เมื่อเห็นว่าซือหม่าโยวเย่ว์จัดการเรื่องราวตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว พวกเว่ยจือฉีจึงเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “แล้วตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรกันต่อหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองไป๋อวิ๋นฉีแล้วพูดว่า “หรือพวกเราจะตรงไปยังเมืองผิงคังกันเลยเล่า”
“เรื่องนั้น… เพราะเรื่องการปฏิวัติสัตว์อสูรก่อนหน้านี้ จึงยังไม่ได้เอกสารยืนยันตัวตนของพวกเจ้ามา ดังนั้นพวกเรายังต้องกลับไปเอาเอกสารยืนยันตัวตนกันก่อนนะ” ไป๋อวิ๋นฉีพูด
ใช่แล้ว พวกเขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
“เช่นนั้นพวกเรากลับเมืองไตรวารีกันก่อน รับเอกสารยืนยันตัวตนแล้วค่อยไปเมืองผิงคัง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
พวกเขาขึ้นบนหลังนกแร้งเทวะ บินมุ่งหน้าไปยังเมืองไตรวารี เจ้าไก่ฟ้าก็เก็บแรงกดดันของตนไปแล้วนั่งบนหลังนกแร้งเทวะไปด้วยกันกับพวกเขา
ตอนกลับถึงเมืองไตรวารี ประตูเมืองยังคงปิดสนิท เมื่อเห็นเจ้าไก่ฟ้ากลับมาพร้อมกันกับพวกไป๋อวิ๋นฉี อีกทั้งซือหม่าโยวเย่ว์ยังคงมีชีวิตดีอยู่ ต่างพากันตกตะลึงไม่น้อย
“เขาไม่ตายหรือนี่!”
“หรือเกิดเรื่องราวพลิกผันอันใดขึ้นน่ะ”
“สัตว์อสูรเหนือเทพนี่มาอีกแล้ว คงจะมิได้เกิดการปฏิวัติสัตว์อสูรขึ้นอีกกระมัง”
“คงจะไม่หรอก เจ้าดูสิ เขามาพร้อมกันกับพวกนายน้อยนะ”
“หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้วนะ”
เพราะมีเจ้าไก่ฟ้าอยู่ ดังนั้นนกแร้งเทวะจึงบินตรงเข้าไปยังท้องฟ้าเหนือจวนเจ้าเมือง
วังเหล่ยและซุนลี่ลี่รู้สึกอยู่ก่อนแล้วว่าจะมีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่มา ดังนั้นเมื่อเห็นพวกเขาจึงรู้สึกตกใจ
“ท่านน้าเล็ก ท่านน้าเขย พวกเรากลับมาแล้ว!”
เมื่อมาถึงท้องฟ้าเหนือจวนเจ้าเมือง พวกเขาแต่ละคนก็เหาะเหินกันเอง เว่ยจือฉีเก็บตัวนกแร้งเทวะกลับไป
เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าไก่ฟ้าอยู่ด้วยกัน วังเหล่ยและซุนลี่ลี่ต่างเกิดความสงสัยขึ้นในใจแต่ก็มิได้พูดออกมา เพียงแค่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อมากันหมดแล้วก็ลงมาสนทนากันดีกว่านะ เชิญท่านด้วย”
เจ้าไก่ฟ้ามองซือหม่าโยวเย่ว์ ตอนนี้นับได้ว่าเขาเป็นผู้คุ้มกันของเธอ จะต้องคอยติดตามเธอ เชื่อฟังเธอไปตลอดหลายปีนี้
“ไปกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์บินนำลงไปก่อน
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ นัยน์ตาของวังเหล่ยและซุนลี่ลี่ก็ยิ่งฉายแววตกใจอย่างเข้มข้นยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้สัตว์อสูรเหนือเทพยังจะจองล้างจองผลาญเธออยู่เลย ตอนนี้เห็นเช่นนี้ เขาเห็นเธอเป็นเจ้านายเสียแล้ว!
ระหว่างนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
พวกเขามองไปทางไป๋อวิ๋นฉี เขาส่ายหน้า เขาได้ตกลงเอาไว้แล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ออกไป
เมื่อมาถึงจวนเจ้าเมือง พวกวังเหล่ยก็นำทางพวกซือหม่าโยวเย่ว์ไปยังโถงรับแขก เพราะมีเจ้าไก่ฟ้าอยู่ พวกวังเหล่ยจึงไม่กล้านั่งตรงที่นั่งประธานอีกต่อไป
ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าไก่ฟ้านั่งอยู่ตรงที่นั่งฝั่งซ้ายด้านบนสุด สามีภรรยาวังเหล่ยจึงได้แต่นั่งลงตรงข้ามพวกเขา ส่วนคราวนี้พวกเว่ยจือฉีนั่งลงตรงที่นั่งด้านหลัง
“ท่านเจ้าเมือง ฮูหยิน พวกเรากลับมาในคราวนี้อยากถามสักหน่อยว่า เอกสารยืนยันตัวตนของพวกเราเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยถามตรงๆ
“เสร็จเรียบร้อยแล้ว” ซุนลี่ลี่พูดด้วยรอยยิ้ม “เสร็จตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว แต่เพราะเรื่องการปฏิวัติสัตว์อสูร จึงมิได้มอบให้พวกเจ้าเสียที หลังจากนี้พวกเจ้าก็จะไปจากเมืองไตรวารีแล้ว สิ่งนี้วางอยู่ข้างกายข้ามาตลอดเลย”
พอพูดจบ ป้ายหลายอันก็ปรากฏขึ้นในมือนาง
สาวใช้คนหนึ่งก้าวเข้ามารับป้ายไปจากมือของนางแล้วมอบให้กับพวกซือหม่าโยวเย่ว์
“ป้ายนี้ทำขึ้นจากพลอย เมื่อใส่พลังวิญญาณเข้าไปก็จะเห็นข้อมูลของพวกเจ้าทันที” ไป๋อวิ๋นฉีอธิบายให้ทุกคนฟัง
ซือหม่าโยวเย่ว์ลองใส่พลังวิญญาณเข้าไปข้างใน ลำแสงสีขาวสายหนึ่งวาบขึ้นมา จากนั้นตัวอักษรจำนวนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ด้านบนระบุเอาไว้ว่า ‘ซือหม่าโยวเย่ว์ ภูมิลำเนาเมืองไตรวารี คนของจวนเจ้าเมือง’
ของพวกเว่ยจือฉีก็มีข้อมูลแบบเดียวกัน เมื่อถอนพลังวิญญาณออก ตัวอักษรเหล่านั้นก็หายไป
มีของสิ่งนี้อยู่ก็นับได้ว่าพวกเขาเป็นคนที่มีตัวตนแล้ว
เมื่อเก็บเอกสารยืนยันตัวตนลงไปแล้ว เว่ยจือฉีจึงประสานมือพูดกับวังเหล่ยว่า “ขอบคุณท่านเจ้าเมืองและฮูหยินมากที่ทำของสิ่งนี้ให้กับพวกเรา”
“พวกเรายังไม่ได้ขอบคุณในสิ่งที่พวกเจ้าทำให้กับเมืองไตรวารีเลยนะ!” ซุนลี่ลี่พูด “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเดิมทีพวกเจ้าก็เป็นสหายของอวิ๋นฉี ทั้งยังมีบุญคุณช่วยชีวิตเขาอยู่แล้ว ใช่แล้ว แผนต่อไปของพวกเจ้าคืออะไรหรือ”
“พวกเราจะไปที่เมืองผิงคังก่อน แล้วใช้ค่ายกลนำส่งไปยังอาณาจักรอู๋กลางจากที่นั่น” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเราจะไปดูสถานการณ์ที่นั่นสักหน่อย”
ซุนลี่ลี่พยักหน้าแล้วพูดว่า “เช่นนี้ก็ดีไปดูสถานการณ์ให้เข้าใจเสียก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายเมื่อถึงเวลา เช่นนั้นพวกเจ้าวางแผนจะไปกันเมื่อใดเล่า”
“ถ้าเป็นไปได้ควรเร็วที่สุดที่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถ้าหากเป็นไปได้ พวกเราก็จะไปกันเดี๋ยวนี้เลย”
“รีบร้อนถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“มีเรื่องค้างคาใจ จึงอยากจะรีบจัดการมันให้เร็วหน่อยอยู่ตลอด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ก็ได้ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่รั้งพวกเจ้าไว้แล้วล่ะ” ซุนลี่ลี่มองเจ้าไก่ฟ้าพลางถามว่า “ท่านก็ไปด้วยอย่างนั้นหรือ”
“ตอนนี้ข้าเป็นองครักษ์ของนางแล้ว ต้องติดตามนางไปตลอดหลายปีนี้” เจ้าไก่ฟ้าเอ่ยตอบ
ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ขอขอบคุณท่านเจ้าเมืองและฮูหยินอีกครั้งที่ทำเอกสารยืนยันตัวตนให้พวกเรา ลาก่อน”
“ลาก่อน!” พวกเว่ยจือฉีก็ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้นเช่นกัน
ไป๋อวิ๋นฉีคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะไปอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ ช้าอยู่ครู่หนึ่งจึงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “ท่านน้าเล็ก ท่านน้าเขย พวกเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ทางนี้ ข้าจะไปนำทางให้พวกเขา กลับไปยังเมืองผิงคังพร้อมกัน!”
ซุนลี่ลี่ถลึงตาใส่ไป๋อวิ๋นฉีแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเด็กผู้นี้ มาที่นี่ทีไรก็อยู่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น นี่เพิ่งไม่กี่วันก็จะไปอีกแล้ว!”
“ข้ามีเรื่องต้องทำนี่นา คราวหน้า… คราวหน้าข้าจะมาเล่นกับท่านน้าเล็กคนงามของข้าหลายๆ วันเลย ว่าอย่างไรเล่า” ไป๋อวิ๋นฉีพูดพลางยิ้มอย่างมีความสุข
“คราวก่อนเจ้าก็พูดเช่นนี้แหละ!” ซุนลี่ลี่ก้าวเข้ามาหยิกแก้มเขาพลางเอ่ยว่า “เจ้ามันช่างไร้หัวใจนัก เมืองไตรวารีของข้าแห่งนี้รั้งเจ้าเอาไว้ไม่ได้หรอก อยากไปก็ไปเสียเถิด จำเอาไว้ คราวหน้าถ้ามาที่นี่แล้วยังกล้าไปที่สั่วเฟยย่าโดยไม่บอกไม่กล่าวอีก ข้าจะฟาดก้นเจ้าให้ลายพร้อยเลย เข้าใจหรือไม่”
“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว!” ไป๋อวิ๋นฉีช่วยใบหน้าของตัวเองออกมาจากกรงเล็บมารของซุนลี่ลี่ ก่อนจะจากไปพร้อมกันกับพวกซือหม่าโยวเย่ว์
เพราะคนของกลุ่มทหารรับจ้างนกนางนวลกลับไปรับภารกิจที่เมืองผิงคังกันแล้ว กลุ่มที่กลับไปด้วยกันจึงมีเพียงแค่พวกเขาหกคน บวกกับเจ้าไก่ฟ้าเท่านั้น
มาถึงสมาคมปรมาจารย์วิญญาณ อีกฝ่ายก็เปิดค่ายกลนำส่งให้กับพวกเขาเลยโดยมิได้เรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากพวกเขาแต่อย่างใด ทั้งยังมิได้ให้พวกเขาแสดงเอกสารยืนยันตัวตนด้วย
เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ของไป๋อวิ๋นฉีกับจวนเจ้าเมือง นี่ก็มิใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นประกายอันคุ้นเคยสว่างขึ้นจึงแอบโล่งใจอยู่บ้างแล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถิด พวกเราไปที่เมืองต่อไปกัน”
พวกเขายืนขึ้น ประกายนั้นก็ยิ่งเข้มขึ้น เพียงพริบตาเดียวก็หายไปจากค่ายกลแล้ว
เมื่อเห็นพวกเขาจากไป คนของสมาคมปรมาจารย์วิญญาณจึงค่อยถอนหายใจออกมา
พวกเขาถึงกับได้สัมผัสสัตว์อสูรเหนือเทพในระยะประชิด นอกจากนี้อีกฝ่ายยังมิได้อาละวาดสังหารผู้คน ระยะเวลาเพียงไม่กี่นาทีสั้นๆ นี้คงจะเป็นความทรงจำชั่วชีวิตของพวกเขาเลยทีเดียว
ซุนลี่ลี่และวังเหล่ยยืนอยู่ในลานบ้านของสมาคมปรมาจารย์วิญญาณ เมื่อเห็นพวกเขาจากไป ซุนลี่ลี่จึงเอ่ยด้วยอารมณ์อันอ่อนไหวว่า “เดิมทีคิดว่าเจ้าเด็กโยวเย่ว์นั่นจะประสบเคราะห์ร้ายเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะทำให้อีกฝ่ายยอมสวามิภักดิ์ได้ ข้าว่าเจ้าเด็กผู้นี้คงมิใช่มนุษย์ธรรมดาแล้วล่ะ เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
“ในเมื่ออวิ๋นฉีไม่บอก นั่นแปลว่าพวกเขาให้เขาเก็บเป็นความลับ ถึงแม้ว่าเขาจะมิได้ทำเอง ก็ต้องเป็นฝีมือของคนข้างกายเขา ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็มิอาจประเมินต่ำไปได้เลย!” วังเหล่ยสะเทือนอารมณ์ไปด้วย
“ข้าหวังให้เขาช่วยท่านปู่ของเขาได้สำเร็จจริงๆ นะ”
“ต้องทำได้แน่ ก่อนหน้านี้ข้าก็รู้สึกอยู่แล้วว่าเขาต้องทำได้ ตอนนี้ยังมีสัตว์อสูรเหนือเทพคอยช่วยเหลือเขาอีก ก็ยิ่งไม่มีปัญหาเลย”