เหยากวงก็ไม่ชอบเจ้าเมืองผู้นั้นสักเท่าใดนัก เขาไม่มีความสามารถอันใดเลยแม้แต่น้อย แต่ที่ได้ไปครองตำแหน่งเจ้าเมืองใหญ่ลำดับสองก็เพราะฉินโม่ล้วนๆ
นางโบกมือไปทางพวกซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าทุกท่าน เชิญเจ้าค่ะ”
ที่พักที่จักรพรรดิจันทร์ประจิมจัดเตรียมเอาไว้ให้พวกซือหม่าโยวเย่ว์คือเรือนพักที่เงียบสงบเป็นที่สุดแห่งหนึ่ง มีทั้งศาลากลางน้ำ ศาลาพักร้อน งดงามเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ สถานที่แห่งนี้ยังอยู่ไม่ไกลจากวังหลวงด้วย ควรจะเรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของตำหนัก เพียงแต่ว่าเป็นบริเวณรอบนอกของตำหนักเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงมิได้มีการคุ้มกันที่แน่นหนาถึงเพียงนั้น
“สถานที่แห่งนี้ไม่เลวเลยจริงๆ” เจ้าอ้วนชวีมองดูบรรยากาศอันเงียบสงบ คิดไม่ถึงว่าจะยังมีสถานที่เช่นนี้อยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ด้วย
“ยอดเยี่ยมไปเลย!” แม้กระทั่งโอวหยางเฟยยังเอ่ยชม
เหยากวงลอบมองเจ้าไก่ฟ้าปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทตรัสว่าก่อนหน้านี้นายท่านใช้ชีวิตอยู่ในภูเขามาโดยตลอด ทรงเกรงว่าจะไม่ชมชอบความวุ่นวาย จึงได้ทรงจัดที่นี่ให้เป็นพิเศษ”
“คุณชายไก่ฟ้า คราวนี้พวกเราได้อาศัยใบบุญเจ้าจริงๆ เลยนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์หยอกเจ้าไก่ฟ้าด้วยรอยยิ้ม มิได้กลัวว่าเขาจะโกรธเลยแม้แต่น้อย
เจ้าไก่ฟ้ามองเธออย่างเรียบเฉยปราดหนึ่งโดยมิได้เอ่ยวาจา
“แม่นางเหยากวง เมื่อใดพวกเราจึงจะได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือ” เว่ยจือฉีถาม
“ฝ่าบาทตรัสว่าแล้วแต่พวกท่านเลยเจ้าค่ะ อยากไปเมื่อใดก็ย่อมได้ทั้งสิ้น” เหยากวงตอบพร้อมรอยยิ้ม
“วันนี้ค่ำแล้ว พวกเราค่อยไปกันพรุ่งนี้ดีกว่านะ เจ้าไก่ฟ้า เจ้าว่าอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“แล้วแต่เจ้าเลย” เจ้าไก่ฟ้าเอ่ยเพียงสั้นๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก
“วางท่าเย็นชานัก!” ซือหม่าโยวเย่ว์พึมพำในใจประโยคหนึ่งจากนั้นจึงพูดกับเหยากวงว่า “เช่นนั้นก็รบกวนแม่นางเหยากวงช่วยทูลฝ่าบาทแทนพวกเราหน่อยนะ”
“ใต้เท้าเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เหยากวงพูด “วันนี้ข้าน้อยจะไปทูลรายงานฝ่าบาทให้ทรงทราบเองเจ้าค่ะ”
นับว่านางมองออกแล้วว่าถึงแม้เจ้าไก่ฟ้าจะมิใช่สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของพวกเขา แต่กลับเชื่อฟังคำของซือหม่าโยวเย่ว์ ดังนั้นแม้โยวเย่ว์จะดูมีพลังยุทธ์ไม่แข็งแกร่งนัก แต่กลับเป็นผู้ที่มิอาจล่วงเกินได้มากที่สุด
เหยากวงจัดการที่พักให้กับพวกเขา ทั้งยังจัดหานางกำนัลกลุ่มหนึ่งให้คอยรับใช้พวกเขา จากนั้นจึงจากไป
พวกซือหม่าโยวเย่ว์แยกย้ายกันไปบำเพ็ญในห้อง แม้กระทั่งเสี่ยวถูก็ยังบำเพ็ญด้วยเช่นกัน
เป่ยกงถังกลัวว่าเสี่ยวถูจะถูกผู้อื่นรบกวน จึงบำเพ็ญพร้อมกันกับเขาด้วย ถ้าหากมีเรื่องอันใด นางก็ยังปกป้องเขาได้
ถึงแม้ว่าจักรพรรดิจันทร์ประจิมผู้นี้ยังดูรักษามารยาทกับพวกเขาอยู่บ้าง แต่ผู้ใดเล่าจะบอกสถานการณ์แท้จริงได้อย่างแน่ชัด
ผ่านไปค่อนคืน คนที่กำลังบำเพ็ญอยู่ก็ค่อยๆ ถอนตัวออกจากสภาวะการบำเพ็ญแล้วมองออกไปด้านนอก
“อยู่ดีไม่ว่าดีจริงๆ!” ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะเย็นชาก่อนจะเปิดประตูออกไป
จ้าววิญญาณหกคนเพิ่งมาถึงท้องฟ้าเบื้องบนเหนือลานบ้าน ก็เห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์ออกมา ไม่รู้สึกตกใจกับการมาถึงของพวกเขาเลย
“จ้าววิญญาณหกคนอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เลิกคิ้วมองพวกเขาแล้วเอ่ยว่า “มากันอย่างยิ่งใหญ่เสียจริง!”
“เจ้าคงเป็นซือหม่าโยวเย่ว์สินะ” จ้าววิญญาณคนหนึ่งมองเธอพลางเอ่ยถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์พิงอยู่กับประตูโดยมิได้ตื่นตระหนก เธอยิ้มแล้วถามว่า “พวกเจ้าถ่อกันมาถึงที่นี่ ยังจะต้องถามอีกหรือ”
แววเย้ยหยันในน้ำเสียงทำให้จ้าววิญญาณเหล่านั้นเพลิงโทสะลุกโชน
“ดูท่าทางคงเป็นพวกเจ้านี่แหละ!” จ้าววิญญาณคนที่ถามก่อนหน้านี้พูดขึ้น “พวกเจ้าจะจบชีวิตตัวเอง หรือจะให้พวกเราช่วยสงเคราะห์พวกเจ้าดีเล่า”
นอกจากเจ้าไก่ฟ้าแล้ว เหล่าจ้าววิญญาณสัมผัสได้ว่าพลังยุทธ์ของพวกเขาล้วนมิได้แข็งแกร่งมากนัก ไม่รู้ว่าเหตุใดพระชายาโม่จึงต้องให้พวกเขาเหล่าจ้าววิญญาณมาออกโรงพร้อมกันมากมายถึงเพียงนี้ด้วย
และพวกเขาที่เพิ่งออกจากการปลีกวิเวกมาหมาดๆ ย่อมไม่มีเวลาได้ฟังข่าวลือภายนอกอยู่แล้ว จึงไม่รู้ว่ามีพี่น้องจ้าววิญญาณสองคนที่ถูกสังหารด้วยน้ำมือของพวกเจ้าไก่ฟ้าไปแล้ว
ถ้าหากรู้เข้า เกรงว่าต่อให้ต้องละทิ้งของกำนัลที่พระชายาโม่มอบให้พวกเขาตลอดหลายปีมานี้จนหมด ก็ไม่มีทางเลือกเดินบนเส้นทางในคืนนี้หรอก
“ข้าเดาว่าพวกเจ้าคือคนที่ฉินโม่ส่งมากระมัง พระชายาท่านนี้ช่างต้องใจพวกเราเสียจริงนะ!” เว่ยจือฉีพูด
ถ้าหากเป็นจักรพรรดิจันทร์ประจิม เขาย่อมลงมือได้ตั้งแต่ตอนที่พวกตนมาถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอถึงตอนนี้จึงค่อยส่งคนมา
ใช้คนเหล่านี้เป็นไม้แคะฟันให้เจ้าไก่ฟ้ายังไม่พอเลย!
เห็นได้ชัดว่าพระชายาที่ไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนผู้นั้นส่งเนื้อมาเข้าปากเสือโดยแท้!
แต่พวกเขาจะได้ใช้เรื่องนี้มาสืบสวนกับจักรพรรดิจันทร์ประจิมพอดี
เมื่อมีความคิดเช่นนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงมิได้ให้เจ้าไก่ฟ้าลงมือในทันที แต่ให้เขาไม่เคลื่อนไหวชั่วคราวก่อน
“พี่ใหญ่ ท่านลงมือเลยดีกว่า พระชายาโม่ถึงกับให้คนเรียกพวกเรามากันหมดเพียงเพื่อมดปลวกไม่กี่ตัวเช่นนี้ ช่างราวกับขี่ช้างจับตั๊กแตนเสียจริง!” จ้าววิญญาณผู้หนึ่งพูดอย่างไม่พอใจ
“นั่นน่ะสิ มัวแต่พูดคุยกับเด็กไม่กี่คนนี่ สู้กลับไปฝึกยุทธ์กันดีกว่า ระยะนี้ข้าสัมผัสวี่แววของการเลื่อนระดับได้บ้างแล้วด้วย” จ้าววิญญาณอีกคนหนึ่งพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์มองคนกลางเวหาเหล่านั้นด้วยสายตายิ้มเยาะแล้วเอ่ยว่า “พระชายาโม่ผู้นั้นของพวกเจ้าคงมิได้บอกพวกเจ้าเรื่องที่จ้าววิญญาณแซ่หลิ่วและแซ่หูตายกันหมดแล้วสินะ”
“พูดอะไรของเจ้าน่ะ” เมื่อได้ฟังข่าวนี้ จ้าววิญญาณหลายคนก็รู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่าซือหม่าโยวเย่ว์กำลังประวิงเวลาอยู่
“นอกจากนี้นางคงยังมิได้บอกพวกเจ้าด้วยสินะ ว่ากลุ่มทหารรับจ้างโอหังถูกคนล้างบางไปเรียบร้อยแล้ว จ้าววิญญาณสองคนนั้นก็ถูกสังหารในตอนนั้นนั่นแหละ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอีก
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!”
“ใครกันที่กล้าสังหารพี่น้องของพวกเรา!”
“ถ้าหากพวกเจ้ากล้าพูดจาเหลวไหล พวกเราจะเผาให้เจ้าวอดวายกลายเป็นเถ้าถ่านเสียเดี๋ยวนี้!”
แรงกดดันของคนเหล่านั้นพุ่งตรงมาทางพวกเขาซึ่งยืนนิ่งอยู่กลางลานบ้านไม่ขยับเขยื้อน
ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วพูดว่า “พวกเราจะพูดจาเหลวไหลได้อย่างไรกัน! เพราะคนที่ฆ่าพวกเขาก็อยู่ที่นี่!”
“ใครกัน”
ซือหม่าโยวเย่ว์ชี้เจ้าไก่ฟ้าแล้วพูดว่า “พระชายาโม่ของพวกเจ้าคงยังมิได้บอกอีกเรื่องหนึ่งกับพวกเจ้าอย่างแน่นอน เขาคือสัตว์อสูรเหนือเทพจำแลงกาย!”
จ้าววิญญาณหลายคนได้ฟังแล้วพากันตกตะลึง มิน่าเล่าพวกเขาจึงมองพลังยุทธ์ของเจ้าไก่ฟ้าไม่ออก
“ดังนั้นจึงพูดได้เลยว่าพระชายาโม่ของพวกเจ้ามิได้เห็นชีวิตของพวกเจ้าอยู่ในสายตาเลย นางส่งพวกเจ้ามาตายชัดๆ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางส่ายหน้า ท่าทางนั้นดูเหมือนสงสารพวกเขาอย่างยิ่ง
เจ้าไก่ฟ้าแผ่แรงกดดันของสัตว์อสูรเหนือเทพออกมาประสานกัน
“มีสัตว์อสูรเหนือเทพอยู่ได้อย่างไรกัน!”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นตอนที่พวกเราปลีกวิเวกกันอย่างนั้นหรือ”
“ถ้าหากมีสัตว์อสูรเหนือเทพอยู่จริงๆ แล้วพวกเราจะอยู่ที่นี่กันทำไมเล่า รีบหนีเร็วเข้า!”
ผู้ที่มีพลังยุทธ์ระดับพวกเขาล้วนมีปัญหาเช่นเดียวกันอยู่ คือมีความหยิ่งยโส พร้อมกันนั้นยังมีลักษณะเฉพาะอีกอย่างหนึ่งคือความรักตัวกลัวตาย
ทุกคนประสานสายตากันก่อนจะต่างคนต่างวิ่งไปทางด้านหลัง แต่กลับมิอาจวิ่งออกไปได้คล้ากับถูกสิ่งใดขวางกั้นเอาไว้
“อุตส่าห์มาทั้งที ก็อยู่คุยเล่นกันสักหน่อยสิ!”
ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วเรียกตัวเชียนอิน เจ้าวิหคน้อย และย่ากวงออกมา ส่วนพวกเว่ยจือฉีก็เรียกสัตว์อสูรเทพของตนออกมาด้วยเช่นเดียวกัน
“เป็นสัตว์อสูรเทพทั้งหมดเลยนี่!” เหล่าจ้าววิญญาณเห็นสัตว์อสูรวิเศษที่ยืนอยู่ในลานบ้านแล้วรู้สึกขนหัวลุกอยู่บ้าง หนึ่งในนั้นยังมีสัตว์อสูรเหนือเทพอยู่ตนหนึ่งด้วย!
“เชียนอิน พวกเจ้าเล่นเป็นเพื่อนพวกเขาหน่อยสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
นอกจากเชียนอินที่มีพลังใกล้เคียงกับจ้าววิญญาณแล้ว พวกย่ากวงและเจ้าวิหคน้อยล้วนด้อยกว่าอยู่พอสมควร ย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ของจ้าววิญญาณอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงให้เจ้าไก่ฟ้าเพิ่มแรงกดดันเข้าใส่คนเหล่านั้น เพื่อกดให้พลังยุทธ์ของพวกเขาต่ำลงอีกหน่อย หลังจากนั้นจึงยกจ้าววิญญาณให้พวกเจ้าวิหคน้อยได้ฝึกฝีมือ
ความเคลื่อนไหวที่นี่แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว จ้าววิญญาณเหล่านั้นไม่อยากต่อสู้กับพวกเขาเลย แต่สถานการณ์ในตอนนี้ พวกเขาจะอยากหรือไม่ก็มิใช่ประเด็นแล้ว ต้านทานก็จบชีวิต ไม่ต้านทานก็จบชีวิตอยู่ดี!
จักรพรรดิจันทร์ประจิมที่เพิ่งจะเตรียมตัวเข้านอนตกใจกับการต่อสู้ที่ปะทุขึ้นอย่างฉับพลัน จึงถามว่า “ที่ไหนเอะอะเสียงดังน่ะ”
“ฝ่าบาท มีคนไปบุกโจมตีสัตว์อสูรเหนือเทพในยามราตรีพ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงตอบจากด้านนอกทำเอาจักรพรรดิจันทร์ประจิมแทบจะตกลงมาจากเตียง เขาให้การดูแลเสียราวกับเทพเซียน ใครกันที่กล้าไปบุกโจมตีพวกเขายามราตรี!
…………………………………………