สามกลุ่มทหารรับจ้างใหญ่กลายเป็นสองกลุ่มทหารรับจ้างใหญ่ นี่คือเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายของทุกคนอยู่แล้ว ถึงอย่างไรเมื่อหลายวันก่อนทุกคนก็ได้ยินเรื่องของกลุ่มโอหังและกลุ่มนกนางนวลกันมาแล้ว
แต่สิ่งที่ทุกคนต่างคิดไม่ถึงก็คือกลุ่มที่ถูกทำลายล้างจะเป็นกลุ่มทหารรับจ้างโอหัง นี่ทำให้ผู้คนที่วางพนันจำนวนไม่น้อยต้องพ่ายแพ้ไป
พวกไป๋หยวนฉุนยังไม่มีเวลามาสนใจกับความคิดเห็นของบุคคลภายนอก เพราะเขากำลังนำสมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างธาตุไฟและธาตุน้ำทำความสะอาดซากศพด้านหน้าอยู่
เดิมทีพวกเขาคิดจะใช้ไฟเผาให้หมดในคราวเดียว แต่เจ้าอ้วนชวีบอกกับเขาว่าคนเหล่านี้ทำเรื่องเลวร้ายมาไม่น้อยตลอดหลายปี ขโมยข้าวของมากมาย จะต้องมีของสะสมอยู่ไม่น้อย มิอาจทิ้งขว้างแหวนเก็บวัตถุเหล่านั้นให้สิ้นเปลืองไปเปล่าๆ ได้ หากเก็บรวบรวมขึ้นมาแล้วไม่แน่ว่าคงจะมั่งคั่งไม่น้อยเลย
หากใช้ไม่ได้ แหวนพันกว่าวงนั่นก็มีมูลค่ามากพอดูอยู่ดี!
ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่พากันไปพลิกศพดู แล้วเก็บรวบรวมแหวนเก็บวัตถุจากมือศพขึ้นมา หลังจากนั้นจึงให้คนธาตุไฟเผาศพ ส่วนคนธาตุน้ำก็ฉีดน้ำล้างถนน
คืนนี้ผู้คนเมืองผิงคังล้วนตาสว่าง ผู้คนไม่น้อยต่างพากันมองมายังท้องฟ้าในทิศทางนี้ซึ่งเต็มไปด้วยโคมไฟพลางรำพึงถึงความไม่เที่ยงของโลก กลุ่มทหารรับจ้างโอหังที่เดิมทีมีอำนาจครอบงำผู้คน ทำแต่เรื่องชั่วช้าก็หมดสิ้นไปเช่นนี้เสียแล้ว นี่ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยออกจะไม่เคยชินอยู่สักหน่อย
ถ้าหากซือหม่าโยวเย่ว์รู้เข้า เธอจะต้องปฏิเสธอย่างรุนแรงและบ่นว่า “เจ้าพวกชอบความรุนแรง!” อย่างแน่นอน
ซือหม่าโยวเย่ว์และพวกเป่ยกงถังได้หลอมยาวิเศษระดับค่อนข้างต่ำให้ผู้บาดเจ็บกิน สำหรับพวกเขาแล้วยาวิเศษเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลอมได้อย่างเชี่ยวชาญราวกับบันทึกไว้ในใจ หลอมได้มากมายในหนึ่งเตา นอกจากนี้ยังหลอมได้รวดเร็วอย่างยิ่ง สามคนหลอมยาของคนสี่ห้าร้อยคนได้เสร็จเรียบร้อยภายในคืนเดียว
“โยวเย่ว์ ขอบใจพวกเจ้ามาก!” ไป๋อวิ๋นฉีรับยาวิเศษของซือหม่าโยวเย่ว์มาพลางเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “ถ้าหากไม่มีพวกเจ้า ข้าว่าคราวนี้พวกเราคงยากที่จะพ้นภัย”
“แต่พวกเราได้ก่อให้เกิดความยุ่งยากอันใหญ่หลวง ไม่แน่ว่าอาจทำให้พวกเจ้าต้องลำบากอีกก็ได้นะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เจ้าหมายถึงเรื่องสังหารซีเย่ว์ซีกับจ้าววิญญาณสองคนน่ะหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า
“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้เลย ฝ่าบาทแห่งอาณาจักรจันทร์ประจิมของพวกเราทรงเป็นผู้ที่ใจกว้างอย่างยิ่ง สิ่งสำคัญที่สุดก็คือทรงทราบวิธีตัดสินสถานการณ์ ทรงทราบดีว่าเรื่องในคราวนี้มีสัตว์อสูรเหนือเทพเข้าร่วมด้วย พระองค์ไม่มีทางตามตอแยเรื่องนี้หรอก” ซุนหรานหร่านพูด
“ถูกต้อง นอกเสียจากว่าพระองค์จะกล้านำทั้งอาณาจักรจันทร์ประจิมมาต่อกรกับสัตว์อสูรเหนือเทพ” ไป๋อวิ๋นฉีพูด
“แต่มิใช่ว่าซีเย่ว์ซีผู้นั้นได้รับความสำคัญจากราชสำนักเป็นอย่างมากหรอกหรือ” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ระหว่างซีเย่ว์ซีกับสัตว์อสูรเหนือเทพ เจ้าว่าเจ้าจะเลือกใครเล่า” เว่ยจือฉีถาม
“ย่อมต้องเป็นสัตว์อสูรเหนือเทพแน่นอนอยู่แล้วสิ!” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างมั่นใจ
“ดังนั้นองค์จักรพรรดิก็ควรจะเลือกเช่นนี้เหมือนกัน ถ้าหากเขากล้าแตะต้องพวกเจ้า พวกเราก็ไม่รังเกียจที่จะพาเจ้าไก่ฟ้ากลับมาจัดการพวกเขาให้ราบคาบ! อย่างแย่ที่สุดก็ทำให้เขาต้องวิ่งหนีหางจุกตูดเท่านั้นเอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องไปที่เมืองหลวงอยู่ดี ด้วยอิทธิพลของเขาแล้วไม่มีทางที่จะไม่รู้ที่อยู่ของพวกเราหรอก”
“ถึงตอนนั้นข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วยก็แล้วกัน” ไป๋อวิ๋นฉีพูดโดยไม่คิดก่อนเลยด้วยซ้ำ
“พวกเราไปเมืองหลวงแล้วก็จะไปอาณาจักรอู๋กลางกันต่อเลย แล้วเจ้าจะไปทำไมกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างไม่เห็นด้วย
“ข้าจะไปดูกับพวกเจ้าด้วย ถ้าหากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าก็จะได้อยู่ด้วยอย่างไรเล่า” ไป๋อวิ๋นฉีพูด
“ไม่เอาหรอก” เว่ยจือฉีส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “พวกเราอยู่ที่นี่อย่างไม่มีหัวนอนปลายเท้า หากเกิดเรื่องขึ้น อย่างแย่ที่สุดก็แค่วิ่งหนีหางจุกตูดเท่านั้น แต่เบื้องหลังเจ้ายังมีกลุ่มทหารรับจ้างนกนางนวลอยู่อีก ถ้าหากเกิดเรื่องอันใดขึ้น พวกเขาก็จะพลอยลำบากไปด้วยนะ”
“แต่ว่า…”
“วางใจเถิดน่า มีเจ้าไก่ฟ้าอยู่ทั้งที เจ้ายังเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของพวกเราอยู่อีกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
ไป๋อวิ๋นฉีมองเจ้าไก่ฟ้าที่สงบเงียบอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ก็จริงอยู่”
“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พวกเราก็จะจัดการเรื่องราวให้เสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยไปจากอาณาจักรจันทร์ประจิม” เป่ยกงถังพูด
“ไอ้หยา เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์บิดขี้เกียจแล้วพูดกับซุนหรานหร่านว่า “ฮูหยิน พวกเราไม่อยู่รบกวนพวกท่านเก็บกวาดแล้วนะ”
“เอาละ พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนกันเถิด หากมีเรื่องอันใดข้าจะให้คนไปแจ้งพวกเจ้าเอง” ซุนหรานหร่านพูดด้วยรอยยิ้ม
ที่นางหมายถึงก็คือ ถ้าหากราชสำนักมาหาเรื่อง
พวกซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปพักผ่อน เพิ่งมาถึงเรือนก็เห็นเสี่ยวถูวิ่งถลันเข้ามา
“พี่ชายพี่สาว พวกท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” เสี่ยวถูพุ่งเข้าใส่อ้อมแขนของเป่ยกงถังแล้วเงยหน้าถาม
“พวกเราไม่เป็นเรา เจ้าตกใจกลัวบ้างหรือไม่” เป่ยกงถังลูบศีรษะเขา
“ไม่เลย ข้ารออยู่ในข่ายมนตร์ที่เจ้าคำรามน้อยติดตั้งเอาไว้ตลอด รู้ดีว่าคนข้างนอกทำร้ายข้ามิได้อยู่แล้ว” เสี่ยวถูพูด
ก่อนที่ซือหม่าโยวเย่ว์จะจากไปได้ให้เจ้าคำรามน้อยติดตั้งข่ายมนตร์ล้อมที่นี่เอาไว้ ซึ่งข่ายมนตร์สามารถป้องกันผลกระทบจากการต่อสู้ได้ เสี่ยวถูอยู่ภายในนั้นตลอด มองดูคนกลางอากาศต่อสู้กันอย่างดุเดือดโดยมิได้ก้าวออกไปเลยแม้แต่ก้าวเดียว
เขารู้ความอยู่เสมอ รู้ว่าภายนอกมีอันตรายจึงไม่ออกไป ไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่คงจะวิ่งหนีออกไปเพราะความอยากรู้อยากเห็นหรือความตกใจ
“เสี่ยวถู พักผ่อนให้มากหน่อยล่ะ อีกสองวันข้าจะเปิดทะลวงเส้นลมปราณครั้งสุดท้ายให้กับเจ้า”
พอพูดจบเธอจึงออกจากห้องไป
พวกเว่ยจือฉีก็เหน็ดเหนื่อยอย่างแท้จริง แต่ละคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน เป่ยกงถังตบศีรษะเสี่ยวถูเบาๆ แล้วกลับไปเช่นกัน
เสี่ยวถูยืนอยู่ในลานบ้านพลางมองดูประตูห้องที่ปิดสนิทของพวกเขา ใบหน้าเล็กขมวดย่น มิได้เผยแววดีใจที่จะฝึกยุทธ์ได้แล้วเลย
ในขณะเดียวกันนั้น องค์จักรพรรดิผู้อยู่ที่เมืองหลวงไกลออกไปได้รับข่าวด่วนจากเมืองผิงคังแล้ว เจ้าเมืองผิงคังเล่าเรื่องเมื่อคืนก่อนให้เขาฟังโดยละเอียด จักรพรรดิจันทร์ประจิมที่อ่านรายงานข่าวจบแล้วฟาดจดหมายลงบนโต๊ะอย่างโมโห
“ฝ่าบาท เป็นอะไรไปหรือพ่ะย่ะค่ะ” น้อยครั้งนักที่ราชองครักษ์คนสนิทที่อยู่ข้างๆ จะเห็นเขาเดือดดาลเช่นนี้จึงเอ่ยถามขึ้น
“หึ!” เขาโยนจดหมายนั้นใส่ร่างของราชองครักษ์โดยไม่เอ่ยวาจา
ราชองครักษ์กวาดตามองเนื้อความในจดหมายปราดหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ “ฝ่าบาท องค์หญิงทรง…”
“ก่อนหน้านี้ไม่นานเมืองไตรวารีเพิ่งจะส่งข่าวมาว่ามีสัตว์อสูรเหนือเทพปรากฏตัวขึ้น คราวนี้ถึงกับมาบอกให้ข้าไปเอาเรื่องกับสัตว์อสูรเหนือเทพ!” จักรพรรดิจันทร์ประจิมพูด “ถ้าหากสัตว์อสูรเหนือเทพโมโหขึ้นมา ก็ต้องเตือนบรรดาผู้อารักขาเอาไว้ ซึ่งยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะเขาได้เลย! สัตว์อสูรเหนือเทพนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าจ้าววิญญาณเสียอีกนะ!”
“ฝ่าบาทอย่าทรงเร่งร้อนนักเลยพ่ะย่ะค่ะ สัตว์อสูรเหนือเทพนั่นอาจจะมิได้มาก่อความวุ่นวายให้เราก็ได้!” ราชองครักษ์พูด “ข้าเห็นข้างบนพูดกันว่าถึงแม้สัตว์อสูรเหนือเทพนั่นจะมิได้ถูกทำพันธสัญญา แต่กลับเชื่อฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นั้น ถ้าหากพวกเราแสดงไมตรีอันดีต่อเขา ชดเชยให้เขาเสียหน่อย บางทีอาจแก้ไขภัยคุกคามในคราวนี้ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ตอนนี้ก็คงได้แต่ทำเช่นนี้แล้วล่ะนะ” จักรพรรดิจันทร์ประจิมส่ายหน้าอย่างจนใจ หลังจากนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงผุดลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกรแล้วเอ่ยว่า “ไปตำหนักหวาซา”
ภายในตำหนักหวาซา สตรีที่ดูคล้ายคลึงกับซีเย่ว์ซีถึงเจ็ดส่วนกำลังให้อาหารปลาอยู่ริมทะเลสาบ เมื่อได้ยินรายงานว่าจักรพรรดิจันทร์ประจิมเสด็จมา นางจึงรีบวางอาหารปลาในมือลงทันทีแล้วย่อกายคารวะพลางเอ่ยว่า “ถวายบังคมฝ่าบาท”
จักรพรรดิจันทร์ประจิมมองนาง ไม่เอ่ยวาจาอยู่เนิ่นนาน สายตานั้นทำให้ฉินโม่อึดอัดใจไม่น้อย
“ฝ่าบาทเพคะ?” นางเงยหน้าขึ้น แววตาเจือความเสียใจอยู่บ้าง
“ข้ามาเพื่อบอกเจ้าสองเรื่อง” จักรพรรดิจันทร์ประจิมพูด “เรื่องแรกคือซีเย่ว์ซีถูกคนสังหารเสียแล้ว ส่วนเรื่องที่สองคือกลุ่มโอหังถูกกลุ่มนกนางนวลล้างผลาญจนสิ้นแล้ว”
“อะไรนะเพคะ!” ฉินโม่ถูกคำพูดของจักรพรรดิจันทร์ประจิมโจมตีจนยืนไม่อยู่ นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ จึงรีบเข้ามาประคองนาง
……………………………………………….