ภายในห้องของเสี่ยวถู พวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งห้าคนนั่งอยู่รอบโต๊ะ ทุกคนจ้องมองเสี่ยวถู แววตาของแต่ละคนราวกับจ้องมองสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
เสี่ยวถูถูกพวกเขาจ้องมองเสียจนขนพองสยองเกล้า จึงหดคอโดยสัญชาตญาณ
“พี่ชาย พี่สาว พวกท่าน…” พวกท่านอย่ามองข้าเช่นนี้อีกเลย! เสี่ยวถูโอดครวญอยู่ในใจ
เจ้าอ้วนชวีเอ่ยปากพูดเป็นคนแรก “เจ้ารับสัมผัสธาตุแสงสว่างได้จริงๆ หรือ”
เสี่ยวถูพยักหน้าหงึกหงักอย่างหวาดกลัว
“แล้วยังรับสัมผัสธาตุน้ำและธาตุน้ำแข็งได้อีกด้วยอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเขาด้วยสองตาเปล่งประกาย
เสี่ยวถูพยักหน้าอย่างหวาดกลัวอีก
“เพิ่งจะหนึ่งวันหนึ่งคืน เจ้าก็ดูดซับปราณวิญญาณเข้าสู่ร่างกายได้แล้วอย่างนั้นหรือ” โอวหยางเฟยถาม
เขาพยักหน้าต่อไป
“หึๆ มิเสียทีที่เป็นต้นกล้าที่พวกเราค้นพบ ร้ายกาจเสียจริง!” เป่ยกงถังพูดอย่างเบิกบานใจ
“อ๊า… ช่างเป็นคนเหนือคนโดยแท้!” เจ้าอ้วนชวีร้องเสียงดังแล้วทอดตัวลงบนโต๊ะ “เดิมทีมีโยวเย่ว์คอยกระตุ้นอยู่คนหนึ่ง พวกเราก็บีบหัวใจจะแย่อยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีเจ้าเด็กน้อยโผล่มาอีกคน ไม่กล้าคิดเลยจริงๆ ว่าตอนที่เขาอายุเท่าพวกเราจะล้ำเลิศเพียงใด! สวรรค์เอ๋ย เหตุใดจึงต้องมาทิ่มแทงพวกเราเช่นนี้ด้วยเล่า!”
สวรรค์ไม่ได้ยินเสียงคร่ำครวญของเจ้าอ้วนชวี แต่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับตบศีรษะเขาอย่างแรงทีหนึ่งพลางพูดว่า “พรสวรรค์ของเจ้า หากเอาไปเทียบกับผู้อื่นข้างนอกก็ทิ่มแทงผู้อื่นเช่นกันนั่นแหละ อย่ามาร้องคร่ำครวญให้ข้าได้ยินที่นี่นะ!”
“ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ทิ่มแทงผู้อื่นแล้วจะไม่ให้เขาระบายบ้างได้อย่างไรกัน!” เจ้าอ้วนชวีพึมพำเสียงเบา
“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พรสวรรค์ของเสี่ยวถูก็ชวนให้คนพรั่นพรึงอย่างแท้จริง ธาตุน้ำและธาตุน้ำแข็ง จุ๊ๆ ต่อจากนี้ไปฝากพวกเจ้าจือฉีกับเจ้าอ้วนคอยสอนเขาฝึกยุทธ์ก็แล้วกันนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์แบ่งหน้าที่ให้เสร็จสรรพ ”อืม เป่ยกงเป็นพี่สาวของเขา จะไม่สนใจก็คงไม่ได้ โอวหยาง พลังการต่อสู้ของเจ้าไม่เลว จะสอนเสี่ยวถูด้วยก็ได้ โอ้ ช่างเป็นการตัดสินใจที่มีความสุขนัก!”
สี่คนที่ถูกเรียกชื่อมองเธออย่างไร้ซึ่งคำพูดก่อนจะเอ่ยว่า “แล้วเจ้าล่ะ”
“ข้ารับหน้าที่จัดหาทรัพยากร อ้อ พวกเราเลี้ยงดูเสี่ยวถูขึ้นมา ในภายหน้าหากใครรังแกพวกเราก็ให้เสี่ยวถูช่วยพวกเราจัดการมันเสีย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางยิ้มตาหยี หลังจากนั้นจึงมองเสี่ยวถูพลางถามว่า “เสี่ยวถู ดีหรือไม่”
“ดีสิ!” เสี่ยวถูก็แย้มยิ้มเช่นกัน
แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครดีกับเขาเช่นนี้มาก่อนเลย ใครกล้ารังแกพี่ชายพี่สาวของเขา เขาก็จะสู้กับมันอย่างสุดชีวิตเลยทีเดียว!
ดังนั้น จากนี้เป็นต้นไป เทพสังหารก็เริ่มต้นเส้นทางการเจริญเติบโตของเขา ผู้คนไม่น้อยเมื่อได้เห็นท่าทางยามฆ่าคนหลังจากที่เขาเติบโตขึ้นมาแล้วมองดูท่าทีฉลาดน่ารักยามที่เขาอยู่ต่อหน้าซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถัง ราวกับมิใช่คนเดียวกัน
หลายวันหลังจากนั้น พวกเขาก็ไปเที่ยวเล่นตามสถานที่ต่างๆ ทั่วเมืองผิงคัง ยังเหลือเวลาอีกสองวันกว่าจะถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของจักรพรรดิจันทร์ประจิม เจ้าเมืองมาหาพวกเขาเพื่อบอกว่าให้ไปได้แล้ว พวกเขาจึงมาบอกลาไป๋อวิ๋นฉีและคนอื่นๆ ก่อนจะใช้ค่ายกลนำส่งไปยังเมืองหลวง
ก่อนจะไป ซือหม่าโยวเย่ว์ได้มอบขวดหยกใบหนึ่งให้กับไป๋อวิ๋นฉี มิได้บอกว่าเป็นสิ่งใด ส่วนเขาเองก็ไม่ได้ดู เพียงแค่มองพวกเขาจากไปด้วยความรู้สึกเศร้าโศก
“เฮ้อ ไม่รู้ว่าพวกโยวเย่ว์จะกลับมาที่เมืองผิงคังอีกหรือไม่” ไป๋อวิ๋นฉีพูดพลางถอนหายใจ
ซุนหรานหร่านมองท้องฟ้าอันเวิ้งว้างพลางรำพึงว่า “ที่นั่นต่างหากเล่าจึงจะเป็นเป้าหมายของพวกเขา”
ไป๋หยวนฉุนมองดูไป๋อวิ๋นฉีที่โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาไม่น้อยแล้วรู้สึกขอบคุณผลกระทบที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์มีต่อเขาอยู่ในใจ เมื่อเห็นขวดหยกในมือไป๋อวิ๋นฉีจึงเอ่ยว่า “เจ้าไม่ดูสักหน่อยหรือว่าเขาทิ้งอะไรไว้ให้กับเจ้า”
“ใช่แล้ว ไม่รู้ว่าเขาทิ้งยาวิเศษอันใดไว้ให้กับข้า เจ้าคนผู้นี้ ไม่เพียงแต่พลังยุทธ์จะสูงส่งอย่างยิ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นนักหลอมยาด้วย ช่างทำร้ายผู้อื่นเสียจริง!” ไป๋อวิ๋นฉีพูดพลางเปิดขวดหยกแล้วเทยาวิเศษในนั้นออกมา ยาวิเศษสีทองอร่ามสองเม็ดก็หล่นลงมาในอุ้งมือเขา
“ท่านพ่อ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่ายาวิเศษสองเม็ดนี้ดูคุ้นตาอยู่สักหน่อย” ไป๋อวิ๋นฉีพูดพลางมองดูยาวิเศษ
ไป๋หยวนฉุนตกใจกับยาวิเศษสองเม็ดนี้จนอ้าปากค้าง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพูดตะกุกตะกักว่า “นี่…นี่ไม่ใช่… ไม่ใช่ยาวิเศษร้อยโคจรที่ราคาประมูลสูงเสียดฟ้าในงานประมูลเมื่อคราวก่อนหรอกหรือ”
ไป๋อวิ๋นฉีจึงค่อยนึกขึ้นมาได้แล้วมองดูยาวิเศษอย่างละเอียดก่อนจะพูดพึมพำว่า “มันดูเหมือนกับยาวิเศษนั่นอยู่มากทีเดียว”
ไป๋หยวนฉุนตบศีรษะของไป๋อวิ๋นฉีฉาดหนึ่งแล้วตะคอกใส่ว่า “ดูเหมือนเสียที่ไหนกันเล่า นี่มันใช่เลยต่างหาก! เจ้ามันช่างโง่เง่านัก!”
“ใช่จริงๆ น่ะหรือ” ไป๋อวิ๋นฉีคลำศีรษะพลางเอ่ยขึ้น “นั่นมิได้หมายความว่าโยวเย่ว์ก็คือบุคคลลึกลับผู้นั้นหรอกหรือ”
ไป๋หยวนฉุนพยักหน้าน้อยๆ คล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่แล้วเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าเขาจะร้ายกาจยิ่งกว่าที่พวกเราจินตนาการเอาไว้เสียอีกนะ!”
ไป๋อวิ๋นฉีพรั่นพรึงเพราะข่าวที่เพิ่งได้รู้เมื่อครู่จนพูดไม่ออก เขาก้มหน้าลงมองยาวิเศษในมือ เมื่อนึกถึงคำพูดที่เธอบอกว่าหวังว่าในภายภาคหน้าจะยังได้พบกันอีก เขาจึงตัดสินใจว่าต่อจากนี้จะพัฒนาไปในระดับที่สูงขึ้นให้ได้!
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าการใช้ชีวิตในกลุ่มทหารรับจ้างก็ยอดเยี่ยมเหลือเกินแล้ว แต่พอได้พบกับพวกซือหม่าโยวเย่ว์ มีบางทีที่เขาได้ยินพวกเขาคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของโลกเบื้องบน เขาก็มิได้ใส่ใจสักเท่าใดนัก แต่ตอนนี้เขาเพิ่งรู้สึกว่าถ้าหากเป็นไปได้ เขาก็อยากจะไปดูโลกแห่งนั้นสักคราเช่นกัน
“ไปเถิด ข้ากับท่านพ่อเจ้าจะคอยคุ้มกันเจ้าเอง เจ้ากินยาวิเศษนี่ลงไปเสียสิ” ซุนหรานหร่านตบบ่าบุตรชายที่นิ่งงันอยู่พลางเอ่ยขึ้น
“ขอรับ”
พวกซือหม่าโยวเย่ว์ไปยังเมืองหลวงพร้อมกับเจ้าเมืองของเมืองผิงคัง เพิ่งออกจากค่ายกลนำส่งมาก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันผิดปกติ สายตาที่ทุกคนมองพวกเขาล้วนแปลกประหลาด
“พวกเขามองพวกเราเช่นนี้ทำไมกัน” เจ้าอ้วนชวีหดตัวอยู่ข้างกายโอวหยางเฟย
“ไม่รู้สิ” โอวหยางเฟยพูดด้วยความสัตย์จริง
“มีความคิดอันแข็งแกร่งกำลังเล็งเป้ามาที่พวกเราอยู่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางสังเกตการณ์ไปรอบตัว
“พวกเราไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่านะ” เป่ยกงถังพูด
เมื่อเห็นหลายคนแสดงท่าทีราวกับพบเจอศัตรูตัวฉกาจ เจ้าเมืองผิงคังจึงเอ่ยว่า “ทุกท่านอย่าได้ตื่นตระหนกไป จะต้องเป็นเพราะเรื่องที่พวกเจ้ากวาดล้างกลุ่มโอหังแพร่มาถึงที่นี่แล้วอย่างแน่นอน ทุกคนจึงมีความอยากรู้อยากเห็นในตัวพวกเจ้ามาก โดยเฉพาะนายท่าน ทุกคนคงอยากยลโฉมใบหน้าอันทรงเกียรติของเจ้ากระมัง”
เมื่อได้ฟังเจ้าเมืองพูดเช่นนี้ ทุกคนจึงสบายใจขึ้นบ้าง แล้วตามเขาออกมาจากสมาคมปรมาจารย์วิญญาณ
“คารวะใต้เท้าทุกท่านเจ้าค่ะ” หญิงสาวรูปโฉมงดงามผู้หนึ่งอยู่ที่ประตู ทำความเคารพพวกซือหม่าโยวเย่ว์“เจ้าเป็นใครกัน” เจ้าอ้วนชวีเห็นหญิงงาม ดวงตาก็จ้องมองไป
“ข้าน้อยคือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลตอนที่ใต้เท้าทุกท่านอยู่ในเมืองหลวง ซึ่งฝ่าบาทส่งมาเป็นกรณีพิเศษเจ้าค่ะ ข้าน้อยมีชื่อว่าเหยากวงเจ้าคะ” เหยากวงยิ้มให้พวกเขา ทรงเสน่ห์ล้นเหลือ ผู้ที่มีสมาธิไม่ดีพอย่อมมิอาจต้านทานเสน่ห์ของนางได้เลย
“ฝ่าบาททรงทราบด้วยหรือว่าพวกเราจะมากันวันนี้น่ะ” เจ้าเมืองผิงคังถามเหยากวง
“ฝ่าบาทไม่ทรงทราบหรอกเจ้าค่ะ แต่พระองค์ทรงมีรับสั่งให้ข้าน้อยมาคอยอยู่ที่นี่ตลอด รอจนพวกท่านมาแล้วค่อยพาพวกท่านไปยังที่พักที่เตรียมเอาไว้น่ะเจ้าค่ะ” เหยากวงเอ่ยตอบ หลังจากนั้นจึงมองเจ้าเมืองผิงคังพลางเอ่ยว่า “ท่านใต้เท้าเจ้าเมือง ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ท่านไปยังที่พักที่จัดเตรียมเอาไว้ดังเช่นปกตินะเจ้าคะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าเมืองผิงคังชะงักค้าง นัยน์ตามีแววโกรธสายหนึ่งวาบผ่าน แต่ก็ถูกเขาเก็บงำไปอย่างรวดเร็ว เขาประสานมือคารวะพวกซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า ในเมื่อฝ่าบาททรงจัดเตรียมที่พักเอาไว้ให้พวกเจ้าต่างหาก เช่นนั้นพวกเราก็แยกกันที่นี่เถิดนะ แล้วพวกเราค่อยไปพบกันที่งานเลี้ยง”
เดิมทีพวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็มิได้มีความประทับใจอะไรต่อเจ้าเมืองผู้นี้อยู่แล้ว ตอนนี้เห็นเขาห่อเหี่ยว จึงลอบหัวเราะอยู่ในใจ
แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงเจ้าเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสอง พวกเขาจึงมิอาจแสดงออกอย่างชัดแจ้งจนเกินไปได้ จึงประสานมือเอ่ยลาเขา รอหลังจากที่เขาจากไปแล้วพวกเขาจึงค่อยหัวเราะออกมา