หญิงสาวรูปลักษณ์ร้อนแรงผู้หนึ่งเดินขึ้นไปบนเวที นางสวมชุดกี่เพ้า ขับเน้นให้เห็นทรวดทรงองค์เอวของนางได้เป็นอย่างดี
ใบหน้าอันงดงามเติมแต่งด้วยเครื่องสำอางอย่างประณีต เส้นผมรวบเป็นมวยไว้หลังศีรษะ ดูแล้วสูงส่งทรงเสน่ห์
นางโบกมือ ผู้คนเบื้องล่างจึงเงียบลงในทันที
“ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งานประมูลในครั้งนี้ หลังผ่านการเลื่อนมาสองครั้ง ในที่สุดงานประมูลคราวนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วนะเจ้าคะ ไม่ทราบว่าทุกท่านตั้งตารอคอยเหมือนจวินหลานหรือไม่” จวินหลานอมยิ้มพูด
ด้านล่างเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง ทุกคนอดใจรอไม่ไหวอีกแล้ว
จวินหลานมองปฏิกิริยาของผู้คนเบื้องล่างอย่างพึงพอใจแล้วพูดว่า “ทุกท่านล้วนทราบดีว่ายามรักษาการณ์ของโรงอัปลักษณ์ล้วนล้ำเลิศมาตลอด คราวนี้พวกเรามีสิ่งของประมูลชั้นยอดจำนวนไม่น้อย ดังนั้นจึงต้องมีการรักษาการณ์เป็นอย่างดี ทั้งสี่มุมทั่วลานประมูลของเรามีผู้แข็งแกร่งระดับราชันวิญญาณคุ้มกันอยู่ นอกจากนี้ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับจ้าววิญญาณอีกท่านหนึ่งรักษาการณ์อยู่ด้วย ดังนั้นถ้าหากทุกท่านประมูลไม่สำเร็จ ก็อย่าได้ก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่เป็นอันขาดนะเจ้าคะ!”
หลังจบคำพูดของนาง แรงกดดันหลายขุมก็แผ่ออกมาจากทั้งสี่มุมของลานประมูลพร้อมกัน หลังจากนั้นจึงหดหายไปอย่างรวดเร็ว
“ถึงกับมีผู้แข็งแกร่งระดับจ้าววิญญาณรักษาการณ์อยู่ด้วย มิอาจดูแคลนอำนาจของโรงประมูลแห่งนี้ได้เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็สัมผัสแรงกดดันจากคนเหล่านั้นได้เช่นเดียวกัน จึงพูดพลางลูบคาง
“ทุกท่านทั้งบนที่นั่งและที่อยู่ในห้องส่วนตัวล้วนมีลำดับรายการของสิ่งของประมูลในครั้งนี้กันหมดแล้ว คิดว่าทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าสิ่งของประมูลในคืนนี้เป็นของประเภทใด หากมีสิ่งใดที่ทุกท่านต้องการก็เตรียมตัวลงมือได้แล้วนะเจ้าคะ!” จวินหลานเอ่ยเตือน “คาดว่าทุกท่านคงอดใจรอไม่ไหวแล้ว ข้าขอประกาศให้งานประมูลของพวกเราในคืนนี้เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้! ต่อไปขอเชิญสิ่งของประมูลชิ้นแรกของพวกเราในคืนนี้ขึ้นมาเลยเจ้าค่ะ”
สาวงามผู้หนึ่งยกกล่องใบหนึ่งขึ้นมาวางลงบนโต๊ะประมูล หลังจากนั้นจึงเลิกผ้าแดงด้านบนออกไปไว้อีกด้านหนึ่ง
“นี่คือหินภูเขาไฟก้อนหนึ่งซึ่งเก็บมาจากภายในภูเขาไฟใกล้กับบริเวณศูนย์กลางโลก ได้รับการเผาด้วยอุณหภูมิสูงมาเป็นระยะเวลายาวนาน เป็นวัสดุสำคัญในการหลอมอาวุธวิญญาณธาตุไฟ หินภูเขาไฟก้อนนี้หนักสามชั่ง ราคาขั้นต่ำสามร้อยตำลึงทอง ราคาแต่ละครั้งต้องเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบส่วน ด้านล่างเริ่มต้นประมูลได้เจ้าค่ะ”
เธอทุบค้อนในมือหนึ่งครั้ง ผู้คนเบื้องล่างจึงเริ่มต้นเสนอราคา เพิ่มขึ้นทีละสามสิบห้าสิบ
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูการเสนอราคาเบื้องล่างจึงพบว่าราคาขั้นต่ำของงานประมูลนี้เริ่มต้นไว้ต่ำทั้งสิ้น คาดว่าคงเพื่อดึงดูดให้ทุกคนร่วมประมูล หลังจากนั้นดูเหมือนว่าจะปล่อยให้จิตใจที่ชอบแข่งขันทำงานของมันเอง
เธอดูอยู่ครู่หนึ่ง สิ่งของตรงหน้าทั้งหมดล้วนไม่น่าสนใจสำหรับเธอเลย ศิลาทมิฬที่เธอต้องการอยู่ในลำดับที่ยี่สิบกว่า เหลือเวลาให้นับถอยหลังอีกยี่สิบกว่าลำดับ จากนั้นเธอจึงนั่งกินผลไม้ทิพย์อยู่ในห้องพลางมองดูผู้คนเบื้องล่างประมูลกัน
เครื่องยาของเจ้าอ้วนชวีถูกนำมาประมูลตั้งแต่ไม่กี่ลำดับแรกแล้ว ราคาขั้นต่ำห้าร้อย ในที่สุดก็ถูกนักหลอมยาคนหนึ่งประมูลไปด้วยราคาหนึ่งพันห้าร้อยตำลึงทอง
เดิมทีพวกเจ้าอ้วนชวีไม่คิดว่าจะทำกำไรได้มากสักเท่าใดนัก ตอนนั้นที่มาก็คิดเพียงแค่ว่าจะมาชมความคึกคักเท่านั้น เขาพึงพอใจทีเดียวสำหรับราคานี้
หลังจากนั้นไม่นานของเว่ยจือฉีก็ถูกประมูลไปในราคาสามพันตำลึงทอง
หลังจากนั้นก็เป็นวัตถุดิบในการหลอมยาวิเศษและอาวุธต่างๆ เมื่อผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้พอสมควรแล้ว ก้อนหินสีดำก้อนหนึ่งก็ถูกยกขึ้นมา
“สิ่งนี้คือก้อนหินหายาก นักประเมินราคาของพวกเราก็ยังไม่อาจระบุได้ว่าเป็นวัสดุใด แต่มีความทนทานดุจเหล็กกล้า เปลวไฟธรรมดาไม่มีผลต่อมันเลย ดังนั้นคาดว่าสิ่งนี้จะนำมาเป็นวัสดุในการหลอมอาวุธได้ ราคาขั้นต่ำหนึ่งพันตำลึงทอง”
เพราะทุกคนไม่รู้ว่าก้อนหินนี้มีประโยชน์อย่างไร ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีคนเสนอราคากันสักเท่าใดนัก ถึงอย่างไรทุกคนก็มีความสงสัยต่อสิ่งที่ไม่รู้แน่ชัดกันทั้งสิ้น หากซื้อไปแล้วดีก็นับว่ากำไร แต่หากซื้อกลับไปแล้วกลายเป็นหินไร้ประโยชน์ก้อนหนึ่งก็คงเคราะห์ร้ายเสียแล้ว
ถึงแม้ว่าของสิ่งนี้จะนำไปหลอมอาวุธได้จริงๆ แต่ไม่รู้วิธีใช้ ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
ดังนั้นคราวนี้จึงไม่เหมือนการประมูลก่อนหน้านี้เลย มีคนเสนอราคากันอยู่แค่สองสามคนเท่านั้น ผ่านไปสองสามนาทีแล้ว ราคาก็ยังอยู่เพียงแค่สองพันตำลึงทองเท่านั้นเอง
“สองพันห้า” เสียงของฉินหว่านดังมาจากห้องบนชั้นสองห้องหนึ่ง
“สองพันหก” เมื่อได้ยินฉินหว่านเสนอราคา ไป๋อวิ๋นฉีก็ไล่ตามเสนอราคาบ้าง
สิ่งของในตอนแรกๆ มีระดับขั้นไม่สูงนัก โดยทั่วไปแล้วล้วนเป็นคนในห้องโถงใหญ่ที่เสนอราคา ชั้นสองและชั้นสามนั้นไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว ฉินหว่านแห่งกลุ่มทหารรับจ้างถูกใจอย่างหาได้ยากยิ่ง ผู้คนเบื้องล่างต่างพากันยอมแพ้ แต่ไป๋อวิ๋นฉีกลับโผล่ออกมา
“สามพัน” ฉินหว่านชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ ไป๋อวิ๋นฉีผู้นี้ชอบทำตัวเป็นศัตรูกับนางเสียจริง
“สามพันหนึ่ง” ไป๋อวิ๋นฉีไล่ตามไปติดๆ
“สามพันสาม”
“สามพันสี่”
“สี่พัน”
“สี่พันหนึ่ง”
ไม่ว่าฉินหว่านจะเสนอราคาเท่าไหร่ ไป๋อวิ๋นฉีก็จะเสนอมากกว่านางพันหนึ่งทุกครั้ง เห็นได้ชัดว่ามีเป้าหมายอยู่ที่นางนั่นเอง
“ไป๋อวิ๋นฉี เจ้ามิได้มีความสนใจในของชิ้นนี้เสียหน่อย เจ้ามาไล่ตามข้าทำบ้าอะไร!” ฉินหว่านอดรนทนไม่ไหว จึงตะโกนข้ามห้องมา
“ข้าเห็นว่าของสิ่งนี้ไม่เลวเลยทีเดียว จึงอยากจะซื้อกลับไปวางพักเท้าในอ่างล้างเท้าของข้าสักหน่อยน่ะ” ไป๋อวิ๋นฉีพูด
“ฮ่าๆ…”
ผู้คนเบื้องล่างพากันหัวเราะออกมา วาจาพรรค์นี้มีเพียงแค่คนอย่างไป๋อวิ๋นฉีเท่านั้นที่จะพูดออกมาได้
แม้กระทั่งซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยังอดยกมุมปากยิ้มมิได้
ซีเย่ว์ซีกับสมาชิกอีกสองคนของราชวงศ์นั่งกันอยู่ภายในห้องส่วนตัวหมายเลขห้าเพื่อรอการประมูลในช่วงท้าย เมื่อเห็นฉินหว่านกับไป๋อวิ๋นฉีเอะอะกันอยู่ข้างล่างจึงขมวดคิ้วพูดว่า “ห้าพัน”
ถ้าหากฉินหว่านชอบ ตนจะซื้อให้นางเสียเลยก็ได้ พวกเขามามัวทำให้เสียเวลาเช่นนี้ แล้วเมื่อไหร่จึงจะถึงของประมูลชิ้นสุดท้ายเสียทีเล่า
เมื่อเห็นห้องหมายเลขห้าจุดตะเกียง ผู้คนเบื้องล่างต่างพากันหลับตาลงอย่างรู้กาลเทศะ ใครๆ ก็รู้ว่าเชื้อพระวงศ์แห่งอาณาจักรจันทร์ประจิมลงมือแล้ว จะมีใครอยากลองดีกับพวกเขาบ้างเล่า!
แน่นอนว่าเมื่อซีเย่ว์ซีเอ่ยปาก ไป๋อวิ๋นฉีจึงอ่อนลง ไม่ได้ส่งเสียงอีก ฉินหว่านเดาได้ว่าซีเย่ว์ซีประมูลให้กับตน จึงมิได้เสนอราคาอีก
จวินหลานดูอยู่บนเวที หินก้อนนี้ขายได้ถึงห้าพันตำลึงทองก็เกินกว่าความคาดหมายของนางแล้ว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเสนอราคาอีก นางจึงเริ่มถามครั้งสุดท้ายตามขั้นตอน
“ห้องหมายเลขห้าเสนอราคาห้าพันตำลึงทอง มีสูงกว่านี้อีกไหมเจ้าคะ” หยุดไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเสนอราคาอีก นางจึงพูดต่อไปว่า “ถ้าหากไม่มีแล้ว… ห้าพันตำลึงทองครั้งที่หนึ่ง ห้าพันตำลึงทองครั้งที่สอง ห้าพันตำลึงทองครั้งที่…”
“ห้าพันหนึ่ง”
เสียงจากห้องหมายเลขสามดังขึ้นตัดตอนพยางค์สุดท้ายของจวินหลาน
เมื่อได้ยินห้องหมายเลขสามเสนอราคา ผู้คนเบื้องล่างต่างตกตะลึงกันอยู่บ้าง เขามาเสนอราคาในเวลาเช่นนี้มิได้เท่ากับตบหน้าซีเย่ว์ซีหรอกหรือ
แน่นอนว่าซีเย่ว์ซีไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อครู่เขาไม่ลงมือ แต่เขากลับเอ่ยปากในตอนนี้ที่ตนกำลังจะประมูลได้แล้ว นี่มิได้เท่ากับแสดงตนเป็นศัตรูกับนางอย่างเปิดเผยหรอกหรือ จึงเอ่ยด้วยสีหน้าบูดบึ้งว่า “ห้าพันห้า”
“ห้าพันหก”
“หกพัน”
“หกพันหนึ่ง”
“หกพันห้า”
“หกพันหก”
เพิ่มราคาด้วยรูปแบบเดียวกันกับไป๋อวิ๋นฉี ดูแล้วก็เหมือนการหาเรื่องนั่นเอง
“เจ้าเจตนานี่!” ซีเย่ว์ซีพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์ให้หมัวซาพูดแทนตนว่า “เจตนาอะไรหรือ ข้าก็แค่เพิ่งนึกขึ้นมาได้เท่านั้นเอง ขาเตาหลอมยาของขาหักไปส่วนหนึ่ง สูงเท่ากับหินก้อนนี้พอดี แม่นางหลานคนงามบอกว่าของสิ่งนี้แข็งแรงยิ่งนัก ข้าเลยคิดว่าจะนำกลับไปหนุนเตาหลอมยาสักหน่อย หากใช้ไม่ได้ข้าก็ยังนำไปมอบให้ผู้อื่น ให้เขานำกลับไปวางไว้หนุนเท้าในอ่างล้างเท้าได้นี่…”
“ฮ่าๆๆ…”
ห้องหมายเลขสามและห้องหมายเลขห้าปะทะกันทำให้บรรยากาศมิสู้ดีนัก แต่เมื่อได้ฟังวาจาของเธอ ผู้คนเบื้องล่างก็ยังอดหัวเราะออกมามิได้