาจากร่างของซือหม่าโยวเย่ว์ จากนั้นจึงลอยเข้ามากระแทกใส่สัตว์อสูรเหนือเทพอย่างหนักหน่วง
“ปัง…”
ร่างมหึมาของไก่ฟ้าสี่ตาถูกไข่กระแทกจนลอยกระเด็น
พวกเจ้าอ้วนชวีปากอ้าตาค้างมองดูความเปลี่ยนแปลงตรงหน้า เดิมทีคิดว่าจะมีจุดจบคือการที่ไข่แตกกระจาย แต่คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ได้
ไก่ฟ้าสี่ตาตกตะลึงไปอย่างสิ้นเชิงยามที่ได้เห็นไข่เพลิงชาด ถึงแม้ว่าจะถูกกระแทกไปครั้งหนึ่ง แต่กลับไม่เกิดการต่อต้านขึ้นมาในใจเลยแม้แต่น้อย แตกต่างจากเมื่อครู่นี้ราวฟ้ากับเหว
“คิดไม่ถึงว่าร่างจริงของสัตว์อสูรเหนือเทพตนนี้จะเป็นไก่ฟ้าสี่ตา มิน่าเล่าเขาถึงมิได้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจที่เมืองไตรวารี” เว่ยจือฉีพูด
ในตำราโบราณบันทึกเอาไว้ว่าไก่ฟ้าสี่ตามีรูปร่างคล้ายไก่ เสียงร้องเหมือนหงส์ อุปนิสัยรักความยุติธรรม มักช่วยมนุษย์ขับไล่เสือสิงห์กระทิงแรด เป็นสัตว์อสูรวิเศษที่เต็มไปด้วยความยุติธรรมชนิดหนึ่ง
ถ้าหากมิใช่ว่าไปล่วงเกินเขาในคราวนี้ หากแต่เป็นสายพันธุ์นกตัวอื่นๆ เกรงว่าเมืองไตรวารีก็คงหนีเคราะห์ร้ายในคราวนี้ไม่พ้นเสียแล้ว
“ไข่ฟองนี้คือสิ่งใดหรือ” สิ่งที่ไป๋อวิ๋นฉีใคร่รู้มากกว่าก็คือตัวตนของเพลิงชาด แต่ให้เขามองอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ไข่อัปลักษณ์ฟองหนึ่งเท่านั้น มองตัวตนไม่ออกเลย
โอวหยางเฟยมองไปทางเว่ยจือฉี เขาเป็นนักฝึกสัตว์อสูร ย่อมรู้จักสัตว์อสูรวิเศษดีกว่าพวกเขามากมายอยู่แล้ว
เว่ยจือฉีส่ายหน้า เขาเองก็มองไม่ออกว่าไข่ฟองนี้เป็นสัตว์อสูรวิเศษสายพันธุ์ใดเช่นกัน
เพลิงชาดโจมตีไก่ฟ้าสี่ตาอีกหลายครั้ง ซึ่งพวกเขาล้วนได้ยินเสียงโจมตีอย่างรุนแรงทุกครั้ง แต่ไก่ฟ้าสี่ตากลับมิได้ต้านทานเลยแม้แต่น้อย
เมื่อโจมตีพอแล้วเพลิงชาดจึงค่อยกลับมาที่ข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ เมื่อเห็นสภาพของเธอก็ดูเหมือนจะไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านหลีกทางหน่อย” เพลิงชาดพูดกับเป่ยกงถัง
เป่ยกงถังไม่รู้ว่าเพลิงชาดจะทำอะไร แต่ในเมื่อมันเป็นสัตว์อสูรวิเศษของซือหม่าโยวเย่ว์ ก็ย่อมไม่มีทางทำร้ายเธออย่างแน่นอน นางจึงลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างๆ แทน
เพลิงชาดพุ่งตัวเข้าไปหาซือหม่าโยวเย่ว์ทันที ในขณะที่ชนกับเธอก็หายลับตาไป จากนั้นร่างกายของเธอก็มีเปลวเพลิงพรั่งพรูออกมา โอบล้อมเธอเข้าไปอย่างสมบูรณ์
ไก่ฟ้าสี่ตามองเห็นเปลวเพลิงนั้นแล้วร่างกายก็สั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิม
พวกเป่ยกงถังทนรับอุณหภูมิขนาดนี้ไม่ไหวจึงวิ่งตรงไปด้านหลังไกลพอสมควร จากนั้นจึงคอยสังเกตสถานการณ์ของเธอ
“เปลวเพลิงนี้ช่างมีอุณหภูมิสูงยิ่งนัก!” เจ้าอ้วนชวีร้อนจนเหงื่อไหลหยด เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อไม่หยุด
“นี่คงจะเป็นเปลวเพลิงที่กดดันเปลวเพลิงของสัตว์อสูรเหนือเทพกระมัง” โอวหยางเฟยพูด
“เปลวเพลิงนี้ย่อมต้องมีระดับขั้นสูงส่งมากอย่างแน่นอน มิฉะนั้นคงไม่มีทางทำให้สัตว์อสูรเหนือเทพหวั่นกลัวได้หรอก” เว่ยจือฉีพูดพลางมองดูร่างกายอันสั่นสะท้านของไก่ฟ้าสี่ตา
“ข้าว่า พวกเจ้าคงรู้ว่านี่คือสิ่งใดกระมัง อย่าละเลยคำถามของข้าสิ!” คำพูดของไป๋อวิ๋นฉีเมื่อครู่ไม่ได้รับคำตอบ เขาจึงถามขึ้นอีกครั้ง
ทั้งสี่คนส่ายหน้าพร้อมกันแล้วพูดว่า “พวกเราก็ไม่รู้ว่าโยวเย่ว์ยังมีสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาตนนี้อยู่ด้วย พวกเราเองก็เพิ่งจะเคยเห็นมันเป็นครั้งแรกเช่นกัน”
“เปลวเพลิงกองนั้นห่อหุ้มร่างโยวเย่ว์ไปทำไมกัน กระดูกนางหักไปทั่วทั้งร่างแล้ว พวกเราต้องรีบช่วยรักษานางให้เร็วที่สุดสิจึงจะใช้ได้!” เจ้าอ้วนชวีมองคนที่ถูกเปลวเพลิงห่อหุ้มอยู่อย่างร้อนใจ
“ข้าคิดว่ามันคงจะกำลังรักษาอาการบาดเจ็บของโยวเย่ว์อยู่กระมัง” เป่ยกงถังเอ่ยคาดเดา
“ข้าเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “ในเมื่อตอนนี้พวกเรามิอาจเข้าใกล้เปลวเพลิงกองนั้นได้ เช่นนั้นพวกเราก็คงได้แต่รอคอยกันอยู่ที่นี่แล้วล่ะนะ”
เมื่อครู่ทุกคนล้วนได้รับบาดเจ็บกันทั้งสิ้น ดังนั้นทุกคนจึงนั่งลงโคจรปราณเพื่อฟื้นฟูร่างกาย
คิดไม่ถึงว่าการรอคอยครั้งนี้จะยาวนานถึงสามวัน สามวันให้หลัง เปลวเพลิงกองนั้นจึงค่อยๆ จางลงไปอย่างช้าๆ มีแนวโน้มที่จะสูญสลายไป