ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกเปลวเพลิงห่อหุ้มเอาไว้ตลอดสามวันเต็ม พวกเขาคิดว่าเธอคงจะอยู่ในสภาพหมดสติ แต่เธอกลับมีสติรับรู้แจ่มชัดอยู่ตลอด รับรู้การที่เปลวเพลิงเผาผลาญกระดูกทุกท่อนในร่างกายตนด้วยสติอันสมบูรณ์
คราวก่อนตอนอยู่ในถ้ำที่เทือกเขาผู่สั่ว เพลิงชาดใช้เปลวเพลิงของมันดัดแปลงเส้นลมปราณของเธอ คราวนี้มันก็ใช้เปลวเพลิงดัดแปลงกระดูกของเธออีก กระดูกที่ผ่านการเผาผลาญนั้นก็แข็งแกร่งราวกับปราณวิญญาณที่ผ่านการหล่อหลอม
ถ้าหากเผชิญกับสถานการณ์เมื่อสามวันก่อนในขณะนี้ กระดูกของเธอก็คงจะไม่หักอย่างง่ายดายขนาดนั้นอีกแล้ว
สามวันให้หลัง เพลิงชาดก็ดัดแปลงร่างกายเธอจนเสร็จสิ้น มันเก็บเปลวเพลิงของตนกลับเข้าไปอย่างช้าๆ
“เจ้าสวมเสื้อผ้าก่อนเถิด” เพลิงชาดพูดอยู่ในมิติพันธสัญญา
ตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์หายดีอย่างสมบูรณ์แล้ว เธอมองดูร่างอันเปล่าเปลือยของตนแล้วหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งจากในแหวนเก็บวัตถุมาสวมใส่
ก่อนหน้านี้เปลวเพลิงไม่ทำตามการควบคุมของเธอ ดังนั้นจึงได้เผาเสื้อผ้าของเธอไปจนหมด แต่ตอนนี้มันมิได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อสิ่งของในมือเธอเลย
เมื่อสวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ซือหม่าโยวเย่ว์ความคิดวูบไหวคราหนึ่ง เปลวเพลิงก็มอดดับสนิท
“โยวเย่ว์”
พวกเป่ยกงถังเห็นว่าไม่มีเปลวเพลิงบนร่างซือหม่าโยวเย่ว์อีกต่อไปแล้ว จึงรีบวิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาถูกสัตว์อสูรเหนือเทพทำร้ายจนบาดเจ็บ จึงเอ่ยถามว่า “พวกเจ้าเป็นอย่างไรกันบ้าง”
“พวกเราหายดีกันหมดแล้ว แล้วเจ้าเล่า”
ซือหม่าโยวเย่ว์ขยับร่างกายพลางอมยิ้มเอ่ยว่า “หายดีแล้วล่ะ”
“โอ้… โยวเย่ว์ เปลวเพลิงนั้นของเจ้าคือเปลวเพลิงอันใดกันน่ะ มหัศจรรย์ถึงเพียงนี้เชียว! แล้วเจ้าไข่ฟองนั้นของเจ้าคือสัตว์อสูรวิเศษอะไรหรือ” ไป๋อวิ๋นฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างประหลาดใจ
ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วเอ่ยอย่างจนใจยิ่ง “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันคือสัตว์อสูรวิเศษอะไร มันไม่เคยบอกข้ามาก่อนเลย”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเธอ ทุกคนล้วนอับจนคำพูด สัตว์อสูรวิเศษของตัวเองเป็นสัตว์ชนิดใดก็ยังไม่รู้ คาดว่าคงมีแต่เธอเท่านั้นแหละที่เป็นเช่นนี้
ขณะนี้เอง เพลิงชาดก็ออกมาจากร่างของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วบินไปตรงหน้าไก่ฟ้าสี่ตาที่หมอบอยู่บนพื้น
“เจ้าสำนึกผิดหรือไม่” เสียงของเพลิงชาดแฝงไว้ด้วยความสูงศักดิ์โดยกำเนิด และดูน่าเกรงขามแม้มิได้โกรธเคือง
“ข้าสำนึกผิดแล้ว” ไก่ฟ้าสี่ตาวางศีรษะลงบนพื้นพลางเอ่ยเสียงต่ำ
“เจ้าคำรามน้อยล่วงเกินเจ้า เจ้ากลับต้องการเอาชีวิตเขา ทำร้ายเจ้านายของข้า เจ้าจบชีวิตตัวเองเสียเถิด” เพลิงชาดพูดอย่างเรียบเรื่อย
พวกเว่ยจือฉีต่างอ้าปากค้างอย่างตกใจ นี่เป็นจังหวะที่จะฆ่ามันอย่างนั้นหรือ
นัยน์ตาของไก่ฟ้าสี่ตาฉายแววไม่ยินยอม แต่กลับไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของท่านผู้นี้ มนุษย์พวกนั้นไม่รู้ตัวตนของเขา แต่มันรู้ดี
“จิ๊บๆ…”
มันเงยหน้าส่งเสียงร้องแหลมสูง กำลังจะจบชีวิตของตัวเอง
“ช้าก่อน!” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่งเสียงแล้วรีบกะพริบร่างไปอยู่ตรงหน้าไก่ฟ้าสี่ตาอย่างรวดเร็ว ขัดขวางการกระทำของมันเอาไว้
“ว่าอย่างไร” เพลิงชาดถาม
“เรื่องนั้น… ไก่ฟ้าสี่ตาก็มิใช่สัตว์อสูรร้ายอะไร ทั้งยังมิได้สังหารมนุษย์ไม่เลือกหน้าด้วย ไม่ง่ายเลยนะกว่าจะบำเพ็ญจนไปถึงระดับสัตว์อสูรเหนือเทพได้ หากตายไปเช่นนี้คงน่าเสียดายเหลือเกิน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“แต่มันทำร้ายเจ้านะ!” เพลิงชาดพูดอย่างโมโห “ถ้าหากมิใช่เพราะข้าสัมผัสถึงอันตรายได้ แล้วฟื้นตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา ชีวิตเจ้าก็คงจบสิ้นแล้ว!”
“นั่นก็มิใช่เพราะเจ้าคำรามน้อยไปทำให้มันโมโหหรอกหรือ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของมันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์แก้ตัวแทนไก่ฟ้าสี่ตา
“เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำเช่นไรเล่า” ถ้าหากเพลิงชาดเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ทุกคนคงจะเห็นเขาสีหน้าบูดบึ้งแล้ว
“ปล่อยมันไปเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
มิใช่ว่าเธออยากจะทำคุณบูชาโทษ เพียงแต่ว่าเรื่องในวันนี้มิใช่ความผิดของไก่ฟ้าสี่ตาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว นอกจากนี้เมื่อนึกถึงว่าเขามิได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจที่เมืองไตรวารี เธอจึงรู้สึกว่าสัตว์อสูรวิเศษเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่ง
โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นเขาประสบกับกัลป์สายฟ้าจำแลงกายในคืนนั้น ใจเธอจึงนับถือเขาเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ที่กล้าท้าทายกฎของโลก ล้วนคู่ควรให้คนนับถือทั้งสิ้น
ไก่ฟ้าสี่ตาคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะช่วยพูดแทนตน มันรู้ว่าเธออยากจะปล่อยมันไป เช่นนั้นก็นับได้ว่าวันนี้ตนรักษาชีวิตเอาไว้ได้แล้ว
เพลิงชาดเงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “มิใช่ว่าปล่อยเขาไปไม่ได้หรอกนะ แต่ตอนนี้พลังยุทธ์เจ้าอ่อนแอเช่นนี้ จำเป็นจะต้องมีคนคอยปกป้องเจ้าจริงๆ น่ะสิ ไก่ฟ้าสี่ตา เจ้าเต็มใจยอมรับนางเป็นเจ้านายหรือไม่”
หา…
ให้สัตว์อสูรเหนือเทพยอมรับเป็นเจ้านายอย่างนั้นหรือ
สัตว์อสูรวิเศษภายในเจดีย์วิญญาณโกลาหลกันขึ้นมา เหนือพวกเขาขึ้นไปก็มีเพลิงชาดคอยกดดันพวกเขาอยู่ตนหนึ่งแล้ว ตอนนี้ถ้าหากมีสัตว์อสูรเหนือเทพมาเพิ่มอีกตนหนึ่ง เช่นนั้นสถานะของพวกเขาก็ไม่ถอยหลังไปอีกหรือ
“เย่ว์เย่ว์เอ๋ย… เมื่อครู่เจ้านี่เพิ่งจะคิดฆ่าเจ้าอยู่หยกๆ เจ้าอย่าตกลงเชียวนะ!”เจ้าคำรามน้อยโอดครวญ
“แต่ถ้ามีสัตว์อสูรเหนือเทพอยู่ พลังยุทธ์ของเจ้านายก็จะเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อยเลยนะ” เชียนอินมีเชาวน์ปัญญามากกว่า จึงมองเรื่องราวได้รอบด้านมากกว่า
“ถึงอย่างไรข้าก็รั้งท้ายอยู่แล้วนี่” ย่ากวงที่เพิ่งเลื่อนระดับเป็นสัตว์อสูรเทพกำลังขุดดินอยู่บนพื้น แต่น้ำเสียงออกจะไม่พอใจอยู่บ้าง
การเลื่อนระดับของมันนับได้ว่ารวดเร็วที่สุดในบรรดาสัตว์อสูรวิเศษแล้ว อ้างอิงจากการเลื่อนระดับของซือหม่าโยวเย่ว์ผู้เป็นนาย ที่ยังมีการทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรเทพตนอื่นๆ ด้วย มันจึงเลื่อนระดับจากสัตว์อสูรทิพย์กลายเป็นสัตว์อสูรเทพอย่างรวดเร็ว
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นไก่ฟ้าสี่ตาเงียบงันไป จึงเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องติดตามข้าหรอก ตอนนี้พลังจิตของข้ามิอาจทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษตนอื่นได้อีกแล้ว นอกจากนี้เจ้ายังเป็นสัตว์อสูรเหนือเทพด้วย ข้าทั้งมิอาจฝึกให้เชื่องได้ ทั้งยังมิอาจทำพันธสัญญากับเจ้าได้ด้วย”
“เช่นนั้นก็ให้เขายอมรับเป็นเจ้านายเองสิ” เพลิงชาดพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “การยอมรับเป็นเจ้านายเองนั้นย่ำแย่เกินไป ถ้าหากใช้วิธีการของข้าทำพันธสัญญาจะดีต่อทั้งมนุษย์และสัตว์อสูร การเลื่อนระดับในภายภาคหน้าก็จะง่ายดายขึ้นเป็นอันมาก”
“เจ้านี่ช่าง…” เพลิงชาดอับจนคำพูดกับความคิดของซือหม่าโยวเย่ว์
ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวเข้าไปตบจงอยปากของไก่ฟ้าสี่ตาเบาๆ แล้วหยิบยาวิเศษออกมาขวดหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “นี่คือยาวิเศษที่ข้าหลอมขึ้นมา เวลาพวกเจ้าคำรามน้อยบาดเจ็บก็กินสิ่งนี้กันทั้งนั้น ไม่รู้ว่าจะได้ผลกับเจ้าที่เป็นสัตว์อสูรเหนือเทพหรือไม่ ก็กินสักหลายเม็ดหน่อยแล้วกัน”
พอพูดจบเธอจึงเทยาวิเศษออกมาจนหมดขวดแล้วโยนเข้าไปในปากมัน
กลิ่นหอมจางๆ ของยาแผ่ซ่านอยู่ในปาก ไก่ฟ้าสี่ตามองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างตกตะลึง
ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปเสียเถิด”
ไก่ฟ้าสี่ตาเบนสายตาไปทางเพลิงชาด หากไม่ได้รับอนุญาตจากเขา มันก็ไม่กล้าจากไป
เพลิงชาดเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ตอนอยู่ที่ดินแดนอี้หลิน เจ้าก็ติดตามนาง รอให้นางไปจากดินแดนแห่งนี้ก่อน มิได้ทำพันธสัญญากับเจ้า เจ้าก็เป็นอิสระแล้ว ถ้าหากนางได้รับบาดเจ็บที่ดินแดนอี้หลิน เจ้าก็เตรียมตัวกลายเป็นนกย่างได้เลย”
พอพูดจบมันก็แปลงกายเป็นลำแสงสีทองหายเข้าไปในหว่างคิ้วของซือหม่าโยวเย่ว์ กลับเข้าไปในมิติพันธสัญญา
เมื่อเห็นเพลิงชาดเผด็จการเช่นนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ลูบจมูกตัวเอง
“ถ้าหากเจ้าไม่ต้องการ ก็ไม่ต้องสนใจเพลิงชาดหรอกนะ”
ไก่ฟ้าสี่ตามองซือหม่าโยวเย่ว์ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “ข้าเต็มใจติดตามเจ้าชั่วคราวก่อนก็ได้”
มันบอกว่าติดตามเธอชั่วคราวก็มิได้แปลว่าจะยอมรับเธอเป็นเจ้านายอย่างแน่นอน ถ้าหากสุดท้ายแล้วเธอไม่เข้าตามัน มันก็คงไม่เลือกเธออยู่ดี
ไม่มีแรงกดดันของเพลิงชาดแล้ว ไก่ฟ้าสี่ตาจึงจำแลงกายเป็นร่างมนุษย์อีกครั้ง
“ดี”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ก็มีสัตว์อสูรเหนือเทพเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน การเปลี่ยนแปลงในคราวนี้ทำให้หลายคนที่อยู่ด้านหลังพากันอิจฉาตาร้อน!
“ใช่แล้ว เจ้าชื่ออะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม เธอจะเคยชินกับการเรียกคนข้างกายตนว่าท่านได้อย่างไรกันเล่า
“ชื่อหรือ” ไก่ฟ้าสี่ตาสะดุ้งคราหนึ่ง เนิ่นนานแล้วที่ไม่มีใครเคยเรียกชื่อมันมาก่อนเลย “เจ้าเรียกข้าว่าเจ้าไก่ฟ้าก็พอแล้ว”