ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า หลังจากนั้นก็มองเสี่ยวถูแล้วพูดว่า “เจ้าอยากหรือไม่”
“ข้าอยากฝึกยุทธ์ ข้าไม่อยากเป็นเช่นนี้ไปตลอดชีวิตหรอกนะ” เสี่ยวถูพูดอย่างแน่วแน่
“แต่วิธีนี้อาจทำให้เจ้าเจ็บปวดทุกข์ทรมาน หรืออาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เจ้ายังอยากจะลองดูอยู่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ไม่ว่าจะต้องทนรับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างไร ข้าก็ทนรับได้ทั้งนั้น” เสี่ยวถูมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วลุกขึ้นมาคุกเข่าต่อหน้าเธอพลางเอ่ยว่า “พี่สาว ท่านได้โปรดช่วยข้าด้วย!”
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นแววตาของเสี่ยวถูก็รู้ว่าเขาจะต้องเคยประสบกับเรื่องราวมาไม่น้อยอย่างแน่นอน ถึงได้มีจิตใจเช่นนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย
เธออุ้มเขาขึ้นมาแล้วพูดว่า “หัวเข่าของเจ้ายังมีแผลอยู่ อย่าคุกเข่าเลย”
“พี่สาว ท่านรับปากแล้วหรือ” เสี่ยวถูมองซือหม่าโยวเย่ว์
“วิธีของข้านั้นออกนอกลู่นอกทาง ขอเพียงแค่เจ้าทนรับความเจ็บปวดไหว ก็ย่อมได้อยู่แล้ว”
“ข้าทนไหว ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดเช่นไร ข้าก็ทนไหวทั้งนั้นแหละ” เสี่ยวถูพูด
“โยวเย่ว์ เจ้ามีวิธีอะไรหรือ” เป่ยกงถังถาม
“เปลวเพลิงของเพลิงชาดช่วยแผดเผาทุกอย่างได้ ในเมื่อสิ่งแปลกปลอมภายในเส้นลมปราณของเขาติดแน่นราวกับสนิม ก็เผาทิ้งเสียเลย!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ใช้เปลวเพลิงเผาสิ่งแปลกปลอมทิ้งให้หมดอย่างนั้นหรือ” เป่ยกงถังตกใจกับวิธีการนี้จนสะดุ้งแล้วพูดว่า “เปลวเพลิงนั่นของเจ้า แม้แต่เจ้าไก่ฟ้าก็ยังทนไม่ไหว แล้วจะทำร้ายเสี่ยวถูหรือไม่”
“ไม่ทำร้ายเขาหรอก เพียงแต่กระบวนการนี้อาจจะเจ็บปวดแสนสาหัสเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถ้าหากปณิธานของเขาแน่วแน่มากพอ ทนรับได้ไหว ก็ไม่มีปัญหาแล้วล่ะ”
“พี่สาว หากเจ็บปวดครั้งเดียวแล้วเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของข้าได้ ข้าก็เต็มใจจะลองดูสักตั้ง ต่อให้ต้องจบชีวิตลงด้วยเหตุนี้ ก็ยังดีกว่าอยู่ไปแบบนี้ชั่วชีวิต” เสี่ยวถูพูดพลางมองเป่ยกงถัง
เป่ยกงถังมองเสี่ยวถู จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าจะจัดการให้เขาเมื่อใดหรือ”
“ไม่ต้องรีบร้อน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “อาการบาดเจ็บบนร่างเขายังไม่หายดีเลย กว่าเขาจะหายดีก็คงต้องใช้เวลาอีกวันสองวัน นอกจากนี้ข้ายังต้องหลอมยาวิเศษที่จำเป็นให้กับเขาอีกด้วย”
“พี่สาวเป็นนักหลอมยาด้วยหรือ” เสี่ยวถูได้ยินว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะหลอมยา จึงถามขึ้นอย่างใคร่รู้
“ถูกต้อง” ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นมือไปเตรียมบีบจมูกเสี่ยวถูแล้วพูดว่า “เสี่ยวถู ยามอยู่ข้างนอกเจ้าห้ามเรียกข้าว่าพี่สาวนะ ต้องเรียกข้าว่าพี่ชาย เข้าใจหรือไม่”
เสี่ยวถูพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว พี่ส… พี่ชาย ท่านไม่เหมือนกับผู้อื่นเลย”
“มีอะไรไม่เหมือนหรือ”
“เมื่อก่อนในตระกูลเราก็มีนักหลอมยาอยู่เช่นกัน แต่เขาช่างยโสโอหังนัก นอกจากประมุขตระกูลแล้วเขาก็ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาอีกเลย เชิดหน้าชูคอเสียจนจมูกแตะท้องฟ้า! แต่พี่สาวไม่เย่อหยิ่งเลยสักนิด เสี่ยวถูชอบมากเลย” เสี่ยวถูเอ่ยตอบ
“ฮ่าๆ ดูไม่ออกเลยนะว่าปากของเสี่ยวถูเคลือบน้ำตาลเอาไว้ด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดยิ้มๆ
“ข้าพูดความจริงนะ” เสี่ยวถูพูดอย่างจริงใจ
“อืม พี่ชายเชื่อเจ้า” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบศีรษะเสี่ยวถูพลางหัวเราะ
ความรู้สึกที่เสี่ยวถูมีต่อเธอนั้นบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะเคยประสบกับเรื่องเลวร้ายมาไม่น้อย แต่จิตวิญญาณของเขากลับใสสะอาดอย่างยิ่ง ทำให้คนอยากปกป้องดูแลเขา
“เป่ยกง ข้าไปเตรียมตัวก่อนนะ ต่อจากนั้นก็จะหลอมยาให้เขา เจ้าทายาขี้ผึ้งนี่ให้เขาหน่อย แล้วเอายาที่ให้เขากินเมื่อกลางวันให้กินอีกเม็ดหนึ่งนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นยืนแล้วพูดขึ้น
“ได้เลย” เป่ยกงถังพยักหน้า
“พี่เป่ยกงของเจ้าก็เป็นนักหลอมยาเช่นกันนะ” เมื่อนึกถึงสีหน้าประหลาดใจที่เสี่ยวถูแสดงออกมายามรู้ว่าตนเป็นนักหลอมยาเมื่อครู่ ก่อนจะจากไป ซือหม่าโยวเย่ว์จึงอดที่จะแลบลิ้นมิได้ จากนั้นจึงค่อยออกไป
เหมือนกับที่เธอคิดเอาไว้ หลังจากเสี่ยวถูได้รู้ว่าเป่ยกงถังก็เป็นนักหลอมยาเช่นกันก็ตกใจอย่างห้ามไม่อยู่ เขาลอบสงสัยอยู่ในใจว่าเหตุใดนักหลอมยาทั้งสองคนนี้จึงไม่เหมือนกับที่เขาเคยประสบพบเจอมาก่อนหน้านี้เลยเล่า
ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไป เจ้าไก่ฟ้ากำลังเอนพิงอยู่ที่เสาหน้าประตูห้องของเธอ
“เป็นอะไรไปหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ในร่างของเจ้าเด็กผู้นั้นมีสายโลหิตสัตว์อสูรวิเศษอยู่น่ะ” เจ้าไก่ฟ้าพูดตรงๆ
“สายโลหิตสัตว์อสูรวิเศษหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองบริเวณรอบๆ แล้วพูดว่า “เข้าไปในห้องก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด”
พอผลักประตูห้องเปิดออกแล้วทั้งสองก็เข้าไป ซือหม่าโยวเย่ว์ปิดประตูแล้วพูดว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยวถูมีสายโลหิตสัตว์อสูรวิเศษอยู่ในตัว”
“ได้กลิ่นน่ะ” เจ้าไก่ฟ้าพูด “สัตว์อสูรวิเศษที่มีพลังยุทธ์สูงส่งจะมีประสาทสัมผัสไวต่อกลิ่นของสัตว์อสูรวิเศษตนอื่นๆ”
“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าในตัวเขาเป็นสายโลหิตสัตว์อสูรวิเศษชนิดใด” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
เจ้าไก่ฟ้าส่ายหน้าแล้วพูดว่า “สายโลหิตของเขายังไม่ตื่นรู้ แต่ร่างกายของเขาทำให้เขาไม่อาจบำเพ็ญได้ ดังนั้นสายโลหิตจึงไม่มีทางตื่นรู้ได้”
“ไม่แน่ว่าความแตกต่างของเขาอาจเป็นผลพวงมาจากสายโลหิตก็เป็นได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“การได้พบกับพวกเจ้านับว่าเป็นโชคดีของเขา” เจ้าไก่ฟ้าพูด “ก่อนหน้านี้ข้าได้รับสัมผัสร่างกายเขาครู่หนึ่ง ต่อให้ใช้เปลวเพลิงของข้าก็ไม่แน่ว่าจะเผาสิ่งเจือปนภายในเส้นลมปราณของเขาได้ แต่ถ้าหากเป็นเปลวเพลิงของท่านผู้นั้นก็ไม่มีปัญหา”
พอพูดถึงเพลิงชาด ซือหม่าโยวเย่ว์จึงนึกถึงข้อสงสัยในตอนนั้นขึ้นมาได้ แล้วถามว่า “เจ้าไก่ฟ้า ธาตุของเจ้านอกจากธาตุไฟแล้วยังมีธาตุลมด้วยใช่หรือไม่”
เจ้าไก่ฟ้าไม่รู้ว่าเหตุใดเธอจึงถามเรื่องนี้กับตน แต่ก็ยังพยักหน้า
“เจ้ายังควบคุมห้วงมิติได้อีกด้วยสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ใช่แล้ว” เจ้าไก่ฟ้าเอ่ยตอบ
“ตอนนั้นที่เจ้าไล่ตามข้า ถึงแม้ดูเหมือนว่าข้าจะหนีไปข้างหน้า แต่ความจริงแล้วเจ้าได้ขังข้าเอาไว้ภายในห้วงมิติแห่งหนึ่งก่อนหน้านั้นแล้ว ถูกต้องหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
เจ้าไก่ฟ้าเลิกคิ้ว “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นว่าเขามิได้ปฏิเสธ ในใจก็คิดว่าเป็นเช่นนี้นี่เอง ตอนนั้นที่การเชื่อมโยงกับเจดีย์วิญญาณของเธอถูกตัดก็เป็นเพราะเขากักขังตนเอาไว้ในห้วงมิติอีกแห่งหนึ่งนั่นเอง
“ข้าเดาเอาน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด มิได้บอกว่านึกได้เพราะการเชื่อมโยงกับเจดีย์วิญญาณถูกตัดขาด “ใช่แล้ว สัตว์อสูรวิเศษอย่างพวกเจ้าก็สำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกลได้ใช่หรือไม่”
“ไม่ได้หรอก” เจ้าไก่ฟ้าเอ่ยตอบ “สัตว์อสูรวิเศษมีขีดจำกัด มิอาจสำเร็จเป็นนักหลอมยา นักหลอมวัตถุและปรมาจารย์ค่ายกลได้”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงควบคุมห้วงมิติได้เล่า”
“เพราะดวงตาของข้าน่ะ”
“ดวงตาของเจ้าหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจ สิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับดวงตาของเขาเล่า
เจ้าไก่ฟ้าหลับตาลง ตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองต่างก็มีลูกตาสองข้าง
ไก่ฟ้าสี่ตา ที่ได้ชื่อนี้เพราะดวงตามีลูกตาสองข้างนั่นเอง
เจ้าไก่ฟ้าหลับตาลงอีกครั้ง ตอนที่ลืมตาขึ้นดวงตาก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
“เพราะดวงตาของเจ้า เจ้าก็เลยใช้พลังห้วงมิติได้อย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เจ้าไก่ฟ้าพูด “สัตว์อสูรวิเศษต่างชนิดก็มีความสามารถพิเศษที่แตกต่างกันไปต่อธาตุชนิดต่างๆ เหมือนกับข้าที่สามารถรับสัมผัสห้วงมิติได้ หรือท่านผู้นั้นที่มีสุดยอดแห่งเปลวเพลิง”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เช่นนั้นสัตว์อสูรวิเศษตนอื่นๆ ก็มิอาจรับสัมผัสห้วงมิติได้อย่างนั้นหรือ”
“ก็ไม่แน่หรอกนะ” เจ้าไก่ฟ้าพูด “ขณะนี้ข้ารู้เพียงแค่ว่าไก่ฟ้าสี่ตาอย่างพวกเราทำได้ แต่โลกกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ บางทีสัตว์อสูรวิเศษตนอื่นๆ อาจจะมีธาตุเช่นนี้เหมือนกันก็เป็นได้”
“ถ้าหากข้ามีพรสวรรค์ด้านห้วงมิติเหมือนเจ้าก็คงดีสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างอิจฉา
เจ้าไก่ฟ้ามองค้อนเธอปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “นี่เป็นเรื่องตามธรรมชาติ เจ้าจะมาอิจฉามิได้หรอกนะ”
พอพูดจบ เขาก็ลุกออกไป ทิ้งให้ซือหม่าโยวเย่ว์จ้องมองเงาหลังของเขาอย่างอิจฉา
เธอทอดถอนใจแล้วลุกขึ้นไปลงกลอนประตู หลังจากนั้นจึงหายตัวเข้าไปภายในเจดีย์วิญญาณแล้วตรงไปปรากฏตัวที่ห้องหลอมยา
“เจ้านาย คราวนี้เจ้าจะหลอมยาอะไรหรือ” เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้น แล้วถามอย่างจริงจัง
ตั้งแต่ซือหม่าโยวเย่ว์หลอมยาได้เป็นต้นมาเขาก็มีลูกอมกินแล้ว ตอนนี้เมื่อเห็นเธอมาปรากฏตัวที่ห้องหลอมยาจึงเบิกบานใจไม่น้อยเลย
…………………………………….