หลังจากที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากโถงรับแขกก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
อุปนิสัยของไป๋หยวนฉุนนั้นตรงไปตรงมาเป็นอย่างยิ่ง มีอะไรก็บอกพวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งหมด ถ้าหากมิใช่ว่ามีธุระ คาดว่าคงจะพูดคุยกับพวกเขายกใหญ่เลยทีเดียว
พอกลับไปแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็เตรียมการเปิดทะลวงเส้นลมปราณให้กับเสี่ยวถู
พวกเว่ยจือฉีเรียกนางและเป่ยกงถังไปถามสถานการณ์ที่แน่ชัด
ซือหม่าโยวเย่ว์เล่าสิ่งที่เจ้าไก่ฟ้าพูดให้ทุกคนฟัง พวกเขาต่างพากันตกใจไม่น้อย
“เสี่ยวถูมีสายโลหิตสัตว์อสูรวิเศษด้วย” เจ้าอ้วนชวีตบปากตัวเองเป็นเชิงว่าเรื่องนี้ทำให้เขาตื่นเต้นไม่น้อยเลย
“มิน่าเล่าอาการบาดเจ็บของเขาจึงฟื้นฟูได้รวดเร็วกว่าคนปกติ” เป่ยกงถังนึกถึงความเร็วในการฟื้นตัวของเขาขึ้นมา ก่อนหน้านี้ยังสงสัยอยู่บ้าง แต่เพิ่งได้รู้เหตุผลในตอนนี้ ถึงอย่างไรสิ่งที่พวกตนให้เขากินก็มิใช่ยาวิเศษที่มีผลการรักษาดีที่สุด การฟื้นตัวยังจำเป็นต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
“โยวเย่ว์ เจ้าต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะเปิดทะลวงเส้นลมปราณของเขาได้หมดเล่า” โอวหยางเฟยถาม
“เรื่องนี้คงต้องดูจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถึงอย่างไรก็ยังห่างจากงานประมูลอีกนาน ข้าต้องดูความสามารถในการทนรับของเขาก่อน หากพวกเจ้าไม่มีธุระอะไร จะไปเดินเล่นข้างนอกก็ได้นะ ไม่ต้องรอพวกเราหรอก”
“ก็ได้”
ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังมาถึงห้อง เสี่ยวถูกำลังนั่งรอพวกเธออยู่บนม้านั่ง
“เสี่ยวถู ข้าขอถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าเต็มใจทนรับความเจ็บปวดจากการสลายกระดูกจริงๆ หรือไม่”
เสี่ยวถูพยักหน้าแล้วพูดว่า “พี่ชาย ท่านวางใจเถิด ข้าต้องทนได้แน่”
“เช่นนั้นก็ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาแล้วพูดว่า “จงกินยาวิเศษในนี้ลงไปก่อนที่จะเริ่มต้น มันช่วยปกป้องอวัยวะภายในของเจ้าได้ในระดับหนึ่ง”
เสี่ยวถูหยิบมาเม็ดหนึ่งก็รู้สึกว่ามือของตนเหมือนแทบจะถูกแช่เย็นจนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าพอกินยาเม็ดนี้ลงไปแล้วจะทำให้เขากลายเป็นมนุษย์น้ำแข็งหรือไม่
แต่เขาก็ยังกินยาวิเศษลงไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ซือหม่าโยวเย่ว์กุมมือเสี่ยวถูเอาไว้แล้วใส่ปราณวิญญาณเข้าไปในร่างเขาเล็กน้อยเพื่อเร่งให้ยาวิเศษออกฤทธิ์ก่อนล่วงหน้า เพียงไม่นานเสี่ยวถูก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นว่าพอใช้ได้แล้ว จึงพูดกับเป่ยกงถังว่า “เป่ยกง เจ้าไปเฝ้าอยู่นอกประตูก่อน ช่วงนี้ห้ามให้ใครมารบกวนพวกเรา มิฉะนั้นเสี่ยวถูอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้”
เป่ยกงถังพยักหน้าแล้วออกไปเฝ้าอยู่นอกประตู
ซือหม่าโยวเย่ว์สูดลมหายใจเข้าปากลึกก่อนจะอุ้มตัวเสี่ยวถูที่ใกล้จะแข็งตายแล้วไปไว้บนเตียง หลังจากนั้นจึงใช้ปราณวิญญาณห่อหุ้มกองไฟขนาดเล็กจิ๋วเอาไว้ ก่อนจะใส่เข้าไปในร่างเสี่ยวถูอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นเสี่ยวถูก็รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิอันร้อนระอุขุมหนึ่งซึ่งขจัดความหนาวเหน็บในร่างกายเขาไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานเขาก็รู้สึกราวกับว่าทั้งร่างถูกเพลิงแผดเผา
ตอนนี้ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้สนใจที่จะปลอบประโลมเสี่ยวถูเลย เพราะเธอจำเป็นต้องใส่พลังจิตทั้งหมดเข้าไปในเปลวเพลิงกองจิ๋วนั้นเพื่อห่อหุ้มมันให้เผาผลาญสิ่งเจือปนภายในเส้นลมปราณของเขาให้หมดหากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย เสี่ยวถูก็จะถูกแผดเผากลายเป็นเถ้าถ่าน
เปลวเพลิงกองจิ๋วนั้นยังเล็กละเอียดยิ่งกว่าเส้นผมเสียอีก โคจรอยู่ภายในเส้นลมปราณของเสี่ยวถู เพิ่งโคจรในเส้นลมปราณไปได้เพียงสามเส้นก็ทำให้เธอหมดเรี่ยวหมดแรงเสียแล้ว เธอจึงทำได้เพียงเก็บเปลวเพลิงกลับมาอย่างไม่มีทางเลือก
ตลอดกระบวนการ เสี่ยวถูมิได้ส่งเสียงเลยสักแอะ พอซือหม่าโยวเย่ว์เก็บเปลวเพลิงกลับมา เขาก็หมดสติไปในทันที
เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวในห้อง เป่ยกงถังจึงผลักประตูเข้ามา ก็เห็นเสี่ยวถูที่หมดสติไปแล้ว กับซือหม่าโยวเย่ว์ที่สีหน้าซีดขาวเหงื่อโทรมกาย จึงถามว่า “เป็นเช่นไรบ้าง”
“เพิ่งจะสำเร็จไปเพียงหนึ่งในสี่ส่วนเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้น รู้สึกวิงเวียนอยู่บ้าง คราวนี้สิ้นเปลืองพลังจิตไปไม่น้อยเลย คล้ายกับว่าสูบพลังจิตของเธอไปจนหมดสิ้น
“สีหน้าเจ้าไม่ดีเอาเสียเลย ไปพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะดูแลเสี่ยวถูเอง” เป่ยกงถังพูด
“ก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบยาวิเศษเม็ดหนึ่งออกมากินแล้วเตรียมตัวกลับไปพักผ่อน
“โยวเย่ว์” เป่ยกงถังเรียกเธอเอาไว้
“ว่าอย่างไรหรือ”
“ขอบใจเจ้ามาก” เป่ยกงถังมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างซาบซึ้ง
“ขอบใจอะไรกันเล่า ข้าก็เห็นว่าเขาน่ารักน่าสงสาร เลยอยากช่วยเขาน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
พอพูดจบเธอจึงเปิดประตูเดินออกไป
ถึงแม้ว่าเธอจะพูดเช่นนี้ แต่เป่ยกงถังก็รู้ดีว่าด้วยนิสัยของเธอ ย่อมไม่มีทางทุ่มเทให้คนแปลกหน้ามากมายขนาดนี้แน่ ที่เธอเต็มใจทำเช่นนี้ก็เพราะตนมีความรู้สึกพิเศษต่อเด็กชายผู้นี้ต่างหาก
ซือหม่าโยวเย่ว์กลับมายังห้องของตัวเอง พลังจิตถูกสูบไปอย่างมหาศาล ยาวิเศษที่เพิ่งกินไปเมื่อครู่ย่อมชะลอเอาไว้ไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงหยิบน้ำทิพย์วิญญาณออกมาแล้วหยดลงไปในปากหนึ่งหยด หลังจากนั้นก็หลับตาลงเริ่มต้นบำเพ็ญ
พอน้ำทิพย์วิญญาณเข้าปากไปเธอจึงค่อยรู้สึกว่าความเหนื่อยล้าหายไปกว่าครึ่ง
จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นเธอจึงค่อยลืมตา ความเหน็ดเหนื่อยในแววตาทั้งคู่ไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว
เธอมาที่ห้องของเสี่ยวถูก็เห็นว่าเขาฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่ร่างกายยังคงอ่อนล้าอย่างยิ่ง ได้แต่เอนกายอยู่บนเตียง
“เจ้าดีขึ้นแล้วหรือ” เป่ยกงถังถาม
“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูสีหน้าซีดขาวของเสี่ยวถูแล้วขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “สถานการณ์ของเสี่ยวถูมิสู้ดีนัก”
“เจ้าคิดว่าทุกคนล้วนมีพลังจิตอันน่าอัศจรรย์เช่นเจ้ากันหมดหรือไร” เป่ยกงถังถลึงตาใส่เธอคราหนึ่งแล้วพูดว่า “เขาทนรับไหวก็ไม่เลวแล้วล่ะ”
“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็เข้าใจดี คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงหยิบน้ำทิพย์วิญญาณออกมา ให้เขาอ้าปากแล้วเทน้ำทิพย์หยดเล็กๆ ใส่ปากเขาหยดหนึ่ง
เสี่ยวถูรู้สึกเพียงแค่ว่าของเหลวนั้นทำให้ร่างกายเขาสบายขึ้นมาไม่น้อยในทันที จึงถามว่า “พี่ชาย นี่คืออะไรหรือ”
“เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อเจ้าน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนนี้เพิ่งเปิดทะลวงเส้นลมปราณของเจ้าไปได้เพียงแค่สามเส้นเท่านั้น ยังมีอีกเก้าเส้น อ้างอิงจากระดับที่พวกเราสองคนทนรับได้ ยังต้องทำอีกสามครั้งจึงจะเสร็จสิ้นทั้งหมด นี่เพียงแค่เส้นลมปราณสิบสองเส้นเท่านั้นนะ ถ้าหากจะเปิดทะลวงแปดเส้นลมปราณพิเศษด้วย เกรงว่าคงต้องใช้เวลาเนิ่นนานยิ่งกว่านี้อีก”
“ขอบคุณพี่ชายมาก” นอกจากขอบคุณแล้วเสี่ยวถูก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้อีก
“นับได้ว่าเจ้าช่างโชคดีจริงๆ เส้นลมปราณนั้นของเจ้าดูเหมือนจะถูกปิดตายทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้ยังมีสิ่งเจือปนอยู่ค่อนข้างมากอีกด้วย ถ้าหากมิใช่เพราะเปลวเพลิงของข้าที่เจอเมื่อครู่แรงกล้าพอ ชั่วชีวิตนี้เจ้าคงมิอาจฝึกยุทธ์ได้อีกต่อไปแล้ว แต่ถ้ามิใช่เพราะเป่ยกงถังช่วยเจ้าเอาไว้ก็คงจะไม่เกิดสิ่งนี้ขึ้นหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ขอบคุณพี่สาวพี่ชาย ข้าไม่มีทางลืมเลือนบุญคุณของพวกท่านแน่นอน” เสี่ยวถูพูด
“ใช่แล้ว เจ้าดูสิ พี่เป่ยกงของเจ้าก็โตกว่าเจ้าไม่เท่าไหร่เอง ในเมื่ออยากขอบคุณนาง มิสู้พลีกายให้นางเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยล้อเล่น
เป่ยกงถังฟาดนางคราหนึ่งอย่างโมโห “พูดจาเหลวไหลอีกแล้ว”
“ฮ่าๆ พูดเล่นหรอกน่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าตั้งใจไว้ว่าอีกประเดี๋ยวจะไปดูที่โรงอัปลักษณ์เสียหน่อย พวกเจ้าอยากไปด้วยหรือไม่เล่า”
เป่ยกงถังมองเสี่ยวถูแล้วพูดว่า “พวกเจ้าไปกันเถิด ข้าจะดูแลเขาอยู่ที่นี่”
“พอตกบ่ายเขาก็กระโดดโลดเต้นได้แล้วละ พาเขาไปด้วยก็ได้นี่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เช่นนั้นก็ดี”
“พอถึงเวลาพวกเราจะมาเรียกพวกเจ้าก็แล้วกันนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางเดินออกไปข้างนอก “โรงอัปลักษณ์ ชื่อนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก ไม่แน่ว่าเจ้าของอาจจะเป็นคนอัปลักษณ์คนหนึ่งก็ได้ ถึงตั้งชื่อพรรค์นี้ออกมาได้น่ะ…”
เป็นดังที่ซือหม่าโยวเย่ว์พูด พอตกบ่ายเสี่ยวถูก็ดีขึ้นมากแล้วจริงๆ จนลงจากเตียงมาเดินได้
ตอนเสี่ยวถูพักฟื้น พวกเจ้าอ้วนชวีก็คอยมาเยี่ยมอยู่เป็นระยะๆ ดังนั้นเมื่อเห็นพวกเขา เสี่ยวถูจึงมิได้รู้สึกผิดแปลก
เมื่อรู้ว่าพวกเขาจะไปที่โรงอัปลักษณ์ ซุนหรานหร่านก็ให้คนเตรียมรถเทียมสัตว์อสูรเอาไว้ให้พวกเขา พวกเขาก็ไม่กล้าหักหาญน้ำใจนาง จึงนั่งรถเทียมสัตว์อสูรไปยังถนนที่หรูหราที่สุดในเมืองผิงคัง
………………………………………